Mag-log inจิ่งฟางเร่งฝีเท้าของตนรีบไปพบมารดาของไป๋เล่อฉิง เพื่อรายงานเรื่องที่เจ้านายฟื้นจากอาการไข้ขึ้นสูง
ก๊อก ๆ ๆ “ฮูหยินบ่าวจิ่งฟางเจ้าค่ะ”
หวังกุ้ยฉินมารดาของไป๋เล่อฉิงที่นั่งอยู่กับสามีของตนอย่างไป๋หมิงอัน พอได้ยินว่าคนที่เคาะประตูคือสาวใช้ข้างกายของบุตรสาวก็อนุญาตทันที
“เข้ามาเถิดจิ่งฟาง”
“นายท่าน ฮูหยิน บ่าวจะมารายงานว่าเมื่อหนึ่งเค่อที่ผ่านมาคุณหนูได้สติแล้วเจ้าค่ะ”
“จิ่งฟางเจ้าบอกว่าฉิงเอ๋อร์นางฟื้นแล้วงั้นรึ ท่านพี่ได้ยินหรือไม่ในที่สุดฉิงเอ๋อร์ของเราก็ปลอดภัยแล้วนะเจ้าคะ”
ใต้เท้าไป๋แม้จะดีใจที่บุตรสาวปลอดภัย แต่ยังคงรู้สึกแย่เกี่ยวกับเรื่องที่บุตรสาวทำเอาไว้ “เฮ้อ จิ่งฟางบุตรสาวของข้านางฟื้นขึ้นมา คงไม่ได้ถามถึงเส้าเหยี่ยนเสียงเป็นคนแรกหรอกนะ”
“เรียนนายท่านจะว่าไปก็แปลกมากนะเจ้าคะ ท่าทางยามที่คุณหนูตื่นขึ้นมาคล้ายกับว่าได้พบเจอเรื่องเลวร้าย นอกจากนี้ยังพูดขอโทษบ่าวและยังสมน้ำหน้าที่คุณชายใหญ่เส้าได้รับบาดเจ็บด้วยเจ้าค่ะ”
หวังฮูหยินมองหน้าสามีที่ทำสีหน้างุนงงสงสัยกับคำพูดที่จิ่งฟางได้บอกกับพวกตน ที่ผ่านมาบุตรสาวคนนี้เอาแต่พูดถึงคุณชายตระกูลเส้าอยู่ทุกเช้าค่ำ
“นี่...ฟังดูก็น่าแปลกอย่างที่จิ่งฟางว่ามานะเจ้าคะท่านพี่ ก่อนหน้านี้ไม่มีวันไหนที่ฉิงเอ๋อร์ไม่เอ่ยถึงคุณชายใหญ่ตระกูลเส้า”
“อืม น่าแปลกจริง ๆ ยังมีอย่างอื่นที่นางพูดอีกหรือไม่จิ่งฟาง”
จิ่งฟางไม่รอช้ารีบเล่าให้สองสามีภรรยาฟังถึงคำสั่งที่ไป๋เล่อฉิงสั่งกับนางเอาไว้
“อ้อ ใช่แล้วเจ้าค่ะมีอีกเรื่องหนึ่งที่คุณหนูพูดด้วยตนเองว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณชายใหญ่เส้าอีก หากมีบ่าวไพร่จากตระกูลเส้ามาเชิญคุณหนูไปที่จวน ก็ให้ไล่กลับไปอย่าได้รับคำฝากฝังอันใดทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
ใต้เท้าไป๋ฟังมาถึงจุดนี้ก็แทบไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นคำพูดของบุตรสาว “จริงรึ! นี่ใช่ความคิดของบุตรสาวข้าจริง ๆ งั้นหรือ”
“ท่านพี่หรือว่าการที่ฉิงเอ๋อร์ต้องเจ็บตัวครั้งนี้ ทำให้นางคิดได้ในที่สุดหรือไม่เจ้าคะว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับคนตระกูลเส้าอีก” หวังฮูหยินเอ่ยถึงความคิดของตนเกี่ยวกับคำพูดของบุตรสาวที่จิ่งฟางได้บอกเล่าออกมา
“นายท่าน ฮูหยิน พรุ่งนี้เช้าคุณหนูจะมารับมื้อเช้ากับพวกท่าน หากไม่เชื่อสิ่งที่บ่าวพูดละก็ค่อยถามกับคุณหนูอีกครั้งก็ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเจ้าหรอกนะจิ่งฟาง แต่เรื่องนี้มันเหลือจะเชื่อมากเกินไปก็เท่านั้นเอง เจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” ใต้เท้าไป๋กล่าวอย่างคนปลงตก
