จิ่งฟางเร่งฝีเท้าของตนรีบไปพบมารดาของไป๋เล่อฉิง เพื่อรายงานเรื่องที่เจ้านายฟื้นจากอาการไข้ขึ้นสูง
ก๊อก ๆ ๆ “ฮูหยินบ่าวจิ่งฟางเจ้าค่ะ”
หวังกุ้ยฉินมารดาของไป๋เล่อฉิงที่นั่งอยู่กับสามีของตนอย่างไป๋หมิงอัน พอได้ยินว่าคนที่เคาะประตูคือสาวใช้ข้างกายของบุตรสาวก็อนุญาตทันที
“เข้ามาเถิดจิ่งฟาง”
“นายท่าน ฮูหยิน บ่าวจะมารายงานว่าเมื่อหนึ่งเค่อที่ผ่านมาคุณหนูได้สติแล้วเจ้าค่ะ”
“จิ่งฟางเจ้าบอกว่าฉิงเอ๋อร์นางฟื้นแล้วงั้นรึ ท่านพี่ได้ยินหรือไม่ในที่สุดฉิงเอ๋อร์ของเราก็ปลอดภัยแล้วนะเจ้าคะ”
ใต้เท้าไป๋แม้จะดีใจที่บุตรสาวปลอดภัย แต่ยังคงรู้สึกแย่เกี่ยวกับเรื่องที่บุตรสาวทำเอาไว้ “เฮ้อ จิ่งฟางบุตรสาวของข้านางฟื้นขึ้นมา คงไม่ได้ถามถึงเส้าเหยี่ยนเสียงเป็นคนแรกหรอกนะ”
“เรียนนายท่านจะว่าไปก็แปลกมากนะเจ้าคะ ท่าทางยามที่คุณหนูตื่นขึ้นมาคล้ายกับว่าได้พบเจอเรื่องเลวร้าย นอกจากนี้ยังพูดขอโทษบ่าวและยังสมน้ำหน้าที่คุณชายใหญ่เส้าได้รับบาดเจ็บด้วยเจ้าค่ะ”
หวังฮูหยินมองหน้าสามีที่ทำสีหน้างุนงงสงสัยกับคำพูดที่จิ่งฟางได้บอกกับพวกตน ที่ผ่านมาบุตรสาวคนนี้เอาแต่พูดถึงคุณชายตระกูลเส้าอยู่ทุกเช้าค่ำ
“นี่...ฟังดูก็น่าแปลกอย่างที่จิ่งฟางว่ามานะเจ้าคะท่านพี่ ก่อนหน้านี้ไม่มีวันไหนที่ฉิงเอ๋อร์ไม่เอ่ยถึงคุณชายใหญ่ตระกูลเส้า”
“อืม น่าแปลกจริง ๆ ยังมีอย่างอื่นที่นางพูดอีกหรือไม่จิ่งฟาง”
จิ่งฟางไม่รอช้ารีบเล่าให้สองสามีภรรยาฟังถึงคำสั่งที่ไป๋เล่อฉิงสั่งกับนางเอาไว้
“อ้อ ใช่แล้วเจ้าค่ะมีอีกเรื่องหนึ่งที่คุณหนูพูดด้วยตนเองว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณชายใหญ่เส้าอีก หากมีบ่าวไพร่จากตระกูลเส้ามาเชิญคุณหนูไปที่จวน ก็ให้ไล่กลับไปอย่าได้รับคำฝากฝังอันใดทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
ใต้เท้าไป๋ฟังมาถึงจุดนี้ก็แทบไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นคำพูดของบุตรสาว “จริงรึ! นี่ใช่ความคิดของบุตรสาวข้าจริง ๆ งั้นหรือ”
“ท่านพี่หรือว่าการที่ฉิงเอ๋อร์ต้องเจ็บตัวครั้งนี้ ทำให้นางคิดได้ในที่สุดหรือไม่เจ้าคะว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับคนตระกูลเส้าอีก” หวังฮูหยินเอ่ยถึงความคิดของตนเกี่ยวกับคำพูดของบุตรสาวที่จิ่งฟางได้บอกเล่าออกมา
“นายท่าน ฮูหยิน พรุ่งนี้เช้าคุณหนูจะมารับมื้อเช้ากับพวกท่าน หากไม่เชื่อสิ่งที่บ่าวพูดละก็ค่อยถามกับคุณหนูอีกครั้งก็ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเจ้าหรอกนะจิ่งฟาง แต่เรื่องนี้มันเหลือจะเชื่อมากเกินไปก็เท่านั้นเอง เจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” ใต้เท้าไป๋กล่าวอย่างคนปลงตก
