LOGINมนุษย์เรามีดวงจิตที่ซ้อนทับหลายภพหลายชาติ เพียงเพื่อการหลุดจากวัฏจักรสงสาร ดวงจิตนั้นจึงผ่านเรื่องราวมากมาย กว่าจะหลุดพ้นจนมาสู่การเป็นภพสุดท้ายของดวงจิต ทุกภพทุกชาติของดวงจิตหนุนนำรวมเป็นหนึ่งเข้าสู่จิตดั่งเดิมแห่งการเริ่มต้นเพื่อตื่นรู้เตรียมสู่โสดาบันนิรันดร์ อสงไขยหมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกภพชาติเกิด แก่ ดับไป อีกสักเท่าใดไม่อาจเดาได้ ขอเพียงตั้งมั่นให้ทุกอย่างบรรจบทุกชาติภพแห่งการพบเจอ ทั้งรัก ทั้งหลง ทั้งแค้น ไม่ว่าผู้ใด เพียงอโหสิกรรมก็หลุดพ้นหมดสิ้นเวรกรรมต่อกัน นั้นแล
View Moreแสงไฟสีขาวบนเพดานเลื่อนผ่านตามทางเดินที่เตียงเข็นคนไข้ผ่าตัดอย่างฉันไปสู่ห้องผ่าตัดขนาดเล็ก ความหนาวเย็นยะเยือกเข้าสู่ผิวกายแทรกซึมสู่กระดูกข้างใน ฉันได้แต่มองไปรอบๆ เมื่อเตียงเข็นมาหยุดที่ห้องผ่าตัดห้องหนึ่งในโรงพยาบาล พร้อมเสียงพยาบาลบอกว่า
“หยุดรอต้องนี้ก่อน เดี๋ยวไปเตรียมเครื่องมือให้คุณหมอก่อนคะ”
ใช่ ฉันกำลังจะเข้าสู่การผ่าตัดมดลูกแบบส่องกล้อง มดลูกที่ไม่เคยผ่านการใช้งานใดๆ มาก่อน ตัดทิ้งเหลือแต่รังไข่สองข้างเอาไว้ เพราะมดลูกโตและหมอสูติวินิจฉัยว่าเกินเยียวยาต้องตัดทิ้ง ทำให้ฉันเป็นสาวพรหมจรรย์ตลอดชีพ 37 ปีมานี้สูญสิ้นทุกอย่างไม่แม้แต่คำว่าแม่ ฉันก็ไม่อาจได้รับโอกาสเป็นได้ ตลกสิ้นดีรู้งี้ฉันน่าจะหัดอ่อยเหยื่อกินตับผู้ชายเล่นตั้งแต่แตกเนื้อสาว ไม่ปล่อยให้ตัวเองเฉ่ามาถึงตอนนี้
เฮ้ย...ได้แต่คิดทำไม่ได้เพราะฉันเกิดมาไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะอะไรเหรอ ก็เพราะฉันเป็นคนที่เกิดมามีดวงตาที่สามตั้งแต่เกิด ไอ้ที่ชาวบ้านมองไม่เห็นกันหรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ผี นั้นแหละ ฉันสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ไม่ใช่แค่ผี พระภูมิเจ้าที่ นางไม้ นางตะเคียน นางตานี เห็นเป็นว่าเล่นจนลืมคำว่ากลัวไปซะละเพราะชิน อ้อลืมแนะนำตัวไปฉันชื่อกุสุมา พรเพ็ญ เรียกสั้นๆ ว่าสุ เป็นหญิงสาวรูปร่างท้วมขาว น้ำหนักอยู่ราวๆ 62 กิโล ส่วนสูง 156 เซนติเมตร ผมยาวจนถึงสะโพก เมื่อก่อนแยกแย้มไม่ใช่อย่างนี้ฉันคือดรุณีสาวสวยงดงามมาก่อน แต่ด้วยวัยและโรคคุกคาม ฉันกลายสภาพเป็นยายหมูอ้วน สายตาสั้นยาวเอียงครบทุกอณู ใส่แว่นตา อาชีพฉันคือข้าราชการ
“โอ๊ะ”