“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะนายท่าน เช่นนั้นบ่าวขอตัวไปดูสำรับมื้อเย็นให้คุณหนูก่อนนะเจ้าคะ”
“ไปเถิด ฝากเจ้าช่วยดูแลฉิงเอ๋อร์ให้ดีด้วยเล่า”
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
หลังจากจิ่งฟางพ้นไปประตูโถงรับรองสองสามีภรรยาได้แต่มองหน้ากันไปมา พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับบุตรสาว นางถึงได้กล่าวคำที่ทุกคนอยากฟังมาเนิ่นนานในยามนี้ ถ้าหากอยากได้คำตอบที่แน่ชัดนั่นต้องรอถามกับบุตรสาวด้วยตนเองเท่านั้น
เมื่อร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และได้รับยารักษาได้ทันท่วงที ไป๋เล่อฉิงจึงตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ด้วยสีหน้าที่เริ่มมีเลือดฝาดเล็กน้อย และนางก็ทำตามที่บอกกับจิ่งฟางไว้ว่าจะไปรับสำรับเช้าพร้อมทุกคนในครอบครัว
ภายในห้องอาหารของเรือนใหญ่นอกจากบิดามารดาของไป๋เล่อฉิงแล้ว ยังมีพี่ชายกับพี่สาวร่วมอุทรรวมถึงอนุของบิดาและพี่สาวอีกสองคน ในตระกูลอื่นอาจเกิดการแก่งแย่งเพราะความริษยา แต่ตระกูลไป๋นี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
เพราะถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าเกิดเรื่องดีหรือร้ายย่อมได้รับสิ่งเหล่านั้นร่วมกันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ บุตรชายบุตรสาวของจวนไป๋จึงรักใคร่ห่วงใยคอยช่วยเหลือกันเสมอ เมื่อทุกคนเห็นไป๋เล่อฉิงเดินเข้ามาในห้องอาหาร ต่างส่งสายตาที่แสดงถึงความเป็นห่วง เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของนางที่เกิดจากบุรุษตระกูลเส้าผู้นั้น
ไป๋เจิ้งหยูผู้เป็นพี่ชายคนโตรีบลุกไปช่วยประคองน้องสาวจากจิ่งฟาง และพานางมานั่งประจำตำแหน่งอย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องอาการป่วยด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ฉิงเอ๋อร์เหตุใดไม่ให้จิ่งฟางไปบอกพี่ใหญ่หรือพี่รองของเจ้าล่ะ เจ้าเพิ่งจะฟื้นยังฝืนเดินจากเรือนมาที่นี่อีก ไม่ดีกว่าหรือถ้าพี่ใหญ่จะไปรับเจ้าที่เรือน”
“ขอบคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ แต่ฉิงเอ๋อร์อยากเดินมาเองให้ร่างกายได้ขยับมากสักหน่อย นอนเป็นผักมาหลายวันเมื่อยตัวจะแย่”
“ฉิงเอ๋อร์ของพี่รองเป็นคนเก่งอีกไม่กี่วันก็หายดีแล้ว ไว้พี่รองจะพาเจ้าไปกินขนมที่เจ้าชอบดีไหม” ไป๋เซียวหยาผู้ตามใจน้องสาวคนนี้มากกว่าใคร ได้ทีก็พูดเอาใจก่อนพี่น้องคนอื่น ๆ
ไป๋เล่อฉิงส่งยิ้มบางให้พี่ชายคนรองและเห็นดีเห็นงามกับคำพูดของเขา “ย่อมดีอยู่แล้วเจ้าค่ะพี่รอง”
