ลี่มี่มี่นางงิ้วชื่อดังและบิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อก้องถูกย้อนเวลากลับไปเมื่อ 600กว่าปีก่อน ณ.จวนสกุลหลินซึ่งถูกพระราชโองการสั่งประหาร 9 ชั่วโคตร จนหมดสิ้นตระกูล และเธอคือคุณหนูสิบหกนามว่าาหลินลี่ชา ซึ่งถูกไฟคลอกตายภายในบ่อน้ำร้าง ท่ามกลางสายตาคู่หนึ่งขององครักษ์เสื้อแพรซึ่งเป็นว่าที่คู่หมั้นของเธอในชาติอดีต "ข้าจะกลับมาหาเจ้าอย่างแน่นอน...ซือหม่าเยี่ยคัง ข้าจะต้องได้กลับมาแน่!!! ครั้นเธอถูกนำกลับมาอีกครั้งในฐานะลี่มี่มี่ นางงิ้วชื่อดังแห่งหอเลี่ยงเฟิ่ง และวางแผนที่จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาของท่านโหวจอมโหด เพื่อเข้ามาอยู่ในจวนตงฉ่างโหวให้ได้ ลี่มี่มี่ต้องการคิดบัญชีแค้นกับทุกคนที่ทำให้ตระกูลหลินต้องสูญสิ้นโดยเฉพาะตงฉ่างโหวหรือซือหม่าเยี่ยคัง ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรคนปัจจุบัน ท่านโหวจอมโหด ตาหนวดหน้าเหี้ยมที่ลี่มี่มี่ใช้เรียก แต่แล้วกลับถูกซ้อนแผนอย่างย่อยยับจากที่จะต้องเข้ามาเป็นอนุภรรยา ดันกลับกลายมาเป็นฮูหยินของท่านโหวจอมโหดแทน
View Moreรัชศกเจี้ยนเหวิน ปีที่ 4
รัชสมัยจักรพรรดิหมิงฮุ่ยตี้(ฮ่องเต้เจี้ยนเหวิน) จักรพรรดิหมิงฮุ่ยตี้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงหลังจากจักรพรรดิหงหวู่ พระราชอัยกาเสด็จสวรรคต พระองค์ได้ทรงใช้พระนามว่าฮุ่ยตี้ และใช้ศักราชประจำพระองค์ว่าเจี้ยนเหวิน ทรงดำเนินนโยบายลดทอนอำนาจของบรรดาหวางต่างๆ อย่างเข้มงวด อ๋อง 5 พระองค์ถูกย้ายออกจากเมืองที่ประทับ บางพระองค์ถูกปลด บางพระองค์ต้องฆ่าตัวตาย และเยี่ยนอ๋องจูตี้เองก็ถูกแพ่งเล็งเนื่องจากเป็นผู้ที่มีบทบาทมากในการศึกคราวก่อนๆ และก่อนที่จักรพรรดิหงหวู่จะเสด็จสวรรคตนั้น จักรพรรดิเจี้ยนเหวินทรงมีพระราชโองการห้ามให้อ๋องต่างๆ เข้ามาถวายบังคมพระบรมศพ ด้วยเหตุที่ว่าเกรงจะมีการก่อรัฐประหาร แต่มีอ๋องพระองค์หนึ่งคือเยี่ยนอ๋องไม่ยอมทำตามราชโองการนั้น พร้อมกับนำทหารราชองครักษ์เดินทางมายังเมืองหลวงนานกิง แต่ด้วยมีราชโองการของจักรพรรดิส่งมาห้าม พระองค์จึงจำเป็นต้องกลับไปที่เมืองเป่ยจิง หลังจากสะสมอาวุธและฝึกซ้อมทหารจนใช้ชำนาญแล้ว เยี่ยนอ๋องจึงตัดสินพระทัยชิงลงมือยกทัพจากเป่ยจิงลงใต้เผชิญหน้ากับหลานชาย โดยอ้างว่าเพื่อกำจัดเหล่าขุนนางกังฉินสอพลอที่อยู่รอบข้างองค์จักรพรรดิ มีบันทึกว่าก่อนที่พระองค์จะนำกองทัพยกออกจากเมืองนั้น ได้เกิดพายุพัดแรงจนกระทั่งหลังคาวังหักพังเสียหายซึ่งพระองค์กล่าวว่าเป็นเพราะได้เวลาที่พระองค์จะได้เสด็จเข้าไปประทับที่พระราชวังหลังคาเหลืองแล้ว การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 1942 (ค.ศ. 1399) เป็นเวลานานถึง 3 ปี ในระยะแรกฝ่ายเยี่ยนอ๋องเป็นฝ่ายเสียเปรียบเนื่องจากฝ่ายจักรพรรดิมีกองทหารปืนไฟ ซึ่งมีอานุภาพสูงทำให้ต้องทรงถอยทัพกลับไปทางเหนือแต่ทหารทางใต้ไม่คุ้นเคยกับอากาศหนาวทางภาคเหนือจึงล้มป่วยเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก จนกระทั่ง พ.