จู่ ๆ เตียงก็ขยับนำพาร่างฉันขึ้นเขียง ตัวฉันสั่นพับๆ ไอ้ข้างนอกนี้ว่าหนาวแล้วเจอข้างในหนาวกว่าอีก หรือสั่นกลัวแฮะ
“เดี๋ยวหมอจะฉีดยา คุณสุจะเข้าสู่การหลับลึกนะคะ”
ไม่ใช่หลับคะหมอแต่นี้คือการวางยาสลบ เข้าสู่การผ่าตัดแบบไม่รู้สึกตัว ในใจฉันบอกกับตัวเองว่า
“ฉันกลัว”
แม้ภายนอกสงบนิ่ง แต่ภายในจะร้องไห้
“อย่ากลัวเลยเจ้าแก้วกัลยา รัตนาวดีศรีสมร พรประภา อัปสรสรา วดีคีตศิลป์อมรมาน น้องพี่ พี่จะอยู่รอรับเจ้า กลับดาวดึงส์สู่เกตุแก้วมณีจุฬา สถิตสถานเคียงคู่กันอีกครา”
เสียงแว่วใกล้ๆหู ก่อนค่อยๆ ไกลห่าง ในสภาวะเลือนราง ฉันเห็นผู้ชายรูปร่างงดงามประดับตัวให้เครื่องทรงสีเงิน ใบหน้าไร้ความชัดเจน ก่อนทุกอย่างจะดับวูบนำฉันสู่เรื่องราวในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา
“ไอ้สุ บ้านฉันไม่มีอะไรใช่ไม๊”
ไอ้ผู้ชายผมหยิก ผิวสองสี ที่กำลังเท้าสะเอว ดูฉันลาดตระเวนบ้านไม้สองชั้น ข้างๆ มันมีผู้หญิงตัวเล็กๆ สูงระดับหัวไหล่ไอ้โจ้ที่สูง 160 กว่ายืนถือเสียม สายตาสอดส่องตามทุกวิถีก้าวย่างของฉันชื่อว่าเพ็ญเป็นเมียไอ้โจ้
“ข้างบนมีชายแก่นุ่งขาวห่มขาวถือไม้เท้าเดินไปมา ข้างล่างบ้านแกกุมารชัดๆ ครึกครื้นดีนิ”
“น้องว่าแล้ว พี่สุ เสียงคนเดินตลอด แต่ข้างล่างบ้านน้องเลี้ยงไอ้แดงไว้ พี่สุเห็นกุมารน้องแต่งตัวยังไง”
ฉันยิ้มแหะๆ บ้านนี้มันหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ อยู่ก็เอาตัวประหลาดเข้าบ้าน
“ใส่สังวาลสีเงิน ไม่ใส่เสื้อ นุ่งโจงกระเบนสีทอง”
แล้วข้างบนเป็นใครพี่สุ ฤาษีตาไฟใช่ไม๊ โจ้ไปยกมาสีเขียว
“ไม่ใช่ จุดธูป 16 ดอกถามเอาเอง”
ไม่อยากบอกเลยรูปปั้นชายชรานั่งสมาธิโดยมีนาคปรกนั้นใช่ฤาษีตาไฟที่ไหนกัน ชัวร์ๆ เกี่ยวกับพญานาคแน่นอน บอกมากไม่ได้เรื่องบางอย่างก็แล้วแต่บารมีใครบารมีมัน เขาอยากบอกอยากอยู่ด้วยรึเปล่าต้องถามเอาเอง ใช่ว่านึกอยากจะยกก็ยกมาบูชาเหมารวมว่าเป็นนั้นเป็นนี้
แล้วไอ้ที่ฉันต้องมาสแกนบ้านไอ้โจ้ก็เพราะต้องการให้มันช่วยไปอยู่เวรเฝ้าสำนักงานแทน มันไม่เอาเงินแต่ต้องการให้ฉันมาดูบ้านมันว่ามีอะไรไม๊เพราะตั้งแต่มันไปยกรูปปั้นสีเขียวมรกตกลับมา บ้านก็แปลกๆ ไอ้โจ้มันมีอาชีพเสริมนอกจากการเป็นพนักงานราชแล้ว ยังเลี้ยงนกกรงหัวจุกเอาไว้แข่ง ข้างล่างบนมันเพาะหนอนขายโดยมีเพ็ญเป็นลูกมือ