“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งชวนฉิงเอ๋อร์คุยเลยนะ มากินข้าวให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปนั่งพูดคุยกันทีหลัง ประเดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน” หวังฮูหยินเห็นสีหน้าของบุตรสาวดูสดใสก็โล่งอก และกล่าวตัดบทสนทนาของพี่น้องเพื่อให้ทุกคนได้กินอาหารมื้อเช้า
“ขอรับท่านแม่ /เจ้าค่ะท่านแม่”
ฮูหยินรองหลี่หรูซินที่เอ็นดูไป๋เล่อฉิงก็เอ่ยสำทับคำพูดของหวังฮูหยินด้วยอีกคน “ใช่แล้วล่ะ ฉิงเอ๋อร์ต้องกินให้มากหน่อยนะจะได้แข็งแรงไว ๆ”
“ขอบคุณฮูหยินรองที่เป็นห่วงฉิงเอ๋อร์เจ้าค่ะ”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความอบอุ่น ชามในมือของไป๋เล่อฉิงเต็มไปด้วยอาหารที่ทุกคนคีบให้นาง จนท้องน้อย ๆ กินต่อไปไม่ไหวจึงได้วางตะเกียบลง และนั่งรอคนอื่น ๆ อย่างเงียบ ๆ
เมื่อทุกคนกินจนอิ่มจึงย้ายไปยังห้องโถงใหญ่ เพื่อพูดคุยกับไป๋เล่อฉิงเกี่ยวกับเรื่องของเส้าเหยี่ยนเสียง ซึ่งท่าทีที่ไป๋เล่อฉิงแสดงออกมารวมถึงแววตาที่เรียบนิ่ง เป็นสิ่งที่คนในตระกูลไป๋คล้ายกับยกภูเขาออกจากอก
ใต้เท้าไป๋จึงเป็นคนเอ่ยกับบุตรสาวเพราะไม่อยากให้การพูดคุยยืดเยื้อจนเกินไป
“ฉิงเอ๋อร์เจ้าคงรู้ดีว่าทุกคนรักและเป็นห่วงเจ้ามาก เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ทำให้พวกเราเจ็บปวดกับการล้มป่วยของเจ้า ฉิงเอ๋อร์เป็นไปได้หรือไม่ถ้าพ่อจะขอให้เจ้า...”
ไป๋เล่อฉิงไม่รอให้บิดาถามจนจบเพราะนางรู้ว่าบิดาต้องการจะพูดถึงเรื่องอันใด ดังนั้นการพูดสิ่งที่นางได้ตัดสินใจต่อหน้าทุกคนด้วยตนเองย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“ท่านพ่อเจ้าคะฉิงเอ๋อร์ขอโทษที่ทำให้ท่านพ่อกับทุกคนต้องเป็นห่วง และทำเรื่องที่ไม่สมควรหลายอย่าง เพราะดวงตามืดบอดมองคนแค่เปลือกนอก ไม่เชื่อฟังคำทัดทานของคนในครอบครัวจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
หลังจากฉิงเอ๋อร์ตื่นจากการหมดสติขึ้นมา ก็ได้ทบทวนทุกอย่างและรู้ว่าคนที่รักฉิงเอ๋อร์มากที่สุดก็คือพวกท่าน จากนี้ไปฉิงเอ๋อร์ขอสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเส้าเหยี่ยนเสียงอีกแล้วเจ้าค่ะ
จะไม่พบเจอหรือติดต่อใด ๆ กับคนเช่นนั้นอีก คนที่คู่ควรกับความรักของฉิงเอ๋อร์ต้องเป็นบุรุษที่มั่นคงในรัก และพร้อมจะปกป้องฉิงเอ๋อร์ไปตลอดชีวิตเจ้าค่ะ”
“ฉิงเอ๋อร์ลูกแม่เจ้าไม่ต้องขอโทษหรอกนะ พวกเราดีใจเสียอีกที่ลูกคิดได้และไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนตระกูลเส้าอีก จากนี้เจ้าจะเป็นฉิงเอ๋อร์ที่สดใสร่าเริงเช่นเมื่อก่อนเสียที” หวังฮูหยินจับมือของบุตรสาวเอาไว้แน่น และพูดจาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพราะดีใจที่บุตรสาวตัดใจจากเส้าเหยี่ยนเสียง
