มนตกานต์ยิ้มอย่างสมใจ เพราะคนที่ทำอะไรซ้ำๆ กันไปมาแบบนั้น จะให้คิดอะไรได้ นอกจาก... กำลัง ‘ฟุ้งซ่าน’ และใครเป็นต้นเหตุแห่งความ ‘ซ่าน’ จนฟุ้งนั้นล่ะ
รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฏขึ้นบนหน้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เธอมี มือคว้ากระเป๋าเป้ใบเก่ง ควานหาสิ่งที่ต้องการโดยด่วน!
กล่องส่องทางไกลขนาดจิ๋วถูกนำออกมา เพราะชอบท่องเที่ยวดูโน่นนี่ตลอด ดังนั้นกล้องขนาดจิ๋วนี้จึงมีติดตัวไม่ขาด แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะให้มากกว่าทุกประโยชน์ที่เคยได้รับ เช่นตอนนี้
กำลังขยาย 30 เท่า ทำให้มองเห็นสิ่งที่ต้องการได้ชัด เมื่อเจ้าของเรือนร่างแข็งแกร่งว่ายไปถึงขอบสระก่อนจะดันตัวขึ้นสู่ด้านบน
ภาพหลังเลนส์นั้นปรากฏชัดทุกสัดส่วน และพานให้เธอมองเห็นเสื้อผ้าที่พาดลวกๆ ไว้ที่เก้าอี้ขอบสระ นั่นคือเขายังไม่ได้ไปที่ห้องนอนใหญ่ แต่กลับเดินออกไปที่สระน้ำ ถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่บ็อกเซอร์ ก่อนจะพาความแข็งแกร่งนั้นลงไปในสระว่ายน้ำเพื่อสงบอารมณ์
แค่คิด... มนตกานต์ก็ต้องทาบฝ่ามือเหนือตำแหน่งของหัวใจ เพราะก้อนเนื้อน้อยๆ เต้นรัวเร็ว เธอดีใจที่เห็นจิณณ์เป็นแบบนี้ และเธอก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าจิณณ์ไปว่ายน้ำตอนนี้ทำไม
“อาจิ๋วคิดว่าน้ำเย็นๆ นั่นจะดับความร้อนได้หรือคะ ลูกเจี๊ยบว่ามันจะยิ่งฟุ้งซ่านมากกว่านะ”
ริมฝีปากแย้มยิ้มพึมพำกับตัวเอง ขณะยังมองภาพผ่านเลนส์ขยาย กล้ามเนื้อแน่นขนัดทุกสัดส่วน ยามที่โผล่พ้นน้ำ ไม่ว่าจะเป็นบ่าแกร่งน่าเอนศีรษะพักพิง แผ่นอกกว้างน่าซบใบหน้าลงเคล้าคลุก กล้ามเนื้อลอนหน้าท้องน่า... ต้นขาแข็งแรงก็น่า... ปลีน่องที่พาก้าวเดินอาดๆ นั้นก็น่า... และตรงส่วนนั้นก็น่า...
มนตกานต์รับรู้ได้ถึงความแห้งผากในลำคอ และเลือดลมที่สูบฉีดไปทั่วร่าง แต่ร่างกายกลับสะท้านสั่นไหว จนฝืนทนดูอยู่ไม่ไหว ก็ตรงนั้นของอาจิ๋วน่ะ ไม่ ‘จิ๋ว’ เลยสักนิด
ร่างงามทรุดลงนั่งข้างหน้าต่าง ได้แต่แอบมองจิณณ์ไกลๆ ไม่กล้าใช้กล้องส่องจนเห็นใกล้ขนาดนั้นอีก ทว่ากลับไม่อาจสลัดไล่ความ ‘ใหญ่’ ไม่สมชื่อ ‘จิ๋ว’ ของจิณณ์ได้เลย
“ลูกเจี๊ยบ... นี่แกหื่นขนาดนี้เชียวเหรอ อึ๊ยยยยย... ยัยบ้า! ถ้าฉันรู้ว่าแกจะหื่นขนาดนี้ ฉันคงไม่... อืม... ฉันก็คงทำเหมือนเดิมนั่นแหละ”
มนตกานต์บอกตัวเองก่อนจะค่อยๆ โผล่ศีรษะขึ้นเหนือกรอบหน้าต่างเพื่อลอบมองจิณณ์อีกครั้ง จิณณ์ยังคงว่ายวนอยู่ในสระไม่หยุด และเธอก็ยังคงแอบมอง ภาพความทรงจำของมนตกานต์ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน เหตุผลที่เธอชอบห้องนี้มากที่สุด
เธอพูดจริงที่ว่าใช้มุมนี้สำรวจบรรดาเพื่อนฝูงของพ่อแม่ เพื่อคำนวณเวลาว่าเธอควรจะออกไปร่วมงานสังสรรค์ในเวลาไหน แต่นั่นไม่ใช่ว่าเธออายในความขี้เหร่ของตัวเอง พ่อแม่สอนเธอเสมอว่า...