ศ. 1945 (ค.ศ. 1402) กองทัพของพระองค์ก็ได้ยกมาถึงชานกรุงหนานจิง ซึ่งกองทัพฝ่ายวังหลวงไม่สามารถต้านทานได้อีกเนื่องจากไม่มีแม่ทัพที่ชำนาญศึกเพราะถูกประหารไปตั้งแต่ปลายรัชกาลของจักรพรรดิหงหวู่ เหล่าขุนนางต่างพากันมาสวามิภักดิ์มากขึ้น และเมื่อถึงวันที่สาม เยี่ยนอ๋องก็สามารถบุกเข้าสู่ภายในเมืองได้ ปรากฏว่าเกิดเพลิงไหม้ภายในวังหลวง และมีผู้พบพระศพของฮองเฮากับพระราชโอรสของหมิงฮุ่ยตี้ถูกเพลิงครอกภายในวังชั้นในแต่ไม่มีใครพบพระศพของหมิงฮุ่ยตี้แม้แต่น้อย และนั่นจึงทำให้มีผู้สันนิษฐานว่าพระองค์ลอบหนีออกไปจากวังหลวงได้โดยการอารักขาจากกองทหารองครักษส่วนพระองค์ซึ่งกลุ่มขุนนางที่มีความจงรักภักดีนำเสด็จหนีออกมาจากวังหลวงได้เป็นผลสำเร็จและทรงผนวชก่อนที่จะเสียเมือง ภายหลังต่อมาอีก 39 ปี ในรัชศกจ้งถ่ง มีผู้พบพระภิกษุชรารูปหนึ่งที่มีคนจำได้ว่าคือจักรพรรดิฮุ่ยตี้ หมิงอิงจงจึงมีราชโองการให้เชิญพระองค์มาประทับที่กรุงปักกิ่ง ที่ประทับของพระองค์ถูกปิดเงียบและสวรรคตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งในเวลาต่อมา เยี่ยนอ๋องซึ่งมีชัยชนะเหนือกองกำลังของอดีตองค์จักรพรรดิเจี้ยนเหวินสถาปนาตนเองขึ้นปกครองเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์หมิง เฉลิมพระนามว่าหมิงเฉิงจู่ ใช้ศักราชว่าหย่งเล่อ หลังจากที่ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง พระองค์ทรงมีราชโองการให้ประหารขุนนาง เนื่องจากทรงระแวงว่าขุนนางเหล่านั้นจงรักภักดีต่อพระนัดดาของพระองค์ซึ่งมีจำนวนกว่า 870 คน นอกจากนี้ยังดำเนินนโยบายลดทอนอำนาจเจ้าองค์อื่น ๆ อย่างเข้มงวด เช่น ห้ามมีกองทหารประจำเมืองให้มีได้แต่ทหารรักษาพระองค์จำนวนหนึ่ง ห้ามเจ้าแต่ละเมืองติดต่อกันเองโดยไม่ได้รับพระราชานุญาติ ภารกิจแรกที่พระองค์ทรงทำคือดำริย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เป่ยจิงอันเป็นฐานที่มั่นของพระองค์ด้วยเหตุผลว่าเพื่อป้องกันการรุกรานของชนกลุ่มน้อยทางเหนือ ทรงมีพระราชโองการให้อพยพคนมากมายหลายแสนคนจากเมืองหนานจิง มณฑลซานซีและมณฑลเจ้อเจียง โดยแบ่งเป็น 5 สายเข้ามายังเมืองเป่ยจิงหรือเมืองปักกิ่งในยุคปัจจุบัน พร้อมกับเป็นการหาแรงงานเพื่อสร้างพระราชวังที่ประทับของจักรพรรดิในเมืองหลวงซึ่งก็คือ พระราชวังกู้กง หรือเป็นที่รู้จักกันดีนั่นก็คือ "พระราชวังต้องห้าม" ในการนี้พระองค์ต้องเกณฑ์คนหนึ่งแสนพร้อมกับช่างฝีมืออีกหลายพันคน การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามนี้กินระยะเวลานานถึง 15 ปี พระองค์ให้ความสำคัญกับการก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้เป็นอย่างมาก และจะเสด็จมาตรวจตราการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 1956 (ค.