ไป๋เฟิงฮวาพี่สาวคนโตที่นิสัยห้าวหาญก็กล่าวกับน้องสาวเกี่ยวกับเส้าเหยี่ยนเสียงเช่นกัน
“ฉิงเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องห่วงหากต้องออกจากจวน พี่หญิงใหญ่คนนี้จะปกป้องเจ้าจากบุรุษใจร้ายผู้นั้นเอง”
ไป๋เหม่ยหลินและไป๋เหลียงซินคุณหนูรองและคุณหนูสาม ก็เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่สาวคนโตเอ่ยกับไป๋เล่อฉิง
“ยังมีพี่หญิงรองกับพี่หญิงสามของเจ้านะฉิงเอ๋อร์ ต่อไปหากใครคิดจะรังแกเจ้าพวกพี่จะช่วยจัดการให้เจ้าเอง”
“น่าเสียดายที่พี่รองต้องกลับไปชายแดน ไม่รู้จะได้กลับมาเมืองหลวงเมื่อใดน่ะสิ” ไป๋เซียวหยาเห็นพี่น้องคนอื่น ๆ แสดงท่าทีปกป้องน้องสาวแต่เขาไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้
ไป๋เจิ้งหยูไม่อยากให้น้องชายต้องกังวลเรื่องของไป๋เล่อฉิงเขาจึงกำชับด้วยตนเอง “หึ เจ้าอย่าคิดมากเลยน้องรองทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็พอ อย่าลืมว่ายังมีพี่ใหญ่อยู่ทั้งคนจะปล่อยให้ฉิงเอ๋อร์ถูกรังแกได้อย่างไรจริงไหม”
“ข้าเชื่อว่าหลังจากนี้พี่ใหญ่ไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องไม่ดีกับฉิงเอ๋อร์ได้อีกแน่นอนขอรับ”
ไป๋เล่อฉิงมองคนในครอบครัวที่รักและห่วงใยตนเองด้วยดวงตาแดงก่ำ ได้แต่คิดว่าชาติก่อนนางมองข้ามความรู้สึกของพวกเขาไปได้อย่างไร แค่เพียงนางมีสติและคิดไต่ตรองให้ดีสักหน่อย คงไม่ตกตายอย่างทรมานด้วยน้ำมือของบุรุษที่บอกว่ารักนางเป็นแน่
“ขอบคุณพวกท่านมากเจ้าค่ะ ถ้าหายดีแล้วฉิงเอ๋อร์จะช่วยพี่หญิงทั้งสามดูแลเรื่องการค้านะเจ้าคะ”
“ได้สิจ๊ะ ฉิงเอ๋อร์อยากดูแลร้านใดก็บอกพวกพี่ได้เลยนะ”
“เจ้าค่ะพี่หญิงใหญ่”
หลังจากนั่งพูดคุยกันได้พอประมาณก็เป็นใต้เท้าไป๋ที่หยุดทุกคนไว้เพียงเท่านั้น และสั่งให้จิ่งฟางพาบุตรสาวกลับไปพักผ่อนที่เรือน
“ตอนนี้ก็ไม่เช้าแล้วทุกคนแยกย้ายไปทำงานเถิด ส่วนฉิงเอ๋อร์ก็กลับเรือนไปพักผ่อนอย่าได้ตากลมนาน ๆ ประเดี๋ยวไข้กลับขึ้นมาจะอดไปช่วยพี่สาวของเจ้าได้นะ”
“เช่นนั้นฉิงเอ๋อร์ขอตัวกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ”
“พวกข้าเองก็ต้องไปจัดการเรื่องงานที่ค้างอยู่เช่นกัน และจะแวะไปส่งน้องสาวที่ร้านค้าด้วยขอรับท่านพ่อ” ไป๋เจิ้งหยูเอ่ยกับบิดาแทนน้องชายน้องสาว เพราะร้านค้าของมารดาเป็นทางผ่านของตนอยู่แล้ว
“อืม ไปเถิดดูแลน้อง ๆ ให้ดีล่ะ”
“ขอรับท่านพ่อ”
และแล้ววันนี้เรื่องที่ทำให้คนตระกูลไป๋รู้สึกหม่นหมองก็ถูกปลดเปลื้อง เมื่อคำสัญญาที่ออกจากปากของไป๋เล่อฉิง ทำให้ความสุขกลับมาสู่ตระกูลไป๋อีกครั้ง
