บทที่ 4
ปะทะคารม
ตอนแรกอินทิราเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะแก่จนหัวหงอกซะอีก แต่ทว่ามันกลับต่างกันลิบลับ ผมเขายังดำขลับ ยังหนุ่มยังแน่น แถมหน้าตายังหล่อบาดใจอีกด้วย แต่เธอไม่ชอบสายตาคมคู่นั้นเอาซะเลย เพราะตั้งแต่มาถึงเขาเอาแต่จ้องมองเหยียดๆ ราวกับเธอเป็นตัวอะไรซะอย่างนั้น
“สวัสดีค่ะ” อินทิรายกมือไหว้ตามมารยาทไทย ไม่ยอมละสายตาจากเขาเช่นเดียวกัน
“อืม” น้ำเสียงเย็นชาทำเอาอินทิราสตั๊นไปสามวินาที เธอไม่นึกว่าเขาจะมีอัธยาศัยแย่ขนาดนี้ ทำเอาอินทิราถึงกับต้องคิดหนักขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
“บอสครับเอ่อ...” แอนดริวกำลังจะเอ่ยปากถามเรื่องอินทิราแต่ทว่าผู้เป็นเจ้านายกลับสั่งให้ออกไปซะงั้น
“นายกลับไปก่อนพรุ่งนี้ค่อยมาหาฉันที่นี่”
“ครับ” แอนดริวยืนนิ่งตอบรับแต่โดยดี
“ถ้างั้นผมไปก่อนนะครับ” เขาเอ่ยกับบาสเตียนก่อนจะหันไปเอ่ยกับคนที่ยืนข้างกัน “ผมกลับแล้วนะครับคุณอินไว้พรุ่งนี้ค่อยเจอกัน”
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ไปรับ แล้วเจอกันค่ะ” อินทิราเอ่ยกับชายหนุ่มด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ครับผม”
หลังจากแอนดริวออกไปแล้วภายในห้องกลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่สุดแสนจะอึดอัด อินทิรายังคงยืนอยู่อย่างนั้นไม่กล้านั่งลง
“จะยืนค้ำหัวฉันอีกนานไหม!” บาสเตียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ทำเอาคนที่ยืนอยู่รีบหย่อนก้นลงบนโซฟาตรงข้ามทันที
“ขอโทษค่ะ” แม้จะเอ่ยขอโทษไปแต่ในใจกลับมีแต่คำก่นด่าสารพัด คนอย่างเธอเคยยอมคนซะที่ไหนกันล่ะ
“ไหนลองแนะนำตัวสั้นๆ ให้ฉันรู้จักเธอมากขึ้นหน่อยสิ”
“เอ่อ..ฉันชื่ออินทิรา เจริญกิจกุล เรียกว่าน้ำก็ได้ค่ะ อายุ 22 ปี เพิ่งเรียนจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยXXXค่ะ”
“รู้ใช่ไหมว่าฉันชื่ออะไร”
“ทราบค่ะ”
ในระหว่างนั้นป้าสมัยก็นำน้ำส้มคั้นมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
“น้ำส้มคั้นค่ะ”
“ขอบคุณค่ะป้า”
ป้าสมัยยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้คนทั้งสองคุยกันต่อ
“พร้อมแค่ไหนที่จะมาเป็นแม่ของลูกฉัน” บาสเตียนยิงคำถามไปตรงๆ ยิ้มมุมปากอย่างพอใจเมื่อเห็นสีหน้าเหลอหลาของหญิงสาว
“พะ...พร้อมค่ะ”
“เธอมั่นใจนะว่าไม่เคยผ่านมือผู้ชายคนไหนมาก่อน ฉันไม่อยากให้ลูกเกิดจากผู้หญิงที่มีมลทิน”
“ถ้าคุณไม่มั่นใจในตัวฉัน ไปให้หมอที่โรงพยาบาลตรวจก่อนก็ได้นะคะ ยังไงก็ต้องไปโรงพยาบาลอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” อินทิราเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับคำถามบวกกับน้ำเสียงของเขา ผู้ชายอะไรจะไม่ให้เกียรติผู้หญิงขนาดนี้
“ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลหรอกฉันมีวิธีพิสูจน์หึๆ” ชายหนุ่มแสยะยิ้มมองหญิงสาวด้วยหางตา