‘ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง’ และ ‘คนจะสวย สวยที่ใจ ใช่ใบหน้า’
เมื่อเห็นว่าเธอเริ่มจะเป็นสาว แม่ก็พร่ำสอนให้เธอมองความดีงามในจิตใจมากกว่าจะมองเพียงรูปร่างหน้าตา แม่ให้เธอดูภาพของแม่ในวัยเดียวไล่เลี่ยกันกับเธอ หน้าตาของแม่ในขณะนั้นก็ขี้เหร่ไม่ทิ้งเธอสักเท่าไร แต่แม่ในวัย 40 ต้นๆ กลับสวยงามจนเธอต้องชื่นชม
แม่บอกว่าตอนนี้เธออยู่ในวัยตั้งใจเรียน ธรรมชาติสร้างสิ่งที่เหมาะสมมาให้แล้ว เพราะหน้าตาธรรมดาจะได้ไม่มีอะไรมาทำให้ใจว่อกแว่กไปเรื่องอื่นได้ ให้เธอมุ่งเน้นแต่เรื่องเรียน ดังนั้นความอายในรูปลักษณ์จึงห่างไกลจาก ‘เด็กหญิงลูกเจี๊ยบ’ ในวัยเยาว์ไปมาก
แต่สิ่งหนึ่งที่เธออาย จนต้องอยู่แต่ในห้องก็เพื่อลอบแอบมองหนึ่งในเพื่อนของพ่อ คนที่ทำให้เธอรู้สึกวูบวาบบนใบหน้าทุกครั้งที่ได้เห็น ได้เข้าใกล้ จนสุดท้ายเธอก็ไม่กล้าใกล้เขา และเปลี่ยนเป็นคอยแอบมองอยู่อย่างนี้ และก็คือคนเดียวกันกับที่กำลังว่ายวนอยู่ในสระน้ำนั่นไง
‘อาจิ๋ว’ ในวัย 30 ต้นๆ ดูดีและใจดีกับเธอเป็นที่สุด ไม่ว่าอาจิ๋วจะไปดูงานที่ไหน ก็มักจะมีขนมติดไม้ติดมือมาฝากเธอเป็นประจำ เพราะอาจิ๋วเอ็นดูเธอ หรือสงสารในความขี้เหร่ของเธอก็ไม่รู้ได้ รู้เพียงแต่ว่าเด็กอ้วน ฟันจอบ ใส่แว่นตาหนาเตอะ ไว้ผมม้าเต่อนั้น ไม่เคยมองผู้ชายคนไหนแบบที่มองอาจิ๋วเลยสักครั้ง
อาการลอบมองอาจิ๋วในวันนั้น ก็คงไม่ต่างจากวันนี้ เพราะจากวันนี้ที่ทุกห้องของหัวใจเธอมีอาจิ๋วจับจอง วันนี้อาจิ๋วก็ยังอยู่แบบคับอกคับใจเธอ เพราะความรักที่เธอมีต่ออาจิ๋วมันท่วมท้นจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว
จากวันที่รู้ตัวว่า ‘รัก’ อาจิ๋ว เข้าเต็มใจ เธอก็พยายามทุกทางที่จะเป็นผู้หญิงในอุดมคติของอาจิ๋วให้ได้ เมื่อเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย แม่บอกว่ายังคิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้ เธอก็ไม่ขัด
เธอวางแผนทุกขั้นตอน เริ่มจากการสืบเสาะว่าอาจิ๋วชอบผู้หญิงแบบไหน ถ้าพอจะหาข้อมูลได้ เธอก็จะเอามาวิเคราะห์ รวมทั้งคู่ควงที่อาจิ๋วเปลี่ยนหน้าไม่ซ้ำกันแต่ละเดือน ตามประสาหนุ่มหล่อ บ้านรวย ความสามารถเด่น เธอก็นำบุคลิกพวกนางมาศึกษา จนได้ยินแม่คุยกับพ่อเรื่องสาวๆ ในสต็อกของอาจิ๋ว แล้วพ่อบอกว่าอาจิ๋วน่ะชอบสาวสวย เปรี้ยว เฉี่ยว หวานๆ ซนๆ ลุยก็ได้ แต่เวลาสวยก็ต้องสะเด็ด