“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะนายท่าน เช่นนั้นบ่าวขอตัวไปดูสำรับมื้อเย็นให้คุณหนูก่อนนะเจ้าคะ”
“ไปเถิด ฝากเจ้าช่วยดูแลฉิงเอ๋อร์ให้ดีด้วยเล่า”
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
หลังจากจิ่งฟางพ้นไปประตูโถงรับรองสองสามีภรรยาได้แต่มองหน้ากันไปมา พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับบุตรสาว นางถึงได้กล่าวคำที่ทุกคนอยากฟังมาเนิ่นนานในยามนี้ ถ้าหากอยากได้คำตอบที่แน่ชัดนั่นต้องรอถามกับบุตรสาวด้วยตนเองเท่านั้น
เมื่อร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และได้รับยารักษาได้ทันท่วงที ไป๋เล่อฉิงจึงตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ด้วยสีหน้าที่เริ่มมีเลือดฝาดเล็กน้อย และนางก็ทำตามที่บอกกับจิ่งฟางไว้ว่าจะไปรับสำรับเช้าพร้อมทุกคนในครอบครัว
ภายในห้องอาหารของเรือนใหญ่นอกจากบิดามารดาของไป๋เล่อฉิงแล้ว ยังมีพี่ชายกับพี่สาวร่วมอุทรรวมถึงอนุของบิดาและพี่สาวอีกสองคน ในตระกูลอื่นอาจเกิดการแก่งแย่งเพราะความริษยา แต่ตระกูลไป๋นี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
เพราะถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าเกิดเรื่องดีหรือร้ายย่อมได้รับสิ่งเหล่านั้นร่วมกันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ บุตรชายบุตรสาวของจวนไป๋จึงรักใคร่ห่วงใยคอยช่วยเหลือกันเสมอ เมื่อทุกคนเห็นไป๋เล่อฉิงเดินเข้ามาในห้องอาหาร ต่างส่งสายตาที่แสดงถึงความเป็นห่วง เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของนางที่เกิดจากบุรุษตระกูลเส้าผู้นั้น
ไป๋เจิ้งหยูผู้เป็นพี่ชายคนโตรีบลุกไปช่วยประคองน้องสาวจากจิ่งฟาง และพานางมานั่งประจำตำแหน่งอย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องอาการป่วยด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ฉิงเอ๋อร์เหตุใดไม่ให้จิ่งฟางไปบอกพี่ใหญ่หรือพี่รองของเจ้าล่ะ เจ้าเพิ่งจะฟื้นยังฝืนเดินจากเรือนมาที่นี่อีก ไม่ดีกว่าหรือถ้าพี่ใหญ่จะไปรับเจ้าที่เรือน”
“ขอบคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ แต่ฉิงเอ๋อร์อยากเดินมาเองให้ร่างกายได้ขยับมากสักหน่อย นอนเป็นผักมาหลายวันเมื่อยตัวจะแย่”
“ฉิงเอ๋อร์ของพี่รองเป็นคนเก่งอีกไม่กี่วันก็หายดีแล้ว ไว้พี่รองจะพาเจ้าไปกินขนมที่เจ้าชอบดีไหม” ไป๋เซียวหยาผู้ตามใจน้องสาวคนนี้มากกว่าใคร ได้ทีก็พูดเอาใจก่อนพี่น้องคนอื่น ๆ
ไป๋เล่อฉิงส่งยิ้มบางให้พี่ชายคนรองและเห็นดีเห็นงามกับคำพูดของเขา “ย่อมดีอยู่แล้วเจ้าค่ะพี่รอง”