“คุณหมายความว่ายังไง?” อินทิราเริ่มไม่แน่ใจว่าผู้ชายคนนี้ปกติดีหรือเปล่า สายตาที่เขามองมาราวกับเธอเคยทำอะไรให้ขุ่นข้องหมองใจซะอย่างนั้น
“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นล่ะ ฉันเคยผ่านผู้หญิงมามากรู้ดีว่าผู้หญิงคนไหนเคยหรือไม่เคยมาก่อน” บาสเตียนเริ่มแผ่รังสีความหื่นออกมาจนอินทิรารับรู้ได้
“คุณพูดบ้าอะไรฉันมาที่นี่เพื่อเป็นแม่อุ้มบุญ ไม่ได้มาเป็นเมียคุณนะ” อินทิราขึ้นเสียงใส่เขาทันที ยิ่งได้คุยกันยิ่งทำให้เธอไม่ไว้ใจ
“อ้าวเหรอ! ฉันไม่เคยบอกเธอเลยสักคำว่าจะให้มาเป็นแม่อุ้มบุญ” บาสเตียนตีมึนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ก็คุณปราลีเป็นคนบอกฉัน แล้วคุณปราลีก็รับคำสั่งมาจากคุณอีกทีไง”
“อย่างนั้นเหรอ! สงสัยปราลีจะหูเพี้ยนฟังผิดไปแล้ว ฉันให้เธอมาที่นี่เพื่อมีลูกให้ฉันก็จริง แต่ไม่ต้องพึ่งวิธีของหมอ เราจะทำลูกด้วยกันเองต่างหากล่ะหึๆ” พูดจบเขาก็แสยะยิ้มร้ายหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างสบายใจ
“คุณมันบ้าไปแล้ว ทำไมไม่บอกกันตั้งแต่แรกเนี่ย” อินทิราลุกขึ้นจากโซฟาจ้องหน้าเขาด้วยความโกรธเคืองอย่างหนัก ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็ไม่ต่างจากการขายตัวเลยสักนิด แย่ไปกว่านั้นเด็กที่จะเกิดมาก็ต้องเป็นลูกของเธอด้วย เธอจะทิ้งลงคอได้อย่างไรเล่า เป็นอย่างนี้แล้วขอยกเลิกสัญญายังจะดีกว่า
“ถ้าบอกตั้งแต่แรกเธอจะมาหาฉันถึงที่นี่เหรอ”
“ถ้างั้นฉันขอยกเลิกสัญญา ฉันไม่มีทางยอมทำตามข้อเสนอบ้าๆ ของคุณหรอก”
“ไม่มีทาง...ฉันไม่มีทางยอมเด็ดขาด เธอเอาเงินฉันไปแล้วจะมาชิ่งอย่างนี้ไม่ได้” บาสเตียนเริ่มขึ้นเสียงใส่
“ฉันจะหามาคืนทุกบาททุกสตางค์ ฉันต้องการกลับเมืองไทยเดี๋ยวนี้!” อินทิรายังคงยืนกรานตามความคิดตัวเอง
“คนอย่างเธอจะมีปัญญางั้นเหรอ เงินตั้งห้าล้านบาท เธออ่านสัญญาดีรึยังว่าถ้าผิดสัญญาจะต้องใช้คืนเท่าไร”
“ฉัน....” อินทิรารู้สึกเหมือนน้ำท่วมปากไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ เธอสะเพร่าเองเพราะตอนนั้นต้องการเงินด่วนจนลืมอ่านสัญญาซะสนิทเลย
“สิบเท่าของเงินที่จ่ายไปแล้ว นั่นหมายความว่าเธอต้องใช้เงินคืนให้ฉันห้าสิบล้าน ฉันจะปล่อยเธอกลับไปตอนนี้ก็ได้ แต่ต้องหาเงินมาจ่ายให้ฉันตอนนี้ จะเอายังไงว่ามา” ความเป็นต่อทำให้บาสเตียนยังคงนั่งนิ่งกระหยิ่มยิ้มอย่างผู้ชนะ
“กรี๊ดดดด!! ไอ้ผู้ชายโรคจิต คุณมันซาตานชัดๆ ทำอย่างนี้กับผู้หญิงเพศแม่ได้ยังไงกัน” อินทิราเหลืออดจึงร้องกรี๊ดจนคนทั้งคฤหาสน์ได้ยินถนัด ก่อนจะชี้หน้าด่าคนที่นั่งยิ้มมุมปากยู่ตรงหน้า
“หยุด! ถ้าเธอยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป มันจะอะไรนักหนากะอีแค่มีลูกกับฉัน”
“คุณอย่างคุณเป็นพ่อคนไม่ได้หรอก!”
“เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย” ป้าสมัยรีบวิ่งหน้าตาตื่นมาจากในครัวพร้อมกับสาวใช้อีกคน
“ไม่มีอะไร พาผู้หญิงคนนี้ขึ้นไปพักผ่อนบนห้องที่เตรียมไว้เดี๋ยวนี้เลย ผมไม่อยากเห็นหน้าเธอแล้ว” ชายหนุ่มเหลือบตามองอินทิราอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเล่นต่ออย่างสบายใจ
“คุณจะได้รู้ว่าคิดผิดที่เลือกฉัน คอยดูละกัน!” อินทิรากำมือจนสั่น เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“...”
เขายังคงนั่งนิ่งไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองแม้แต่น้อย
“ไปกับป้าเถอะค่ะคุณอิน ป้าจะพาขึ้นไปดูห้องพัก” ป้าสมัยจับมืออินทิราไว้พยายามปลอบให้เธออารมณ์เย็นลง เธอคิดไว้แล้วว่าบาสเตียนจะต้องทำเรื่องยุ่งๆ อะไรสักอย่างในที่สุดก็เป็นจริง
“ค่ะป้า”
พูดจบเจ้าหล่อนก็ถอนหายใจเสียงดัง ใบหน้าที่เคยขาวใสกลับแดงระเรื่อด้วยความโมโห จากนั้นก็เดินตามหลังป้าสมัยขึ้นไปยังห้องพัก
บาสเตียนได้แต่มองตามหลังไป แสยะยิ้มราวกับซาตานร้าย ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นคนหัวอ่อนอย่างที่เขาคิดไว้ คาดว่าอีกไม่นานเจ้าหล่อนจะต้องแผลงฤทธิ์อย่างแน่นอน เขาต้องเตรียมรับมือเอาไว้ให้หนักๆ เลยทีเดียว
“คนอย่างเธอไม่มีทางเอาชนะฉันได้หรอก”
อินทิราเดินตามหลังป้าสมัยและสาวใช้ที่ชื่อนงคราญขึ้นมาบนห้องพักซึ่งอยู่ชั้นสอง ความหรูหราและใหญ่โตไม่สามารถดึงความสนใจจากผู้มาใหม่ได้เลยสักนิด เพราะในใจมัวแต่คิดเรื่องที่เพิ่งประสบพบเจอมาเมื่อสักครู่ หล่อนจะไม่มีทางยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบนายนั่นแน่นอน
“ถึงแล้วค่ะ นี่คือห้องพักของคุณ”
“ขอบคุณนะคะป้า แต่ตอนนี้หนูคงอยู่ที่นี่ลำบากซะแล้วล่ะ ดันมาเจอคนโรคจิตเข้าให้ซะงั้น หนูขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ อดไม่ได้จริงๆ” อินทิรายืนบ่นอยู่หน้าประตูห้อง
“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าว่าเราเข้าไปคุยกันในห้องดีกว่า”
“ค่ะป้า”
เมื่อเข้ามาในห้องแล้วอินทิราก็รู้สึกโล่งอกไปได้มากพอสมควร อย่างน้อยก็ยังมีพื้นที่ส่วนตัวให้เธอในคฤหาสน์แห่งนี้
“มันเกิดอะไรขึ้นคะทำไมคุณถึงได้กรี๊ดลั่นบ้านซะขนาดนั้น”
“ตอนแรกคุณปราลีบอกหนูว่าจะให้มาเป็นแม่อุ้มบุญ แต่พอมาถึงอีตาบ้านั่นกลับจะให้หนูเป็นทั้งเมียและแม่ของลูกซะงั้น มันไม่เหมือนอย่างที่เคยคุยเอาไว้เลยสักนิด สรุปว่าคุณปราลีหลอกหนูมาให้อีตาบ้านี้แน่ๆ” เจ้าหล่อนบ่นให้คนทั้งสองฟัง
“ป้าว่าไม่น่าใช่ คุณปราลีเธอไม่ใช่คนกลับกลอกอย่างนั้นสักหน่อย มันต้องเป็นแผนของคุณบาสเตียนแน่ๆ” ป้าสมัยเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ป้ารู้จักคุณปราลีด้วยเหรอคะ”
“รู้จักสิ แต่ก่อนเธอก็มาทำงานเป็นเลขาคุณบาสเตียนที่นี่”
“หนูไม่รู้จะทำยังไงแล้วป้า ป้าต้องช่วยหนูนะถึงยังไงเราก็เป็นคนไทยด้วยกัน หนูไม่อยากเป็นเมียนายโรคจิตนั่นเลย” อินทิรายกมือขึ้นไหว้ป้าสมัยพลางเอ่ยขอร้อง
“ป้าว่าคุณใจเย็นๆ ก่อนนะคะ คุณบาสเตียนไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นหรอก อ้อ! ป้าลืมบอกไปว่าคุณหน้าเหมือนกับแฟนเก่าของคุณบาสเตียนอย่างกับแกะเลย”