“เจ้าที่ ยังอยู่ไหมพี่สุ รู้สึกเงียบๆ”
ไม่มีเซ็นท์แต่ดันแม่น ฉันหันไปมองศาลเสาเดียวพลางหันกลับมองเพ็ญกับไอ้โจ้ ถอนหายใจยาวค่อยเอ่ยออกมาว่า
“พระภูมิเสาเดียว เจ้าที่สี่เสา ไอ้ที่ตั้งอยู่เสาเดียวนี้เป็นศาลพระภูมิ”
“อ้าว งั้นก็ตั้งศาลผิดสิ ตกลงต้องเปลี่ยนใหม่”
“ไม่จำเป็น เจ้าที่ไม่อยู่แล้ว ไปไหนไม่รู้ อยู่แต่พ่อปู่ข้างบน เขาช่วยดูแลบ้านให้ตอนนี้ หากจะเอาเจ้าที่ต้องทำพิธีเชิญกลับมาเล่นไม่จุดธูปกราบไหว้ ไม่ใส่อาหารถวาย เป็นคนก็ไม่อยู่ด้วยล่ะ ทิ้งขว้างแบบนี้”
“แล้วมีอะไรอีกไม๊ ไอ้สุ”
“แกจะใช้ฉันจนคุ้มเลยหรือไง”
“555 ช่วยไม่ได้แกดันมีในสิ่งที่คนอื่นไม่มี แล้วดันแม่นอีกต่างหาก”
“เอ่อ! ฉันมันไม่เหมือนชาวบ้านเอง ฉันผิดเอง”
“เอาน่า ออกมาเดินรอบๆ บ้านให้หน่อยว่ามีอะไรอีกไม๊ หมู่นี้งูเข้าบ้านบ่อยมาก ไม่อยากฆ่า ได้แต่ไล่ ดีนะเลี้ยงหมาไว้เป็นสิบส่งเสียงเห่า ออกไปไล่ทันมั้งไม่ทันมั้ง ช่วยไม่ได้ตลอดทุกตัว”
ยี้ ฉันไม่ชอบสัตว์เลื้อยคลาน ไม่รู้เป็นอะไรรังเกลียดมาตลอด งูเข้าบ้านบ่อยก็เพราะเอาพ่อปู่มาบูชาแต่บอกมันไม่ได้ พ่อปู่ข้างบนไม่อนุญาตให้บอก เขาจะทดสอบพวกเจ้าโจ้ว่าจะศรัทธาเขามากแค่ไหนหรือแค่ยกเขามาเล่นๆ งานนี้บอกไม่ได้
สองเท้าฉันดินรอบ ๆบ้านสุดท้ายต้องมาหยุดที่ต้นกล้วยที่สูงเลยหลังคาบ้านเจ้าโจ้ กอหนึ่งลำต้นกล้อยต้นหนึ่งสวยมาก ฉันเพ่งมอง ก่อนจะเงยหน้ามองความสูงต้นไม้ ไอ้ต้นกล้วยต้นนี้มันแปลกๆ
“มีอะไรรึเปล่า”
“กล้วยมันแปลกๆ”
“แปลกยังไง กล้อยตานีนี้”
“ไม่รู้ มันแปลก แกว่ากล้อยตานีเหรอ” ว่าไปพลางลูบไป
“ใช่ ใบตองกล้วยสวยฉันตัดไปขาย กล้วยก็เอาไว้ให้นกกินแต่มันแปลกตั้งแต่ปลูกมาก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ห้าเดือนผ่านมาอยู่ๆ กล้วยมันก็ไม่ค่อยออกผล แล้วก็ยืนต้นตาย ฉันได้แต่ตัดปลีมากินอย่างเดียว”
สุดท้ายลูบลำกล้วยงามก็ไม่นำพาอะไรออกมาสุดท้าย ฉันก็เลยพูดกับต้นกล้วยไปว่า
“ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก จะไปแล้วนะ”
ฉันพูดกับต้นกล้วยก่อนจะขยับเท้าจะก้าวผ่านไป พลันปรากฏหญิงสาวสวย แต่หน้าตาหม่นหมองนุ่งห่มสไปสีเขียวใบตองอ่อน ผมยาวก้าวออกจากต้นกล้อยร้องไห้กระซิก ดูน่าสงสาร
“เป็นอะไร”
“คิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน”
สลด ฉันดันสงสารอีกจนหลุดปากออกไปว่า
“ไปด้วยกันไม๊?”