“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งชวนฉิงเอ๋อร์คุยเลยนะ มากินข้าวให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปนั่งพูดคุยกันทีหลัง ประเดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน” หวังฮูหยินเห็นสีหน้าของบุตรสาวดูสดใสก็โล่งอก และกล่าวตัดบทสนทนาของพี่น้องเพื่อให้ทุกคนได้กินอาหารมื้อเช้า
“ขอรับท่านแม่ /เจ้าค่ะท่านแม่”
ฮูหยินรองหลี่หรูซินที่เอ็นดูไป๋เล่อฉิงก็เอ่ยสำทับคำพูดของหวังฮูหยินด้วยอีกคน “ใช่แล้วล่ะ ฉิงเอ๋อร์ต้องกินให้มากหน่อยนะจะได้แข็งแรงไว ๆ”
“ขอบคุณฮูหยินรองที่เป็นห่วงฉิงเอ๋อร์เจ้าค่ะ”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความอบอุ่น ชามในมือของไป๋เล่อฉิงเต็มไปด้วยอาหารที่ทุกคนคีบให้นาง จนท้องน้อย ๆ กินต่อไปไม่ไหวจึงได้วางตะเกียบลง และนั่งรอคนอื่น ๆ อย่างเงียบ ๆ
เมื่อทุกคนกินจนอิ่มจึงย้ายไปยังห้องโถงใหญ่ เพื่อพูดคุยกับไป๋เล่อฉิงเกี่ยวกับเรื่องของเส้าเหยี่ยนเสียง ซึ่งท่าทีที่ไป๋เล่อฉิงแสดงออกมารวมถึงแววตาที่เรียบนิ่ง เป็นสิ่งที่คนในตระกูลไป๋คล้ายกับยกภูเขาออกจากอก
ใต้เท้าไป๋จึงเป็นคนเอ่ยกับบุตรสาวเพราะไม่อยากให้การพูดคุยยืดเยื้อจนเกินไป
“ฉิงเอ๋อร์เจ้าคงรู้ดีว่าทุกคนรักและเป็นห่วงเจ้ามาก เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ทำให้พวกเราเจ็บปวดกับการล้มป่วยของเจ้า ฉิงเอ๋อร์เป็นไปได้หรือไม่ถ้าพ่อจะขอให้เจ้า...”
ไป๋เล่อฉิงไม่รอให้บิดาถามจนจบเพราะนางรู้ว่าบิดาต้องการจะพูดถึงเรื่องอันใด ดังนั้นการพูดสิ่งที่นางได้ตัดสินใจต่อหน้าทุกคนด้วยตนเองย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“ท่านพ่อเจ้าคะฉิงเอ๋อร์ขอโทษที่ทำให้ท่านพ่อกับทุกคนต้องเป็นห่วง และทำเรื่องที่ไม่สมควรหลายอย่าง เพราะดวงตามืดบอดมองคนแค่เปลือกนอก ไม่เชื่อฟังคำทัดทานของคนในครอบครัวจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
หลังจากฉิงเอ๋อร์ตื่นจากการหมดสติขึ้นมา ก็ได้ทบทวนทุกอย่างและรู้ว่าคนที่รักฉิงเอ๋อร์มากที่สุดก็คือพวกท่าน จากนี้ไปฉิงเอ๋อร์ขอสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเส้าเหยี่ยนเสียงอีกแล้วเจ้าค่ะ
จะไม่พบเจอหรือติดต่อใด ๆ กับคนเช่นนั้นอีก คนที่คู่ควรกับความรักของฉิงเอ๋อร์ต้องเป็นบุรุษที่มั่นคงในรัก และพร้อมจะปกป้องฉิงเอ๋อร์ไปตลอดชีวิตเจ้าค่ะ”
“ฉิงเอ๋อร์ลูกแม่เจ้าไม่ต้องขอโทษหรอกนะ พวกเราดีใจเสียอีกที่ลูกคิดได้และไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนตระกูลเส้าอีก จากนี้เจ้าจะเป็นฉิงเอ๋อร์ที่สดใสร่าเริงเช่นเมื่อก่อนเสียที” หวังฮูหยินจับมือของบุตรสาวเอาไว้แน่น และพูดจาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพราะดีใจที่บุตรสาวตัดใจจากเส้าเหยี่ยนเสียง