แต่กลับมีบางคนที่ทำให้เส้าเหยี่ยนเสียงต้องเจ็บตัวไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่าย ๆ ความเจ็บปวดยามต้องเห็นสตรีที่ตนพึงใจมานานเกิดล้มป่วย เพียงเพราะคำสัญญาจากปากพล่อย ๆ ของเส้าเหยี่ยนเสียง เขาอยากสังหารบุรุษเช่นนี้ทิ้งไปเสียด้วยซ้ำ พอคิดอีกทีการค่อย ๆ ทรมานต่อไปย่อมดีกว่าเป็นไหน ๆ
ส่วนคนเจ้าเล่ห์ที่ยืนรอไป๋เฟิงฮวาอยู่หน้าร้าน ก็มีบ่าวไพร่ที่ติดตามมายกเก้าอี้มาให้นั่งอย่างสบายอารมณ์ หลี่เฉียงฮุยไม่เชื่อว่าการที่เขาตามเกี้ยวพาไป๋เฟิงฮวาต่อหน้าชาวบ้านอย่างโจ่งแจ้ง ประหนึ่งว่าเขามีความจริงใจจะทำให้นางยินดีรับปากแต่งเป็นฮูหยินรองของเขาถึงจะถูกปฏิเสธมาหลายครั้งหลายคราแต่หลี่เฉียงฮุยกลับคิดไปว่า นี่คือแผนการเรียกร้องความสนใจเพื่อสร้างคุณค่าให้ตนเองของไป๋เฟิงฮวาเท่านั้น เมื่อเห็นหญิงสาวที่ตนอยากได้มาครอบครองเดินออกมา หลี่เฉียงฮุยรีบเอ่ยทักทายอย่างเอาอกเอาใจไป๋เฟิงฮวาทันที“คุณหนูใหญ่ไป๋ในที่สุดท่านก็ยอมมาพบข้าเสียที แต่ถึงข้าจะต้องรออีกนานเพียงใดขอเพียงเป็นความพอใจของท่านข้าก็รอได้ ที่สำคัญวันนี้ข้ามีของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ มามอบให้ท่านด้วยนะ”“คุณชายรองหลี่ท่านนี่ช่างหน้าด้านหน้าทนจริง ๆ เลยนะ ทุกวันนี้สตรีในเรือนของท่านยังมีไม่พอให้ท่านใช้ระบายความใคร่อีกหรือ”“โธ่ คุณหนูใหญ่ไป๋ท่านอย่าได้ฟังคำคนที่พูดกันไปเรื่อยเปื่อยสิ หญิงสาวพวกนั้นวิ่งตามมาร้องขอข้าเองพวกนางจะมีค่าอันใด มีเพียงท่านที่ข้าให้ความสำคัญและอยากใช้ชีวิตร่วมกันเท่านั้น”“หึ ในสายตาของคุณชายรองหลี่สตรีที่หม
ในวันงานมงคลสมรสที่ยิ่งใหญ่ของโจวเหวินหลงและไป๋เล่อฉิง ฝูอวิ้นมู่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวอย่างเต็มที่ แม้จะสวมใส่ชุดที่ด้อยกว่าเจ้าบ่าวเล็กน้อย แต่นั่นมิได้กดข่มความหล่อเหลาของคนเป็นบัณฑิตให้ลดลง ด้วยความสง่างามนี้เรียกเสียงกรีดร้องรวมถึงท่าทางเขินอายจากสตรีได้ไม่น้อยถึงจะมีสตรีพยายามส่งสายตาเย้ายวนเพียงใดฝูอวิ้นมู่ก็หาได้สนใจพวกนางไม่ เนื่องจากในหัวของเขาตอนนี้มีความต้องการเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือการได้พบเจอคุณหนูใหญ่ไป๋เฟิงฮวานั่นเองและในที่สุดความต้องการของฝูอวิ้นมู่ก็เป็นจริง เมื่อเขาเดินไปพร้อมกับโจวเหวินหลงเพื่อรับตัวเจ้าสาวยังหน้าเรือนหอ หลังจากเจ้าสาวที่งดงามโดดเด่นที่สุดถูกสหายรับตัวเดินไปแล้ว ยามนั้นคล้ายกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของฝูอวิ้นมู่กำลังหยุดนิ่งขณะนั้นแม้แต่เสียงลมหายใจก็แทบจะไม่ได้ยิน ยามได้เห็นใบหน้าเรียวที่มีองคาพยพทั้งห้าปั้นแต่ง ไป๋เฟิงฮวาอยู่ในชุดเสื้อผ้าสีดอกท้อยิ่งเสริมให้นางดูอ่อนหวานน่ามอง แต่ดวงตาเรียวกลับมีความเด็ดเดี่ยวให้เห็นอยู่ในทีฝูอวิ้นมู่กลับมามีสติอีกครั้งจากการเรียกของกุยหยาง เพราะเขาเห็นเจ้านายยืนนิ่งอยู่นานไม่ยอมตามสหายไปเสียที แต่ถึงก