นางหยุดร้องไห้เงยหน้าขึ้นสบตาฉัน พลางชี้นิ้วไปข้างบนบ้าน
“ไปบอกเจ้าเฒ่านั้นปล่อยข้าได้แล้ว ข้ามีเจ้าของแล้ว เจ้าช่วยขุดหน่อกล้วยพาข้ากลับไปด้วย ข้ารับปากหากเจ้าช่วยข้าพ้นมนต์สะกดเจ้าเฒ่า ข้าจะเป็นเทพอารักขาให้เจ้าเป็นการตอบแทน”
ฉันตกใจจนยกมือทาบอก ดวงตาจ้องแม่นางตานี ส่ายหัวไปมาปฏิเสธด้วยพลันอย่างไม่ตั้งใจทั้ง ๆ ที่เอ่ยวาจาเชิญชวนไปแล้ว
“มุสาวาจา ไม่รักษาคำพูดเลยหน้าเจ้า ลั่นวาจาจะช่วยข้าหลุดพ้นอาณัติตาเฒ่า ใยปากคืนคำเล่าใจร้าย ใจร้าย”
ร้องไห้ระงมจนฉันต้องยกมือปิดหู เจ้าโจ้กับเจ้าเพ็ญต่างหันมาสบตากันพลางยื่นมือสะกิดไหล่ฉันพร้อมกัน พอหันหลังมองทั้งสองทำหน้าไม่น่าไว้ใจ
“มีใช่ไม๊?”
ฉันพยักหน้ารับ เจ้าโจ้ส่งสัญญาณมือ เพ็ญไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรเดินดุ่มๆ ก่อนยกเสียมขุดต้นกล้วยขนาดย่อมทันที
“ทำอะไรน่ะ!”
“ขอไปอยู่ด้วยใช่ไม๊
“รู้ได้ไง มองไม่เห็นไม่ใช่เหรอ”
“เดาออก มันแปลกๆ ห้าเดือนก่อนฉันยกรูปปั้นมา กล้วยก่อนี้ก็ไม่ออกลูก ซ้ำอยู่ๆ ก็ยืนตายแห้งหลังออกปลีขนาดย่อม กล้วยก็เท่าเล็บมือนาง ตรงตำราเป๊ะ นางตานีแน่ๆ อัญเชิญไปบ้านแกถือว่าเป็นของตอบแทนจากฉัน”
โอ้ยไอ้เรื่องที่ไม่อยากบอกให้มันรู้เสือกรู้ เดาออก ทีเรื่องอยากให้รู้ดันเดาไม่ออกแล้วอย่างนี้จะทำยังไง ไอ้ปากเราก็เร็วชวนไปได้ไงไม่รู้ตัว
นางตานีเปลี่ยนท่าทีเป็นเริงร่า หยิบผ้าซับน้ำตาเนรมิตหน้าตาตนใหม่ให้สดใส ปรากกฎเป็นหญิงงามทันใด ยกมือไหว้ฉันด้วยท่าทีนอบน้อม
“ข้ามีนามว่า เพ็ญประภา ต่อไปนี้จะเป็นเทพพรายตานีอารักขานาย พลางแบมือมาตรงหน้าฉัน”
“อะไร หมายความว่าไง”
“แกเห็นอะไรไอ้สุ เล่าขานหน่อยเพื่อน”
“ไอ้โจ้ Sheตานีแบมือมาตรงหน้า ไม่รู้ทำไม”
“เขาขออะไร”
เพ็ญประภาพยักหน้า พลิกมือเป็นชี้มาทางกำไลหางช้างสีขาวประดับด้วยพลอยสีชมพู ปลายด้ามเป็นหัวบัวทั้งสอง
“ของรับขวัญ เทพอารักขา”
“เทพที่ไหน พรายตานีชัดๆ”
นิ้วชี้ข้างขวาส่ายไปมาพร้อมใบหน้าเปล่งวาจาว่า
“ไม่รู้ความอย่ากล่าวหา ข้านี้หนาบำเพ็ญมาจนบังเกิดเป็นเทพธิดา เพียงพรรษาหน้าข้าก็สู่ จาตุมหาราชิกาขึ้นสู่เทพสรวงสวรรค์ แค่เสี้ยวกรรมน้อยนิด ประสบเคราะห์กรรมถูกหน่วงเหนี่ยวคุ้มขังตกลงพลันสู่อาคมตาเฒ่านั้นแล”
ยาวแท้ กว่าจะจบ เจ้าโจ้สะกิดฉันเมื่อเพ็ญยกต้นกล้วยขนาดย่อมที่เรียกว่าหน่อกล้วย ยื่นให้ฉันตรงหน้า