ไป๋เฟิงฮวาพี่สาวคนโตที่นิสัยห้าวหาญก็กล่าวกับน้องสาวเกี่ยวกับเส้าเหยี่ยนเสียงเช่นกัน
“ฉิงเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องห่วงหากต้องออกจากจวน พี่หญิงใหญ่คนนี้จะปกป้องเจ้าจากบุรุษใจร้ายผู้นั้นเอง”
ไป๋เหม่ยหลินและไป๋เหลียงซินคุณหนูรองและคุณหนูสาม ก็เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่สาวคนโตเอ่ยกับไป๋เล่อฉิง
“ยังมีพี่หญิงรองกับพี่หญิงสามของเจ้านะฉิงเอ๋อร์ ต่อไปหากใครคิดจะรังแกเจ้าพวกพี่จะช่วยจัดการให้เจ้าเอง”
“น่าเสียดายที่พี่รองต้องกลับไปชายแดน ไม่รู้จะได้กลับมาเมืองหลวงเมื่อใดน่ะสิ” ไป๋เซียวหยาเห็นพี่น้องคนอื่น ๆ แสดงท่าทีปกป้องน้องสาวแต่เขาไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้
ไป๋เจิ้งหยูไม่อยากให้น้องชายต้องกังวลเรื่องของไป๋เล่อฉิงเขาจึงกำชับด้วยตนเอง “หึ เจ้าอย่าคิดมากเลยน้องรองทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็พอ อย่าลืมว่ายังมีพี่ใหญ่อยู่ทั้งคนจะปล่อยให้ฉิงเอ๋อร์ถูกรังแกได้อย่างไรจริงไหม”
“ข้าเชื่อว่าหลังจากนี้พี่ใหญ่ไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องไม่ดีกับฉิงเอ๋อร์ได้อีกแน่นอนขอรับ”
ไป๋เล่อฉิงมองคนในครอบครัวที่รักและห่วงใยตนเองด้วยดวงตาแดงก่ำ ได้แต่คิดว่าชาติก่อนนางมองข้ามความรู้สึกของพวกเขาไปได้อย่างไร แค่เพียงนางมีสติและคิดไต่ตรองให้ดีสักหน่อย คงไม่ตกตายอย่างทรมานด้วยน้ำมือของบุรุษที่บอกว่ารักนางเป็นแน่
“ขอบคุณพวกท่านมากเจ้าค่ะ ถ้าหายดีแล้วฉิงเอ๋อร์จะช่วยพี่หญิงทั้งสามดูแลเรื่องการค้านะเจ้าคะ”
“ได้สิจ๊ะ ฉิงเอ๋อร์อยากดูแลร้านใดก็บอกพวกพี่ได้เลยนะ”
“เจ้าค่ะพี่หญิงใหญ่”
หลังจากนั่งพูดคุยกันได้พอประมาณก็เป็นใต้เท้าไป๋ที่หยุดทุกคนไว้เพียงเท่านั้น และสั่งให้จิ่งฟางพาบุตรสาวกลับไปพักผ่อนที่เรือน
“ตอนนี้ก็ไม่เช้าแล้วทุกคนแยกย้ายไปทำงานเถิด ส่วนฉิงเอ๋อร์ก็กลับเรือนไปพักผ่อนอย่าได้ตากลมนาน ๆ ประเดี๋ยวไข้กลับขึ้นมาจะอดไปช่วยพี่สาวของเจ้าได้นะ”
“เช่นนั้นฉิงเอ๋อร์ขอตัวกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ”
“พวกข้าเองก็ต้องไปจัดการเรื่องงานที่ค้างอยู่เช่นกัน และจะแวะไปส่งน้องสาวที่ร้านค้าด้วยขอรับท่านพ่อ” ไป๋เจิ้งหยูเอ่ยกับบิดาแทนน้องชายน้องสาว เพราะร้านค้าของมารดาเป็นทางผ่านของตนอยู่แล้ว
“อืม ไปเถิดดูแลน้อง ๆ ให้ดีล่ะ”
“ขอรับท่านพ่อ”
และแล้ววันนี้เรื่องที่ทำให้คนตระกูลไป๋รู้สึกหม่นหมองก็ถูกปลดเปลื้อง เมื่อคำสัญญาที่ออกจากปากของไป๋เล่อฉิง ทำให้ความสุขกลับมาสู่ตระกูลไป๋อีกครั้ง