ชาตินี้ข้าเลือกเขาเป็นสามีระหว่างทางกลับโจวเหวินหลงถูกฝูอวิ้นมู่บ่นให้เล็กน้อยเรื่องที่ยอมให้ตนติดตามมา โดยหวังว่าวันนี้เขาจะได้เห็นหน้าของคุณหนูใหญ่ไป๋เสียหน่อย แต่จนแล้วจนรอดนางก็ไม่ยอมออกมาต้อนรับ ทำให้ฝูอวิ้นมู่รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย“เฮ้อ อาหลงเจ้าว่าข้าไม่มีดวงเรื่องเนื้อคู่หรือไม่นะ”“หึ ๆ ๆ ทำไมเจ้าผิดหวังมากหรือที่คุณหนูใหญ่ไป๋ไม่ออกมาต้อนรับร่วมกับใต้เท้าไป๋”“ไอหยา ข้าก็แค่อยากเห็นนางชัด ๆ สักครั้ง เผื่อว่าระหว่างข้ากับนางจะมีวาสนาต่อกันทันทีที่ได้พบหน้าก็เท่านั้นเอง”โจวเหวินหลงตอบคำถามโดยไม่มองสหายเกี่ยวกับเรื่องของไป๋เฟิงฮวา “ใช่ว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสเสียเมื่อไหร่ ในวันที่ข้ามารับตัวฉิงเอ๋อร์คุณหนูใหญ่ไป๋นางต้องออกมาช่วยต้อนรับแขก เจ้าย่อมได้เห็นนางหรือบางทีอาจได้พูดคุยกันก็เป็นได้นะอามู่”“ใช่ เจ้าพูดไม่ผิดในวันนั้นนางต้องมาช่วยครอบครัวต้อนรับแขก ขอบใจเจ้ามากนะอาหลงที่ช่วยเตือนข้าเรื่องนี้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนก็แล้วกันดูเหมือนว่าเสื้อผ้าที่มีอยู่ของข้าคงต้องตัดใหม่ จะได้ไม่ทำให้เจ้ากับท่านลุงท่านป้าขายหน้าในวันงาน ข้าไปล่ะ” ฝูอวิ้นมู่เมื่อได้รับคำชี้แนะจากสหายก็กลับมาม
สามวันต่อมาขบวนเดินทางของนายท่านโจวและฮูหยินก็กลับมาจากไปท่องเที่ยวแดนใต้ ทั้งสองแม้จะส่งต่อกิจการให้บุตรชายทั้งสองดูแล แต่ไม่ว่าอย่างไรยามไปที่ใดก็อดจะนำสินค้ากลับมามากมายไม่ได้อยู่ดีโจวเหวินหลงกับโจวฉีหมิงยืนรอต้อนรับบิดามารดาอยู่ด้านหน้าจวน ด้วยท่าทางเคร่งขรึมที่เป็นเอกลักษณ์ของโจวเหวินหลง มักจะทำให้มารดาบ่นอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากเกรงว่าบุตรชายคนโตจะไม่มีสตรีใดอยากเข้าใกล้“คารวะท่านพ่อท่านแม่ขอรับ /คารวะท่านพ่อท่านแม่ขอรับ”หลีฮูหยินผละจากสามีเข้ามาจับมือบุตรชายทั้งสองอย่างรวดเร็ว “หลงเอ๋อร์ หมิงเอ๋อร์ แม่คิดถึงพวกเจ้าสองคนยิ่งนัก”“ท่านแม่ลูกกับพี่ใหญ่ก็คิดถึงท่านขอรับ โดยเฉพาะพี่ใหญ่ที่คิดถึงพวกท่านมากกว่าหลายเท่าในเวลานี้”“หือ หมิงเอ๋อร์เจ้าหมายความว่าอย่างไร แม่ดูท่าทางพี่ใหญ่ของเจ้าก็ไม่เห็นมีอันใดแปลกตรงไหนเลยนะ”นายท่านโจวก็ลอบสังเกตบุตรชายคนโตของตนอย่างที่บุตรชายคนเล็กกล่าวมา แต่เขาเห็นด้วยอย่างที่หลีฮูหยินกล่าวมาจริง ๆ“นั่นน่ะสิแม่ของเจ้าพูดถูกนะหมิงเอ๋อร์ ดูสิพี่ใหญ่ของเจ้าไม่เห็นว่าจะกระตือรือร้นอันใดเลยสักนิด”“หึ ๆ ๆ ถ้าพวกท่านอยากรู้ก็เข้าไปนั่งพูดคุยกันด้านในดีกว่าข