ศ. 1413) พระองค์จึงทรงย้ายเมืองหลวงจากกรุงหนานจิงมาประทับที่กรุงปักกิ่ง เป็นการถาวร และในช่วงของเหตุการณ์จลาจลดังกล่าว บรรดาขุนนางที่จงรักภักดีในรัชสมัยของจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน ซึ่งถูกคำสั่งให้ประหารชีวิต จำนวนกว่า 870 คนนั้น หาใช่ประหารเพียงตัวขุนนางแต่เป็นการประหารทั้งตระกูล สายเลือดเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ถูกกำจัดและฆ่าล้างโคตรล้มตายนับหลายพันชีวิต และในการสำเร็จโทษประหารครั้งใหญ่กองกำลังองครักษ์เสื้อแพร ซึ่งเป็นหน่วยอารักขาขององค์จักรพรรดิที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความโหดเหี้ยมและอำมหิตอย่างยิ่งยวด องครักษ์เสื้อแพรถวายความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อจักรพรรดิเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นและเป็นหน่วยงานรับหน้าที่สนองพระราชโองการ จัดการกวาดล้างเหล่าขุนนางที่เป็นปรปักษ์ต่อองค์จักรพรรดิหย่งเล่อ ทั้งสอบสวน จับกุม กักขัง ทรมานตลอดจนสำเร็จโทษ สาเหตุที่จักรพรรดิหยงเล่อทรงกระทำเช่นนี้นั้นก็เพราะเมื่อครั้งเข้ายึดครองเมืองหนานจิงได้แล้ว จั่วเชียนโตวยวี้ซื่อ ซึ่งเป็นเจ้ากรมสืบสวนฝ่ายซ้าย ส่งจิ่งชิงพยายามที่จะลอบสังหารพระองค์ จักรพรรดิหย่งเล่อจึงสั่งประหารเก้าชั่วโคตร พร้อมทั้งทำลายหลุมฝังศพบรรพบุรุษทั้งหมด รวมทั้งสมาชิกคนอื่นๆ ในหมู่บ้านถูกถ่ายโอนออกนอกหมู่บ้านจนหมด หมู่บ้านนี้ถูกทำลายทิ้ง ภายหลังได้กลายเป็นการกล่าวอ้างถึงจักรพรรดิหย่งเล่อว่าทรงจัดการกับขุนนางซึ่งจงรักภักดีต่อจักรพรรดิเจี้ยนเหวินอย่างโหดเหี้ยม ดั่งเช่นฟางเสี้ยวหรู ถูกประหารชีวิตสิบชั่วโคตร ครอบครัว 873 คนถูกเนรเทศ ผู้มีสายเลือดเกี่ยวดองเป็นญาติห่างๆถูกประหารมากกว่าพันคน ฟางเสี้ยวหรู ซึ่งเป็นยอดมหาบัณฑิตแห่งต้าหมิง เคยเป็นพระอาจารย์สอนหนังสือให้แก่รัชทายาทจูอวิ่นเหวิน ภายหลังคือจักรพรรดิเจี้ยนเหวินแห่งราชวงศ์หมิง เป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้เจี้ยนเหวินเป็นที่สุด และยังเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านแผนชิงบัลลังก์ของเยี่ยนอ๋องจูตี้ แต่สุดท้ายเมื่อจักรพรรดิเจี้ยนเหวินได้ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เยี่ยนอ๋องได้ครองบัลลังก์แทน สถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิหย่งเล่อ พระองค์ได้บีบให้ฟางเสี่ยวหรูเขียนหนังสือขอขมา ทว่าฟางเสี้ยวหรูยอมตายแต่ไม่ยอมจำนน ฮ่องเต้หย่งเล่อจึงทรงมีพระราชโองการรับให้สั่งประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร แต่ฟางเสี้ยวหรูยังกล่าวออกมาจนกลายเป็นวาทะอันโด่งดังที่สุดในชีวิตของเขาคือ "เก้าไม่พอ ต้องสิบต่างหาก" ชั่วโคตรที่สิบหมายถึงลูกศิษย์ของเขา ก่อนตายเขายังกัดเลือดจากนิ้วตัวเองเขียนอักษร (ช่วน) หมายถึง การแย่งชิง