“รับขวัญสิเจ้าค่ะ ข้ารออยู่หนา นายเจ้าขา เมตตาเพ็ญประภาด้วยเทอญ”
เสียงว้านหวาน เชิญชวนยื่นมือมาข้างหน้าแต่ภาพที่คนภายนอกเห็นคือใบอ่อนต้นกล้วยขนาดย่อมยื่นออกมา ฉันอนิจจาทำใจถอดกำไลหางช้างคล้องใบกล้วยงามสีเขียวอ่อนตรงหน้า
“ขอบพระคุณ รีบเถอะนายเจ้าขา นำข้ากลับเรือน ก่อนถึงเรือนเข้าวัดนิมนต์พระคุณเจ้ามาทำพิธีบายศรีสู่ขวัญเชิญเทพอารักขาสถิตเรือนด้วยหนา”
ไอ้ย่ะ เรื่องใหญ่แล้ว นี้มันจะแปดโมงแล้ว จะทันไม๊เนี่ย
“พี่สุ ลำบากใจเรื่องอะไรถึงทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนั้น”
“เขาจะให้นิมนต์พระ ทำพิธีอัญเชิญเขาเป็นเทพอารักขา วัดบ้านไหนจะทัน ไม่ค่อยเข้าวัดซะด้วยสิ”
“วัดบ้านฉันนี้แหละ” ไอ้โจ้ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ยกโทรศัพท์นิมนต์พระใกล้บ้านจัดการสรรพเสร็จ ก่อนลากฉันไปทางรถเก๋งคันเก่าสีเทาเงิน เสร็จพิธีบ้านฉันกลับได้
“ยังไม่จบเจ้าค่ะ จุดรูป 16 ดอกบอกลาตาเฒ่าว่าท่านจะเอาข้าไปเป็นเทพอารักขา ปลดมนต์ตราให้ข้า ด้วยบารมีที่ท่านสะสมมาตาเฒ่านั้นมิอาจขวางได้เป็นแน่แท้”
“เฮ้ย จุดรูป 16 ดอกก่อนไอ้โจ้บอกพ่อปู่นั้นว่าฉันจะเอาแม่เทพตานีไปอยู่ด้วย ขอท่านเมตตาปลดปล่อยมนต์ตรากักขังให้ด้วย”
“เชิญ” สิ้นคำธูปก็อยู่ตรงหน้าด้วยฝีมือเพ็ญ ผัวเมียคู่นี้ช่างรู้ใจกันจริงๆ
“หยิบปุบ 16 ดอกปับ ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พี่สุ น้องต้องนั่งภาวนาสวดมนต์ให้พ่อปู่ขอ 2 ตัวเด็ดแล้วค่ะ”
“ทำไม? ไม่ขอ 6 ตัวไปล่ะ”
“โถ พี่สุ กลัวบุญไม่ถึงขอเล็กไปก่อน ถ้าพ่อปู่เมตตาบุญพาวาสนาหนุนนำต้องมีสักวันที่หกตัวเรียงกันให้เห็นแน่นอน ตอนนี้สองตัวไปก่อน”
พรึบ ไฟแช็คลุกโชน ฉันรับรูป 16 ดอก กล่าวคำขอขมา
“ด้วย 16 ชั้นฟ้า ขอส่งบุญที่สะสมมาให้พ่อปู่นาคา เพื่อแลกกับปลดปล่อยมนต์ตราเทพพลายตานีเพ็ญประภาให้หลุดจากเขตคุมขังสู่อิสระด้วยเทอญ”
ปักธูปลงบนกระถางดอกไม้ พ่อปู่ข้างบนก็ร่ายมือปลดผนึกนาคาออก
“อีนางน้อย วาสนานำพาให้พบเจอ วันหน้าปู่จะไปเยี่ยมเยือนพวกเจ้า รอบารมีนางเทพขึ้นชั้นฟ้าเมื่อไหร่ พวกเราจะพบกันอีกครา ไปเถอะ” ภาษาอีสานดังก้องจากข้างบน
ฉันยกมือไหว้ลาพ่อปู่นาคาธิปดีผู้มีใบหน้าเมตตา กริยาน่าเกรงขาม ก่อนขึ้นรถไปกับเจ้าโจ้พร้อมเพ็ญกลับบ้าน