ในวันเดียวกันโจวเหวินหลงมารับไป๋เล่อฉิงที่จวน และพานางไปรอฟังข่าวยังเหลาอาหารของตระกูลโจว โดยมีเจิงอู่นำตัวพยานไปมอบให้ฝูอวิ้นมู่จึงรอฟังข่าวอยู่หน้าประตูวังหลวง ส่วนซวี่ไห่ก็ทำหน้าที่ดูแลเจ้านายทั้งสองจนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่ของกรมตุลาการพร้อมกำลังทหารมุ่งหน้าไปยังจวนขุนนาง จึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการลงมือของฝูอวิ้นมู่สามารถทำได้สำเร็จ เจิงอู่จึงรีบกลับไปรายงานเรื่องดังกล่าวต่อเจ้านายของตนทันทีพอเจิงอู่มาถึงคนที่ถามกลับเป็นไป๋เล่อฉิงซึ่งนางไม่ยอมอยู่เฉย เอาแต่เดินไปเดินมาจนจิ่งฟางยังรู้สึกเหนื่อยแทนเจ้านายของตน“นายน้อย คุณหนูสี่ไป๋”“เจิงอู่เจ้ากลับมาแล้วเป็นอย่างไรฮ่องเต้ทรงตัดสินโทษใดแก่ตระกูลเส้างั้นหรือ?”“เรียนคุณหนูสี่ไป๋ข่าวจากในวังกล่าวกันว่า ฝ่าบาททรงตัดสินโทษประหารชีวิตแก่ตระกูลเส้าและพรรคพวกขุนนางทั้งหมด ยามนี้เจ้าหน้าที่จากกรมตุลาการกำลังไปจับกุมคนในตระกูล เพื่อนำไปขังคุกรอวันประหารขอรับ”ไป๋เล่อฉิงได้ยินเช่นนั้นก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ จนเกือบทำตนเองสะดุดล้มยังดีที่โจวเหวินหลงคว้าตัวเอาไว้ได้ทัน ถึงจะถูกดุแต่นางไม่สนใจเนื่องจากอยู่ในอารมณ์ดีใจมากกว่า“สมน้ำหน้าทั้งพ่อ
ยามเช้ามืดของวันถัดมาขุนนางทุกตำแหน่งต่างทยอยมารอยังหน้าท้องพระโรง เพื่อรอเวลาประชุมเช่นทุกครั้งที่มีฎีกาสำคัญถวายรายงานมาถึงฮ่องเต้ และพวกเขาจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ก่อนที่ฮ่องเต้จะทรงตัดสินพระทัยเป็นครั้งสุดท้ายฝูอวิ้นมู่ที่มีกุยหยางยืนถือหีบไม้อยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นว่าใต้เท้าไป๋มาถึงจึงเดินเข้าไปทักทาย และกระซิบบอกถึงสิ่งที่สหายของตนฝากมาในวันนี้ให้ทราบ“คารวะใต้เท้าไป๋ขอรับ”“ใต้เท้าฝูหรอกหรือ ได้ข่าวว่าพักนี้ที่กรมตุลาการมีเอกสารเกี่ยวกับคดีให้จัดการคงเหนื่อยไม่น้อยเลยนะ” ใต้เท้าไป๋ชื่นชมความสามารถของฝูอวิ้นมู่ไม่น้อย ได้ตำแหน่งสูงและยังได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ นี่คือสิ่งที่ขุนนางหลายคนต้องการมากที่สุดก็ว่าได้“ก็มีบ้างขอรับนอกจากคดีใหม่ ๆ ยังมีคดีเก่าที่ปิดอย่างขอไปทีอีกมาก จำเป็นต้องตรวจสอบให้ละเอียดเท่านั้น อ้อ ใต้เท้าไป๋วันนี้ท่านรอดูเรื่องสนุก ๆ ในท้องพระโรงได้เลยนะ หลังจากวันนี้ใต้เท้ากับครอบครัวไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับคนบางคนอีกแล้วล่ะขอรับ”“ใต้เท้าฝูกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร จะมีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นระหว่างการประชุมงั้นหรือ?”ฝูอวิ้นมู่ขยับเข