แต่กลับมีบางคนที่ทำให้เส้าเหยี่ยนเสียงต้องเจ็บตัวไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่าย ๆ ความเจ็บปวดยามต้องเห็นสตรีที่ตนพึงใจมานานเกิดล้มป่วย เพียงเพราะคำสัญญาจากปากพล่อย ๆ ของเส้าเหยี่ยนเสียง เขาอยากสังหารบุรุษเช่นนี้ทิ้งไปเสียด้วยซ้ำ พอคิดอีกทีการค่อย ๆ ทรมานต่อไปย่อมดีกว่าเป็นไหน ๆ
ผ่านมาหลายวันตั้งแต่ล้มป่วยเพราะพิษไข้และส่งพี่ชายคนรองกลับชายแดนแล้ว วันนี้ไป๋เล่อฉิงจึงถือโอกาสออกจากจวนพร้อมพี่สาวทั้งสามไปยังร้านค้าของมารดา ซึ่งเป็นร้านขายเครื่องประดับอันดับต้น ๆ ของเมืองหลวงที่สำคัญร้านนี้ไป๋เล่อฉิงยังเคยหยิบเครื่องประดับ ที่เส้าเหยี่ยนเสียงบอกว่าชื่นชอบมอบให้เขาอย่างง่ายดาย ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่นางมอบให้ล้วนไปอยู่กับหลัวอี้หรูทั้งสิ้นในวันนี้ไป๋เล่อฉิงเองก็ไม่คาดคิดว่าเส้าเหยี่ยนเสียงจะวิ่งมาหาเรื่องนางทันทีที่ลุกจากเตียงได้ แต่การพูดจาและท่าทางที่เปลี่ยนไปของไป๋เล่อฉิง กลับทำให้เส้าเหยี่ยนเสียงคิดว่าที่นางทำอยู่คือการเรียกร้องความสนใจจากตนเท่านั้นบรรยากาศภายในร้านเครื่องประดับที่มีลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อสินค้าอย่างคึกคัก ไป๋เล่อฉิงที่ช่วยพี่สาวต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้มอยู่นั้น ต้องหยุดทุกอย่างลงเมื่อมีเสียงของบุรุษที่นางไม่อยากได้ยินเรียกชื่อของนางดังลั่นไปทั่วร้าน“ไป๋เล่อฉิง! ไหนเจ้าบอกว่ารักข้าหนักหนา ข้าบาดเจ็บนอนซมรักษาตัวอยู่หลายวัน ส่งคนมาตามเจ้าที่จวนอยู่หลายครั้งเหตุใดถึงได้ใจดำ ไม่แม้แต่จะไปช่วยดูแลข้าสักครั้ง”ไป๋เฟิงฮวาที่ยืนอยู่ไม่ไกลเร่งเดิ
ย้อนกลับไปในคืนวันงานโคมไฟเส้าเหยี่ยนเสียงที่ตกปากรับคำไป๋เล่อฉิงว่าจะพานางไปเดินเที่ยวชมงาน แต่เมื่อถึงเวลาที่ได้นัดหมายกลับไม่ยอมปรากฏตัวปล่อยให้ไป๋เล่อฉิงยืนรออยู่เช่นนั้น ส่วนตัวของเส้าเหยี่ยนเสียงกลับไปเดินเที่ยวอย่างสนุกสนาน กับหลัวอี้หรูบุตรสาวของใต้เท้าหลัวรองเสนาบดีกรมขุนนางเพียงแต่ในเงามืดกลับมีบุรุษผู้หนึ่งที่เฝ้าติดตามความเป็นไปของสตรีในดวงใจมานาน เขาเฝ้ารอวันที่นางจะผ่านพ้นวัยปักปิ่นแล้วค่อยไปสู่ขอหมั้นหมาย ไม่คิดว่าการปล่อยเวลาให้ล่วงเลยจะเป็นการเปิดโอกาสให้บุรุษใจทราม ทำให้สตรีที่เขาหมายตาตกหลุมรักจากนั้นก็ทำร้ายจิตใจนางหลายครั้งในวันนี้คนอย่างโจวเหวินหลงจะไม่ยอมนิ่งเฉยอีกต่อไป การกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้เขาจะทำทุกวิธีให้ทั้งสองเลิกรา และเขาจะเป็นคนเข้าไปปลอบโยนหัวใจที่บอบช้ำของนางเองด้านบนชั้นสองของโรงน้ำชากลางเมืองหลวง ห้องส่วนตัวที่ด้านในมีคุณชายใหญ่โจวและสหายอย่างฝูอวิ้นมู่นั่งพูดคุยกันอยู่ จู่ ๆ คนสนิทของเขาอย่างเจิงอู่ก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ พร้อมกับรายงานเรื่องที่ทำให้โจวเหวินหลงมีโทสะ ถ้วยน้ำชาในมือถูกบีบไว้แน่นก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ“เรียนนายน้อยตั้งแต่ยามซวี