ท่ามกลางตึกอำนวยการในศาลากลางจังหวัดลำปาง ผู้คนมากมายต่างเดินไปมา เสียงรอบข้างดังไปตามจังหวะชีวิตประจำวันของคนทำงานราชการ วันนี้วันจันทร์ต้องใส่เครื่องแบบราชการสีกากี พอฉันสแกนนิ้วแล้ว เสียงสวัสดีกับไม่มีออกจากปากของคนในห้องงานบริหาร ฉันเงยหน้ามองทุกคนในห้องกวาดสายตาไปรอบๆ มีแต่คนหลบสายตาฉัน “ยุ้ย เกิดเรื่องอะไร” ฉันยิงคำถามไปยังหัวหน้าฝ่ายบริหาร คนตัวเล็กกว่าฉัน ผอมบาง ยุ้ยไม่ตอบส่งสายตาแบบสังเวทให้ฉัน ก่อนจะเดินไปไปหยิบแฟ้มที่มีเอกสารอยู่ด้านใน “พี่เอาไปอ่านเองเถอะ” ฉันถือแฟ้มเดินเข้าห้องงานบัญชี แผนกฉัน คนรูปร่างสันทัด อวบอิ่ม ผมยาวประบ่าคือพี่ติ้มมองแฟ้มในมือฉัน “อะไร” ฉันไม่ตอบแต่เปิดแฟ้มหยิบเอกสารมาอ่าน ทุกบรรทัดทุกตัวอักษรทำให้ฉันเคร่งเครียดระคนความโกรธ จนเผลอขยำกระดาษ พี่ติ๋มจับมือฉันแกะเอากระดาษออกมาอ่าน “หนังสือคำสั่งนิ ให้นางสาวจารุวรรณ วงศ์วาน ลงในหน่อยงานเรา แล้วสุล่ะ” ใช่หนังสือโยกย้ายไม่มีชื่อฉัน สัญญาบ้าๆ ที่ผู้ใหญ่บอกฉันให้มาช่วยราชการการ 6 เดือน แล้วจะให้ลงตำแหน่งจริง ตอน
เอวังวันทา อาระหังมังสา วิทาเทมิ อุทะทามา เวระมะสิ กุฑะมะกะ สองมือกูถือง้าว สองเท้าเหยียบอาทิตย์ พิชิตทำลาย พยัคฆ์สาอาสัญจงบรรลัยสิ้นพัน ขอถอดถอนมนต์ตราสิ้นคณาฤทธิ์มนตราตลอดไปเอ๋ย พรู แรม 15 ค่ำ เดือน 12 มันคือวันพระเดือนดับ อาคมถูกเป่าออกไปโดยปูเสือขาวในร่างของฉันที่อยู่ในชุดขาวนุ่งโจงกระเบน ฉันนั่งขัดสมาธิหยดเทียนลงขันเงิน หรือสลุงเงิน ดอกเทียนที่หยดลงน้ำไม่มีแตกแสดงถึงการสัมฤทธิ์ในมนต์ตราถอดถอนอาคมสมิงพรายแดงผู้ซึ่งเคยเป็นศิษย์สำนักเดียวกับพ่อของฉัน สองมือฉันจับมีดหมอถอดออกจากด้าม ก่อนทำพิธีตัดรูปปั้นเสือดินเหนียวตากแห้งที่พี่ทอนลูกสาวผู้เป็นอาจารย์ของพ่อฉันปั้นให้ตามคำสั่งของปูเสือขาวที่ผ่านร่างฉันบอกกล่าวเขา มีดเจ็ดป่าช้าลงอาคมตัดหัวเสือ ร่ายมนต์ตราถลกหนัง พอวางมีดจับเทียนส่องจึงรับรู้ได้ว่า เสือสมิงสิ้นฤทธิ์แล้วเหลือเพียงความเป็นคนธรรมดาทีไม่มีวิธีอาคม “อีหนูมึงให้กูใช้ร่างเพื่อช่วยลูกหลานเนรคุณหน่อยเถอะ ร่างมึงสะอาด จิตใจเมตตาเป็นแรงอำนาจแห่งการไว้ชีวิตผู้ที่คิดใช้ไสยเวชทำร้ายพ่อมึง