“แฟนเก่า! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหนูล่ะป้า”
“ก็แฟนเก่าคุณบาสเตียนเคยทิ้งไปแต่งงานกับเศรษฐีชาวอังกฤษน่ะสิ จนคุณบาสเตียนเป็นบ้าเป็นบอไปหลายเดือน จากที่เคยเป็นคนน่ารัก ร่าเริง พูดคุยเก่งกลายมาเป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะ ป้าคิดว่าเธอคงจะอยากได้คุณมาเป็นตัวแทนแฟนเก่าเพื่อ...” ป้าสมัยแทบไม่อยากเอ่ยต่อไป เพราะกลัวว่าอินทิราจะคิดมาก
“เพื่ออะไรคะป้า บอกหนูมาเถอะจะได้รับมือตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะถึงยังไงหนูก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว”
“เพื่อแก้แค้นคืนไงคะ”
“บ้าไปแล้ว!! ผู้ชายคนนี้โรคจิตจริงๆ”
“ป้ามีเรื่องอยากขอร้องคุณค่ะ”
“เรื่องอะไรคะ อย่างหนูจะช่วยอะไรป้าได้เนี่ย”
“ป้าอยากให้คุณทำให้คุณบาสเตียนคนเดิมกลับมาได้ไหมคะ ป้าเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็กรู้ดีว่าเนื้อแท้ของเธอไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น” เมื่อนึกถึงบาสเตียนคนก่อนที่น่ารัก ทำเอาป้าสมัยถึงกับถอนหายใจเสียงดัง เพราะอยากได้บาสเตียนคนเดิมกลับมา
“หนูคงรับปากป้าไม่ได้หรอกค่ะ ลำพังหนูเองยังเอาตัวไม่รอดเลย” อินทิรารีบปฏิเสธทันที เพราะเธอยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของผู้ชายคนนี้เลยสักนิด
“ป้าเข้าใจค่ะ เอาเป็นว่าป้าไม่รบกวนแล้ว พักผ่อนให้สบายนะคะ ถ้าต้องการอะไรเรียกป้าหรือนงได้”
“ค่ะป้า ขอบคุณมากๆ นะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะคนไทยเหมือนกันเราไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว” ป้าสมัยยิ้มให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับนงคราญ
เมื่ออยู่เพียงลำพังแล้วอินทิราก็รีบล็อกประตูห้องไว้ ก่อนจะเดินกลับมานั่งข้างเตียง กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องด้วยความหวาดกลัว แม้ที่นี่อาจจะดูหรูหรามากแต่กลับไม่ทำให้เธออยากอยู่แม้แต่น้อย เธออยากจะหนีออกไปในตอนนี้เสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ไม่มีใครที่พอจะช่วยได้ แถมยังมีปัญหาเรื่องเงินอีกต่างหาก ทุกอย่างมันมืดแปดด้านไปหมด
ในเมื่อเลือกทางเดินนี้แล้วจะต้องเดินไปให้สุด เพื่อไม่ให้มารดาที่กำลังรักษาตัวอยู่ต้องเป็นห่วง ชีวิตเธอมันไม่มีเคยมีทางเลือกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป คงต้องทำใจยอมรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ให้ได้
บทที่ 33อวสานหลังจากเปลี่ยนดอกไม้ในแจกันบนโต๊ะหมู่บูชาแล้ว อินทิราก็บอกให้ลูกทั้งสองคนกราบพระประธานที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างบนสุด จากนั้นก็หันไปมองยังมุมห้องที่มีโกศเล็กๆ วางอยู่พร้อมกับรูปถ่ายของผู้เป็นมารดา อินทิราส่งยิ้มให้มารดาทุกครั้งที่เข้ามาในห้องแห่งนี้“กราบคุณยายสิคะ” เจ้าหล่อนบอกกับลูกทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม“ทำไมมัมต้องพาพวกเรามากราบคุณยายทุกวันด้วยครับ” แมทธิวเอ่ยกับมารดาด้วยสีหน้าสงสัย“คุณยายเคยเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เด็ก เราจะปล่อยให้คุณยายเหงาได้ยังไง ถ้ามัมไม่อยู่แล้วแมทธิวเองก็ต้องทำอย่างนี้เหมือนกันเข้าใจไหมครับ”“เข้าใจแล้วครับมัม ผมจะมากราบคุณยายพร้อมมัมทุกวันเลยครับ คุณยายจะได้ไม่เหงา”“ดีมากจ๊ะลูก” อินทิราลูบกลางกระหม่อมลูกชายเบาๆ อย่างเอ็นดู “แล้วแอนนาล่ะคะ”“กราบ...