โดยพ่อยกตัวอย่างดาราสาวสวยแห่งฮอลีวูดที่อาจิ๋วชอบเป็นพิเศษ นั่นล่ะรูปแบบที่เธอต้องศึกษา ดังนั้นหลังจากสอบเข้าคณะที่ตั้งใจได้ เธอก็เริ่มแปลงโฉมเด็กอ้วนขี้เหร่คนนั้น จนกลายเป็นสาวสวยคนนี้
แน่นอนว่าสวยเพอร์เฟคเด็ดสะระตี่อย่างเธอ หนุ่มๆ ทั้งมหาลัยฯ แทบจะมาขายขนมจีบ แต่อย่าหวังว่าเธอจะมองใคร เพราะเธอมีอาจิ๋วติดหัวใจไปด้วยทุกที่
ลิ้นร้อนตวัดลงตามรอยแยกที่มองเห็นเป็นสีชมพูสด หอมหวานและเย้ายวนใจจนจิณณ์อดไม่ได้ที่จะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแยกกลีบดอกออกจากกัน และเขาก็ได้เห็นอีกหนึ่งความงดงามที่รอคอย หยาดเยิ้ม และท่วมท้น มนตกานต์พร้อมแล้ว สิ่งสัมผัสที่หยุดลงพร้อมกับกายแกร่งลุกขึ้นนั่งแทรกกลางระหว่างขา ทำให้มนตกานต์เบิกดวงตากว้างมองดูเขา ก่อนจะหลุบมองความยิ่งใหญ่ที่เธอกลัวเหลือเกิน เมื่อสิ่งนั้นคล้ายจะเคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิต ดวงตาสวยหวานจึงต้องเสมองไปอีกทาง ไม่กล้ามองดูสิ่งนั้นได้อีก เพราะเจ้าของความยิ่งใหญ่กำลังทอดสายตามองเธออย่างร้องขอ “อารักลูกเจี๊ยบนะคะ” ทว่าคำพูดจากเขากลับทำให้มนตกานต์ต้องหันมอง นั่นคือการร้องขอ มนตกานต์พยักหน้าน้อยๆ ทั้งกลัวทั้งอายจนทนมองหน้าเขาไม่ไหว แต่ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ เมื่อจิณณ์ขยับท่อนขาเข้ามาใต้สะโพก มนตกานต์ก็หลับตาพริ้ม ปล่อยกาย ปล่อยใจไปกับความยิ่งใหญ่ที่ค่อยๆ สอดแทรกเข้ามา ทว่า... “อาจิ๋ว!” “อืม... อาจะค่อยๆ อารักลูกเจี๊ยบนะคะ” อีกครั้งที่เสียงหวานบอกรักนั้นทำให้มนตกานต์ล่องลอย แม้ความอึดอัดคับแน่นจนอาจเรียกว่าเจ็บนั้นกำลั
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้อาจะไม่ทำแบบนั้น แต่อาจะทำแบบเมื่อคืนกับเมื่อเช้า นะ...” จิณณ์ไม่รอคำตอบเพราะทันทีที่มนตกานต์ช้อนสายตาขึ้นมองเขา ริมฝีปากเร่าร้อนก็ประทับจูบที่ปากสีระเรื่อทันที ความหวานปะปนความเร่าร้อนดูดดื่มชอนชิมไม่หยุด ตวัดต้อน ชอนลึก จนมนตกานต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่เรียวลิ้นร้อนของจิณณ์จะหยอกยั่วให้มนตกานต์คล้อยตาม ลิ้นสากอุ่นชื้นสอนให้ลิ้นน้อยอ่อนไหวแตะไต่ตอบสนอง ตวัดต้อนชอนชิมความดุดันของเขาบ้าง 2 ครั้งแรกนั้นมนตกานต์กล้าๆ กลัวๆ ทำได้ดีบ้าง และสำลักบ้าง แต่ครั้งนี้เธอทำได้ดี ลิ้นน้อยหยอกเย้าดูดดุนความสากชื้น จนมนตกานต์ได้ยินเสียงครางงึมงำในลำคอ ใบหน้าสวยจึงมีรอยยิ้ม ทั้งๆ ที่ลิ้นน้อยทำหน้าที่ต่อสู้ฟาดฟันกับจิณณ์ไม่ลดละ ปากประกบ ลิ้นต่อสู้ และฝ่ามือของเจ้าบ่าวก็ทำหน้าที่ จิณณ์เอื้อมฝ่ามือไปใต้แผ่นหลัง ค่อยๆ รูดซิปชุดเดรสตัวสวยอย่างแผ่วเบา ก่อนจะรั้งให้พ้นร่างงามอย่างง่ายดาย ทั่วทั้งร่างของเจ้าสาวที่เขาสัมผัสได้จากฝ่ามือจึงเหลือเพียงบราเซียร์และแพนตี้เข้าชุด จากนั้นนิ้วเร่าร้อนก็ทำหน้าที่ปลดรังดุมได้ตัวเอง ก่อนที่จิณณ์จะครางด้วยความซ่านเสียว เพร