จิ่งฟางเร่งฝีเท้าของตนรีบไปพบมารดาของไป๋เล่อฉิง เพื่อรายงานเรื่องที่เจ้านายฟื้นจากอาการไข้ขึ้นสูงก๊อก ๆ ๆ “ฮูหยินบ่าวจิ่งฟางเจ้าค่ะ”หวังกุ้ยฉินมารดาของไป๋เล่อฉิงที่นั่งอยู่กับสามีของตนอย่างไป๋หมิงอัน พอได้ยินว่าคนที่เคาะประตูคือสาวใช้ข้างกายของบุตรสาวก็อนุญาตทันที“เข้ามาเถิดจิ่งฟาง”“นายท่าน ฮูหยิน บ่าวจะมารายงานว่าเมื่อหนึ่งเค่อที่ผ่านมาคุณหนูได้สติแล้วเจ้าค่ะ”“จิ่งฟางเจ้าบอกว่าฉิงเอ๋อร์นางฟื้นแล้วงั้นรึ ท่านพี่ได้ยินหรือไม่ในที่สุดฉิงเอ๋อร์ของเราก็ปลอดภัยแล้วนะเจ้าคะ”ใต้เท้าไป๋แม้จะดีใจที่บุตรสาวปลอดภัย แต่ยังคงรู้สึกแย่เกี่ยวกับเรื่องที่บุตรสาวทำเอาไว้ “เฮ้อ จิ่งฟางบุตรสาวของข้านางฟื้นขึ้นมา คงไม่ได้ถามถึงเส้าเหยี่ยนเสียงเป็นคนแรกหรอกนะ” “เรียนนายท่านจะว่าไปก็แปลกมากนะเจ้าคะ ท่าทางยามที่คุณหนูตื่นขึ้นมาคล้ายกับว่าได้พบเจอเรื่องเลวร้าย นอกจากนี้ยังพูดขอโทษบ่าวและยังสมน้ำหน้าที่คุณชายใหญ่เส้าได้รับบาดเจ็บด้วยเจ้าค่ะ”หวังฮูหยินมองหน้าสามีที่ทำสีหน้างุนงงสงสัยกับคำพูดที่จิ่งฟางได้บอกกับพวกตน ที่ผ่านมาบุตรสาวคนนี้เอาแต่พูดถึงคุณชายตระกูลเส้าอยู่ทุกเช้าค่ำ“นี่...ฟังดูก็น่าแปลกอย่
พรึบ! ตุบ“โอ๊ย! นะ นะ นี่มันเรือนของข้า? ข้าตายไปแล้วมิใช่หรือเหตุใดถึงได้...”“คุณหนู ๆ ท่านฟื้นแล้วบ่าวดีใจเหลือเกินที่คุณหนูฟื้นขึ้นมา ฮึก ๆ ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกได้หรือไม่เจ้าคะ” จิ่งฟางที่ไปนำยาจากห้องครัวเกือบทำถ้วยยาร่วง เมื่อเดินเข้ามาในเรือนของเจ้านายและเห็นว่านางฟื้นจากอาการเจ็บป่วยไป๋เล่อฉิงเมื่อเห็นสาวใช้ที่จงรักภักดีต่อตนเองยังมีชีวิตอยู่ ก็น้ำตาไหลออกมาและกล่าวขอโทษกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น “จะ จะ จิ่งฟางเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าขอโทษ ๆ ฮือ ๆ ๆ”ยามนี้ไป๋เล่อฉิงกำลังคิดว่าตนเองได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง พอนึกขึ้นได้นางจึงเริ่มถามจิ่งฟางเพื่อความมั่นใจถึงสาเหตุที่นางต้องล้มป่วยทันที“ฮึก จิ่งฟางเจ้าบอกข้าทีที่ข้าต้องล้มหมอนนอนเสื่อเช่นนี้ เพราะข้าทำเรื่องโง่ ๆ ด้วยการไปยืนตากน้ำค้างรอเส้าเหยี่ยนเสียงในโคมไฟใช่ไหม”“ใช่เจ้าค่ะคุณหนู ท่านยืนตากน้ำค้างอยู่ครึ่งค่อนคืนทั้งที่อากาศเย็น แต่จนแล้วจนรอดคุณชายใหญ่เส้าก็ไม่มาตามที่นัดแนะกับท่านไว้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่คุณหนูมีไข้ขึ้นสูงนอนไม่ได้สติมาสองคืนสามวันแล้วเจ้าค่ะ”“ไอ้คนสารเลว! ข้าอุตส่าห์จริงใจทำทุกอย่างให้ไม่เคยขัด แต่สุดท้