เพื่อประณามการกระทำของฮ่องเต้หย่งเล่อที่ได้อำนาจมาโดยไม่ชอบธรรม การตายของเหลี่ยนจีหนิง ทำให้ทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างล้มตายไป1051คน ครอบครัวและญาติพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันถูกประหารเก้าชั่วโคตร รวมทั้งเนรเทศคนเป็นหลักร้อยเช่นเดียวกัน การตายของเฉินตี๋ เนรเทศคนไปถึง180 คนโดยประมาณ ในบรรดาคนที่ถูกประหารเป็นครอบครัวที่ถูกประหาร 80 กว่าคน การตายของหูหรุ่นครอบครัวทั้งหมด270 คนถูกประหารทั้งหมดการตายของต่งย้งครอบครัวทั้งหมดโดนประหาร 230 คน จั้วจิ้น ฮวงกวน ฉีไท่ ฮวงจีเฉิง หวางตู้ ลู๋หยวนจื่อ และขุนนางคนอื่นๆ ที่ถวายความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิเจี้ยนเหวินล้วนถูกประหารทั้งสิ้น นับได้ว่าเป็นการสั่งประหารครั้งใหญ่ที่ถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หมิง ชีวิตของขุนนางที่ถวายความภักดีให้แก่อดีตองค์จักรพรรดิผู้สาบสูญและครอบครัวของผู้คนเหล่านั้นต้องถูกปลิดชีพด้วยคมดาบจนมิเหลือสิ้น เพื่อตัดรากถอนโคนไม่ให้เหลือผู้สืบทอดที่จะกลับมาเป็นผู้ก่อการกบฏและล้างแค้นต่อจักรพรรดิหย่งเล่อในภายหลัง ยามเมื่อลมพัดหวนมิอาจคืนกลับมาได้ดั่งเช่นกาลก่อนอีกต่อไป เมื่อรัชสมัยของจักรพรรดิเจี้ยนเหวินล่มสลายผลัดเปลี่ยนไปสู่แผ่นดินใหม่ของจักรพรรดิหย่งเล่อ หน่วยตงฉ่างองครักษ์เสื้อแพรรับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิ และจำต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง สังหารขุนนางที่เป็นปรปักษ์และไม่ถวายจงรักภักดี ฆ่าอย่าให้เหลือทั้งตระกูล!!!ห้าปีผ่านไป จวนตงฉ่าง จวนตงฉ่างในเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กเล็กๆกำลังส่งเสียงหัวเราะไม่เว้นแต่ละวัน จวนตงฉ่างหรือจวนสกุลหลินในอดีตเต็มไปด้วยเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลด บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงันและความหดหู่ปกคลุมไปทั่วจวบจนกระทั่งจวนสกุลหลินได้กลายมาเป็นจวนตงฉ่าง ซึ่งเจ้าของจวนเป็นถึงผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร และจากเหตุการณ์ในอดีตซึ่งมีเรื่องราวสลับซับซ้อนได้ถูกเปิดเผย จนทำให้ล่วงรู้ว่าอดีตเสนาบดีเกาจิ้งหยวนเจ้ากรมคลังและอดีตเสนาบดีหลินเหยียนเจิ้งเจ้ากรมพลเรือน แท้จริงแล้วคือขุนนางผู้ภักดีแต่ความภักดีนั้นกลับทำให้เกิดเรื่องน่าสลดเพราะถูกให้ร้ายจากคนโฉด และมลทินทั้งหลายได้ถูกชะล้างไปหมดสิ้นเมื่อทุกอย่างถูกเปิดเผย ด้วยเหตุนี้สกุลหลินและสกุลเกาจึงได้รับความบริสุทธิ์กลับคืน ลี่มี่มี่คือทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของสกุลหลินเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ทำให้ตระกูลของเธอได้รับความเป็นธรรมกลับคืนมา