ลานพญานาค เช้าของการเดินทางกลับบ้านฉันหยิบธูป 16 ดอก บอกกล่าวปู่ศรีสัตตนาคราช ทำไมต้อง 16 ดอก ไม่ใช่ไหว้ 16 ชั้นฟ้า แต่คนที่นี้เชื่อว่าใครที่เกิดวันพฤหัสบดีต้องจุดธูป 16 ดอกเพราะนี้คือพญานาคประจำวันเกิดวันพฤหัสบดี คือ พญาศรีสัตตนาคราช เป็นพญานาคที่มี 7 เศียร และเป็นพญานาคราชประจำลุ่มแม่น้ำโขง ความเชื่อคือผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีมีพญานาคองค์นี้คอยปกป้องคุ้มครอง และการบูชาจะช่วยเสริมดวงชะตา ตอนมาพ่อของฉันกราบไหว้ท่านฝากฝั่งฉันให้อยู่ที่นี้ ตอนนี้จะกลับก็ต้องบอกกล่าวเขาเรียกว่าไปลามาไหว้ ควันธูปลวยลิ้วปากฉันสวดบทไหว้ที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ตรงหน้า ก่อนจะปักธูปลงกระถางใหญ่ ก้มกราบ พอเงยหน้าขึ้นปรากฎร่างชายชราในชุดขาว ผอม ม้วยผมอย่างกับพราหมณ์ ยิ้มให้ฉัน ก่อนหันไปทางรถพี่สันที่บรรทุกข้าวของฉันอยู่ สายตาจดจ้องไปยังเพ็ญประภาที่ไม่ยอมลงรถมาด้วยทั้งสองประสานสายตาก่อนปู่จะกล่าวออกมาด้วยถ้อยคำอันน่าฉงนว่า “นี้คือแดนดินถิ่นนาคา หากแม้นไม่ไหว้สาข้าก็ขออย่าขัดขวางผู้ผูกกรรมร่วมชาติกับสายเลือดแห่งพญานาคานาคี” “วิถีแห่งกรรมหมุนเวียน ข้ามิอาจขัดได้แต่หน้าที่คุ้มกันภัยไม่อาจวาง
ผมยาวพลิ้วไหวตามสายลมที่พัดผ่านยามสองเท้าของฉันเหยียบอยู่ริ่มฝั่งแม่น้ำโขงฝั่งไทยบริเวณที่เรียกว่าลานพญานาค ไม่ไกลจากฉันมีรูปจำลองพญาศรีสัตตนาคราช" รูปลักษณะเป็นองค์พญานาค 7 เศียร ประทับพักอิริยาบทสงบนิ่งขดลำตัว 3 ชั้น ตอนนี้ฉันอยู่สุดดินแดนไทยอย่างนครพนม สายตาฉันมองไปฝั่งลาว แม่น้ำโขงดูกว้างใหญ่เหมือนทะเล “นายเจ้าขา ขยับเท้าออกห่างมาหน่อย พลาดพลั้งตกน้ำไปเดี๋ยวได้ไปเป็นเมียนาคนาคาพอดี” เสียงหวานนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน คือแม่เทพพรายตานีที่เก็บมาได้เมื่อสองปีก่อนที่บ้านเจ้าโจ้ ฉันเหลียวหลังไปมองเธอก่อนหันสายตามองฝั่งตรงข้าม “ดื้อด้านอะไรเยี่ยงนี้ เตือนแล้วยังไม่ว่าที รีบขวนขวายถอยออกมาเร็ว” “จริงจังไปได้ ถึงเป็นเมืองพญานาคใช่ว่าจะโผล่ออกมาคว้าใครต่อใครไปเป็นเมีย เขาก็เลือกเหมือนกัน” หญิงสาวผู้สวมเครื่องทรงสีทอง สวมรัดเกล้าประดับพลอยนพเก้า ใบหน้าเต็มด้วยออร่าสว่างมองไปยังน้ำโขง เบ้ปากกล่าวอย่างมีเลศนัยออกมาว่า “ใช่เจ้าค่ะ เขาเลือกเหมือนกัน ถ้าไม่เคยเกี่ยวพันเขาไม่มาราวี หากแม้นหนีได้ก็หนีให้พ้นเทอญเจอะเจอเมื่อไหร่ไม่แคล




![[Unlimited Money] ระบบเงินทุนไร้ขีดจำกัด](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)