ส่วนภานุก็รับหน้าที่ปิ้งย่างอาหารทะเลร่วมกับวีนาที่คอยดูความเรียบร้อยโดยรวม แม้จะมีป้าแม่บ้านกับน้องฝึกงานที่ออฟฟิศมาช่วยแล้วก็ตาม บรรยากาศชื่นมื่นมีความสุข ทว่าเจ้าบ่าวก็หงุดหงิดไม่เลิก “เป็นอะไรนักหนาวะจิ๋ว แกทำหน้าแบบนี้ เดี๋ยวใครเขาก็เอาไปพูดว่าพี่ให้ลูกสาวมาจับแกนะโว้ย แล้วนี่หงุดหงิดเรื่องอะไร” “กี่โมงแล้วพี่” จิณณ์ตอบไม่ตรงคำถามแต่กลับถามไก่อูกลับ “แกก็มีนาฬิกา ทำไมไม่ดูเองล่ะ” “ก็ผมอยากให้พี่ดู” ไก่อูงงแต่ก็ยกข้อมือขึ้นดูเวลา “จะสี่ทุ่มครึ่งแล้ว ทำไม” “พี่อ่ะ ก็สี่ทุ่มครึ่งแล้วน่ะสิ พี่ลืมอะไรไปหรือเปล่า” “ลืมอะไรวะ ไม่มี!” ไก่อูเสียงสูง ยิ่งทำให้จิณณ์หน้าบึ้ง ก่อนว่าที่พ่อตาจะหลุดขำ เพราะ 4 ทุ่ม 59 นาทีเป็นเวลาส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอ นั่นจึงทำให้จิณณ์กระวนกระวาย “เฮ้ยจิ๋ว แกนี่เสียชื่อตัวพ่อสายดาร์กหมดเลยนะโว้ย แกตื่นเต้นเหรอที่จะได้เข้าหอ ไม่ต้องตื่นเต้นนะน้อง มันเรื่องธรรมดา นี่ม้าแกกับพี่นกก็ไปปูที่นอนรอแล้วไง” “จริงเหรอพี่” จิณณ์เกาะแขนไก่อูถามเพื่อความแน่ใจ
มนตกานต์หลบเลี่ยงเมื่อจิณณ์ทำท่าจะโถมเข้ามา ก่อนจะชี้ชวนให้ดูหนุ่มสาวที่กำลังก้าวออกจากออฟฟิศตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ เพราะณัฐอาสาจะพาขิมไปเย็บแผลที่โรงพยาบาล “พี่ขิมชอบพี่ณัฐค่ะ” “ไม่ได้ชอบ แต่ขิมรักณัฐ รักมาสามปีแล้ว ณัฐมันไม่รู้หรอก มันคิดว่าไอ้ขิมเป็นทอม” “ไม่จริงมั้งคะ ลูกเจี๊ยบว่าพี่ณัฐเขารู้แล้วนะ อาจิ๋วดูสิ” ภาพที่เห็นคือณัฐกำลังใส่หมวกกันน็อคให้ขิมอย่างระมัดระวังที่สุดที่จะไม่ให้โดนแผล และขิมก็อายกับสัมผัสใกล้ชิดจนต้องหลุบสายตา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อนิ้วมือของณัฐแฉลบแผลของเธอไป ณัฐตกใจที่ทำขิมเจ็บ ดึงขิมเข้ามากอด ก่อนที่สาวทอมประจำออฟฟิศจะสั่นสะอื้นฮึกฮักอยู่กับอกของณัฐ “สงสัยจะเจ็บแผล” “ผิดค่ะ มีความสุขต่างหาก” “หมดเรื่องแล้ว กลับบ้านเถอะ” “อื้อ... ยังไม่เลิกงานเลยค่ะ” “วันนี้วันทำงานที่ไหนเล่า” “อาจิ๋วจะแกล้งอะไรลูกเจี๊ยบอีกเนี่ย เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้วนะ” “ทีนึงอะไร ยังไม่ได้สักที” “อาจิ๋ว!” จิณณ์ยิ้มเข้ามาสวมกอดมนตกานต์ที่หน้าแดงจากคำพูดของเขา พลางชี้ชวนใ