คุกตงฉ่าง สตรีร่างเล็กในชุดนักโทษกำลังนั่งตัวชาในท่านั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นห้องขัง ตู้หรูอี้แทบสิ้นสติเมื่อได้ยินเสียงประกาศราชโองการขององค์จักรพรรดิถูกนำมาคุกตงฉ่างหลังจากที่ได้นำไปประกาศที่จวนเซี่ยเสิ้งกั๋วกง โดยเจิ้งหลี่เม่าเป็นผู้ประกาศราชโองการดังกล่าว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโวยวายของอดีตคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ไม่ยอมรับความจริงกับชะตากรรมของตระกูลที่เกิดขึ้นและจบลงในเวลาอันรวดเร็ว “ท่านพ่อของข้าถูกใส่ร้าย! ข้าไม่เชื่อ! พ่อข้าไม่ใช่กบฏ..พวกเจ้าให้ร้ายตระกูลของข้า เจ้าพวกโฉดชั่ว”ตู้หรูอี้ก่นด่ากราด “จะกล่าวโทษผู้ใดก็จงดูการกระทำของเจ้าด้วยนะ สิ่งที่ทำลงไปสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นมากแค่ไหน สำนักรู้ได้หรือเปล่าก็ไม่ล่วงรู้ ตอนนี้เจ้าคือนักโทษประหารที่จะต้องถูกตัดหัวกลางแจ้งต่อหน้าประชาชน นี่คือสิ่งที่เจ้าและพ่อรวมไปถึงคนในตระกูลสร้างเอาไว้ตายทีเดียวสิบชั่วโคตร แต่ก่อนจะถูกประหารมีคนอยากพบเจ้าและคนผู้นี้เจ้าเองก็ลงมือสังหารนางมาแล้วถึงสองครั้งสองครา”หลี่เม่ากล่าวพร้อมก้าวเดินออกไปจากห้องคุมขังนักโทษที่ลึกอยู่ชั้นในสุดอย่างมิด
จวนเซี่ยเสิ่งกั๋วกงร่างสันทัดของตู้เหมิ่งห้าวกำลังไล่ตรวจบันทึกทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลตู้ ที่ปีนี้งอกเงยจากปีก่อนขึ้นมานับเท่าทวีคูณ ในขณะที่เรื่องราวของบุตรสาวคนโปรดยังไม่ล่วงรู้ถึงหู ด้วยเพราะนางบอกแต่เพียงว่าจะเดินทางไปปฏิบัติธรรมเพื่อบำบัดจิตใจให้คลายความทุกข์ลงไปได้บ้าง โดยไม่ล่วงรู้เลยว่าบัดนี้ตู้หรูอี้ได้นำหายนะครั้งยิ่งใหญ่มาสู่ตระกูลของตัวเอง ทันทีที่เปิดเผยเรื่องราวในอดีตว่าแท้จริงแล้วเป็นนางที่วางแผนฆ่าคุณหนูสิบหก หลินลี่ชาแห่งสกุลหลิน โดยการยืมมือซือกงกงเป็นผู้สังหารเพื่อกำจัดสตรีที่ถูกจับจองให้เป็นฮูหยินข้างกายชายที่นางหลงรัก อีกทั้งลูกสมุนที่ถูกส่งไปทำงานใหญ่โดยการลักพาตัวลี่มี่มี่มากักขังไว้ในสถานที่คุมขังที่จัดเตรียมเอาไว้ก็ยังไม่ส่งข่าวมาแจ้งว่าลงมือทำงานไปถึงไหน นั่นเป็นเพราะลูกสมุนทั้งหมดถูกกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรล้อมจับเอาไว้ได้ทั้งหมด รวมไปถึงตู้หรูอี้บุตรีคนโปรดของหัวหน้าสภาขุนนางคนปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้ถูกจับด้วยเช่นกัน ด้วยข้อหาฉกรรจ์เจตนาฆ่าเจ้าสาวของผู
จวนตงฉ่าง เรือนชิงเหลียน เรือนใหญ่ซึ่งถูกตกแต่งเอาไว้เป็นอย่างดี พรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องเรือนมากมายที่ลี่มี่มี่เลือกจัดวางมาลงที่เรือนดังกล่าวด้วยตัวเองทั้งสิ้น ทั่วทั้งบริเวณตลอดทั้งภายนอกและภายในประดับด้วยผ้าแดงมงคลเต็มไปหมด ตลอดจนทั่วทั้งจวนด้วยในวันพรุ่งนี้ก็จะถึงพิธีสมรสของตงฉ่างโหวและพิธีขึ้นจวนใหม่ไปพร้อมกัน เรือนชิงเหลียนในอดีตนั้นก็คือที่พำนักของหลินเหยียนเจิ้งและฮูหยินเซียว บิดาและมารดาของหลินลี่ชา คุณหนูสิบหกของตระกูลหลินผู้เป็นดวงใจของพ่อและแม่ ภายในห้องนอนปรากฏร่างของลี่มี่มี่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ซึ่งจะใช้เป็นห้องหอในวันพรุ่งนี้ หญิงสาวถูกว่าที่สามีของเธอช่วยชีวิตออกมาจากโลงศพที่ต้องการฝังนางทั้งเป็น และยากเกินกว่าที่ผู้ใดจะหยั่งรู้ได้จะเป็นเพราะสวรรค์ดลใจหรือสิ่งเร้นลับบางอย่างคอยช่วยเหลือเธอมาโดยตลอดนั้นเรื่องนี้ก็ยา