ณ เรือนท้ายจวนตระกูลเส้าบนพื้นเรือนที่เต็มไปด้วยฝุ่นมีร่างของสตรีผู้หนึ่ง ที่หลายเดือนก่อนหน้ายังเป็นคุณหนูผู้งดงามของตระกูลอันร่ำรวย แต่บัดนี้กลับกลายเป็นคนซูบผอม บนร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกทรมาน“ไป๋เล่อฉิง” หลังจากถูกสู่ขอและตบแต่งกับบุรุษที่นางตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น ผ่านไปเพียงสามวันสินเดิมหลายสิบหีบของนาง ยามนี้มิใช่ของนางอีกต่อไป เพราะครอบครัวของสามีอย่างเส้าเหยี่ยนเสียงยึดไปทั้งหมดส่วนตัวของไป๋เล่อฉิงจากตำแหน่งฮูหยินน้อยในเรือนใหญ่ ก็ถูกส่งตัวมาอยู่ยังเรือนท้ายจวนที่ผุพังกับสาวใช้ที่ติดตามมา ข้าวปลาอาหารได้รับเพียงวันละหนึ่งมื้อ สาวใช้อย่างจิ่งฟางที่สงสารเจ้านายของตน จึงไปแอบขโมยอาหารในห้องครัวจนถูกจับได้ และถูกลงโทษโบยจนตายต่อหน้าของไป๋เล่อฉิง“ท่านพี่ข้าขอร้องได้โปรดปล่อยจิ่งฟางไปเถิด นางแค่สงสารข้าถึงได้ทำเรื่องผิด ๆ เช่นนี้”“คะ คะ คุณหนูอย่าทำเช่นนั้นเพื่อบ่าวเลยเจ้าค่ะ”“เห็นหรือไม่ สาวใช้ของเจ้านางยังไม่ยอมร้องขอชีวิต โบยต่อไป!”“ไม่นะ จิ่งฟาง ๆ ฮือ ๆ ข้าขอโทษ ฮือ ๆ ๆ”“เจียหงให้คนลากไป๋เล่อฉิงไปขังไว้เช่นเดิม อย่าลืมลงโทษนางเพิ่มวันนี้แม้แต่น้ำสักหยดก็อย่าให้
ตระกูลเส้าที่ผู้นำตระกูลเป็นถึงเสนาบดีใหญ่กรมขุนนาง ภายนอกที่ผู้คนเห็นอาจแลดูรุ่งเรืองแต่ภายในกลับลวงโบ๋ แต่เพราะมีสตรีอย่างคุณหนูสี่ตระกูลไป๋ที่ตกหลุมรักคุณชายตระกูลเส้า แผนชั่วของคนเห็นแก่ตัวจึงเกิดขึ้นความรักทำให้คนดวงตามืดบอดไม่ยอมฟังคำทัดทานของผู้ใด เมื่อบุตรสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจของใต้เท้าไป๋เสนาบดีกรมพิธีการ อ้อนวอนให้บิดาตอบรับการสู่ขอของตระกูลเส้า หากบิดาไม่ยินยอมนางจะใช้ความตายเพื่อให้ได้มาซึ่งความรักในครั้งนี้ในที่สุดคุณหนูสี่ “ไป๋เล่อฉิง” ก็สมหวังนางได้แต่งเข้าจวนตระกูลเส้าในฐานะฮูหยินน้อย เพียงแต่หลังการแต่งงานผ่านไปไม่ทันไร บุรุษที่เคยบอกว่ารักนางนักหนากลับกลายเป็นอีกคน จนนางคิดว่าสิ่งที่เห็นคือความฝันไม่ใช่ความจริงสินเดิมมากมายที่นำติดตัวมาจากบ้านเดิมถูกสามียึดไปทั้งหมด เพื่อนำไปอุดรอยรั่วของคลังในตระกูลของเขา และที่สำคัญเขายังรับสหายของนางเข้ามาในฐานะฮูหยินฐานะเท่าเทียมเช่นเดียวกับนาง ชีวิตที่เคยวาดหวังเอาไว้ก่อนหน้านี้พังทลายไม่มีชิ้นดี สาวใช้คนสนิทของนางถูกสังหารต่อหน้าต่อตา ส่วนตนเองก็ถูกคนเคยรักและสหายสนิททรมานจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต“เพราะเหตุใด...พวกเจ้าสองคนถ