มนตกานต์อมยิ้มน้อยๆ เพราะสาเหตุที่จิณณ์บอกว่าจะเข้างานสาย ไม่ใช่สิ่งที่เธอเข้าใจ แต่เป็นสิ่งนี้ เธอเปิดซองกระดาษหยิบเอกสารด้านในออกมาดู เพราะตอนที่รับมาจากเจ้าหน้าที่ ความตื่นเต้นและเขินอายมีมากจนไม่กล้าจะชื่นชม ดวงตาสวยหวานไล่ไปตามตัวอักษรที่กำกับอยู่บนกระดาษสีนวลมีลวดลายดอกกุหลาบอยู่รอบด้าน ‘ใบสำคัญการสมรส แสดงว่า นายจิณณ์ จิตติกรณรงค์ กับ นางสาวมนตกานต์ ฤทธาอภินันท์ ได้จดทะเบียนสมรส ณ สำนักงานทะเบียน... จังหวัด... เลขทะเบียนที่... เมื่อวันที่ 7 เดือนธันวาคม พ.ศ.2560 นายทะเบียน’ “เราแต่งงานกันแล้วนะ” รอยยิ้มแสนหวานส่งให้คนที่กระชับฝ่ามือ “ขอบคุณนะคะอาจิ๋ว ขอบคุณที่รักลูกเจี๊ยบ ขอบคุณทุกอย่างค่ะ” “อาสิต้องขอบคุณลูกเจี๊ยบ ที่สอนให้อารู้จักความรัก อาไม่สัญญานะว่าจะรักลูกเจี๊ยบมากที่สุดในโลก แต่อาสัญญาว่าจะรักลูกเจี๊ยบทุกวัน สามเวลาหลังอาหาร หัวค่ำ ก่อนนอน และล้างหน้าไก่” “อาจิ๋วอ่ะบ้า!” “บ้าแต่ไม่ห้ามใช่มั้ย” “อาจิ๋ว!” มนตกานต์ฮึดฮัดด้วยความอายก่อนจะเร่งให้จิณณ์รีบออกรถ เพราะที่จิณณ์ว่าสิบโมง แต่น
ร่างงามระหงที่ยืนหันหลังให้เขา อยู่ในชุดเดรสสีเทาอ่อนแขนสั้นตัวยาวกรอมเท้าดูสุภาพอยู่นะ ถ้าด้านหลังจะไม่กว้านลึกจนถึงบั้นเอว ใครจะอยากให้คนอื่นเห็นกันล่ะ “อุ้ย!” มนตกานต์สะดุ้งเมื่อท่อนแขนแกร่งแทรกเข้ามากระชับบั้นเอว พร้อมริมฝีปากแตะเบาๆ ที่ข้างแก้ม แค่นั้นความร้อนก็วูบขึ้นที่ใบหน้าก่อนจะกระจายวาบไปทั่วร่าง เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนเพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่ชั่วโมง “หอมจัง... วันนี้มีอะไรกิน” คนพูดว่าหอมจัง หอมอีกหลายครั้งที่สองแก้ม สลับไปมาซ้ายขวา ดั่งความหอมนั้นไม่ได้มาจากอาหารแต่เป็นสองแก้มนี้ “ข้าวต้มไก่น่ะค่ะ เมื่อวานเราไม่ได้กินข้าวที่บ้าน ข้าวเย็นเลยเหลือเยอะ ลูกเจี๊ยบเลยเอามาทำข้าวต้มมื้อเช้า” “อืม... ข้าวต้มมื้อเช้า อยากกินจังเลย เมื่อคืนกินไม่อิ่ม” “อาจิ๋ว!” มนตกานต์หน้าร้อนซ่าน คำพูดสองแง่สองง่ามนั้น เขาช่างพูดได้ไม่อายปาก “เสียงดังทำไม ก็เมื่อคืนอากินข้าวไม่อิ่มจริงๆ นี่นา ได้กินข้าวต้มร้อนๆ ตอนเช้า เพิ่มพลังงานดีออก อยากกินแล้วล่ะ จะกินให้เกลี้ยงชามเลย” จิณณ์หัวเราะในลำคอเ