ในขณะเดียวกันป่าไผ่เขียว อาชาตัวมหึมาควบห้อตะบึงมุง่หน้ามายังบริเวณป่าที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ลำมหึมายืนต้นสูงแผ่กิ่งก้านจนบดบังแสงอาทิตย์ไม่สามารถแทงลำแสงลงสู่เบื้องล่างได้ จนทำให้ทั่วบริเวณดังกล่าวนั้นมืดครึ้มไปหมด ในขณะที่ดวงตาสีสนิมเหล็กดุจพญาเหยี่ยวของตงฉ่างโหวจับจ้องอยู่ตรงหน้าอยู่ตลอดเวลาพร้อมสังเกตไปรอบกาย ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อม้าคู่ใจวิ่งมาถึงลานป่าไผ่ยืนต้นสูงเรียงรายล้อมรอบเป็นวงกลมคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวล้อมรอบไปด้วยต้นไผ่เขียวมากมายยืนต้นสูง “อะไรกันนี่!”ตงฉ่างโหวเอ่ยออกมาทันที เบื้องหน้าในขณะนี้ปรากฏดอกอวี้หลันสีม่วงปกคลุมพื้นดินจนมีรูปร่างคล้ายหลุมฝังศพ ครั้นหันไปสำรวจทั่วบริเวณกลับไม่ปรากฏต้นอวี้หลันอยู่ภายในบริเวณนั้นแม้แต่น้อย ครั้นแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนก็ไม่ปรากฏแหล่งที่มาของดอกไม้ดังกล่าวนำพาความแปลกใจให้แก่ท่านโหวหนุ่มยิ่งนัก ดวงตาคมกล้าจับจ้องอยู่แต่ดอกอวี้หลันที่อยู่ตรงหน้าเช่นนั้นและจดจำขึ้นมาได้ทันทีเมื่อดอกไม้นี้ สตรีที่อยู่ในหัวใจชอบมากที่สุด “ดอกอวี้หลันสีม่วง ดอกไม้ของมี่มี่!!!
ป่าไผ่เขียว ทั่วทั้งบริเวณของต้นไผ่ที่สูงชะลูดแข่งขันกัน แผ่กิ่งก้านที่เต็มไปด้วยใบไผ่สีเขียวปกคลุมจนทำให้มืดครึ้ม แสงแดดจากท้องฟ้าเบื้องบนสาดแสงลงสู่เบื้องล่าวได้เพียงน้อยนิด สาเหตุเพราะถูกกิ่งที่เต็มไปด้วยใบไผ่มากมายปิดบังเอาไว้ ทำให้แสงแดดของเวลากลางวันทอแสงรำไรพุ่งตรงลงสู่พื้นดินเบื้องล่างมองเห็นได้เป็นย่อมๆ เพียงเท่านั้น พื้นดินตรงบริเวณที่เป็นหลุมฝังศพของลี่มี่มี่ซึ่งถูกฝังไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา บัดนี้ใต้พื้นดินเบื้องล่างกำลังเกิดสงครามระหว่างลี่มี่มี่กับโลงศพ เมื่อเธอถูกฝังทั้งเป็นทั้งที่ยังไม่ตาย ร่างที่กำลังห่อหุ้มอยู่ในผ้าขาวนั้นจึงพยายามดิ้นรนหาทางเอาตัวเองออกไปจากโลงแคบๆ นี้ให้ได้ถึงแม้ว่าอากาศรอดจะมีเพียงแค่ศูนย์เปอร์เซ็นต์ก็ตามแต่ลี่มี่มี่ก็ไม่ยอมแพ้ “ตู้หรูอี้! อย่าให้คนอย่างลี่มี่มี่รอดไปได้นะ ฉันจะกลับไปทวงชีวิตของแก! ต่อให้ตายเป็นผีก็จะไปหักคอแกให้ถึงที่เลยนางคุณหนูหน้าขาว!”ลี่มี่มี่ก่นด่าตู้หรูอี้พร้อมพยายามใช้มือของเธอที่ถูกมัดแน่นอยู่ในขณะนั้นล้วงเข้าไปในอกเสื้อที่ซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้อยู่ต
Comments