ยาย” เด็กหญิงตอบรับเป็นคำๆ ราวกับเข้าใจเป็นอย่างดีเช่นเดียวกันจากนั้นเด็กทั้งสองก็ก้มกราบโกศสีทองแ
บทที่ 32พลอยดาวสามปีต่อมาในสถานบันเทิงชื่อดังใจกลางเมืองลาสเวกัส นักท่องราตรีหลากหลายเชื้อชาติต่างก็เข้ามาหาความสุขกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ดนตรีเพลงละตินดังก้องโลกทำให้บรรดาหนุ่มสาวเกิดความคึกคะนอง ต่างก็โยกย้ายส่ายสะโพกกันอย่างสนุกสนานฉายภาพมาที่ห้องวีไอพีสุดหรูซึ่งเป็นธุรกิจแอบแฝงของที่นี่ กลุ่มนักดื่มสูงวัยผิวสีสามสี่คนกำลังโอบกอดหญิงสาวชาวเอเชียที่แต่งตัววับแวมล่อเสือล่อตะเข้ คอยเอาอกเอาใจแขกคนสำคัญอย่างรู้งาน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพลอยดาวหลังจากวันที่โดนไล่ละเพิดออกมาจากคฤหาสน์ของบาสเตียน เจ้าหล่อนก็บังเอิญเจอกับมาเฟียหนุ่มใหญ่เจ้าของซ่องที่ใหญ่ที่สุดในลาสเวกัส ตอนแรกเขาต้อนรับเธอเข้ามาอยู่ในฐานะเมียดูแลซะดิบดี แต่ทว่าพอเบื่อแล้วเจ้าหล่อนก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในบรรดาสาวๆ ที่ต้องเข้าไปทำงานในซ่องพลีกายให้กับบรรดานักธุรกิจแก่ตัณหากลับหลากหลายเชื้อชาติ ที่เข้ามาใช้บริการด้วยวงเงินที่สูงพอตัวพลอยดาวกำลังนั่งบนตักลูกค้าผิวสีคนหนึ่งอายุราวหกสิบเห็นจะได้ แม้ว่าเขาจะถูกใจเธอมากเป็นพิเศษ แต
บทที่ 31ห้องนอนน้อยๆหลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอน ภายในห้องนอนเล็กๆ ซึ่งเป็นที่ซุกหัวนอนของอินทิรามาตั้งแต่เด็กจนโต ข้าวของทุกอย่างยังคงถูกวางไว้ที่เดิม ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่เสียนานเตียงนอนขนาดเล็กทำให้ไม่สามารถนอนพร้อมกันได้สองคน บาสเตียนจึงต้องปูฟูกนอนอยู่ข้างเตียง นุ่งผ้าขาวม้านอนคุยไลน์กับเลขาส่วนตัวเรื่องงาน ส่วนอินทิราก็นอนจ้องมองเพดานห้องลูบท้องตัวเองเบาๆ ใบหน้าสวยมีรอยยิ้มน้อยๆ ฉายออกมาตลอดเวลา บ่งบอกว่าเจ้าหล่อนมีความสุขมากแค่ไหน“เธอ…นอนยัง?” เสียงคนที่นอนอยู่ข้างล่างเอ่ยเรียก อินทิราจึงเอียงใบหน้าสวยหันไปมองยังต้นเสียง แม้จะมองไม่เห็นหน้าเขาก็ตามที“ยัง...ทำไมเหรอ?”“ฉันไม่ได้นอนกอดเธอ...นอนไม่หลับอ่ะ”“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ” อินทิรายิ้มน้อยๆ รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการอะไร“ฟูกข้างล่างนุ่มมาก แถมยังกว้างอีกด้วยนะ”“แล้วจะบอกฉันทำไม
บทที่ 30ความเข้าใจ“มาแล้วคร้าบบบ”หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว บาสเตียนจึงรีบวิ่งลงมาจากห้องเพื่อร่วมวงทานข้าว เมื่อมาถึงก็พบว่าทั้งสามได้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ที่บ้านของอินทิราใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมาโดยตลอด เพราะทุกคนคุ้นชินกับการปูเสื่อนั่งล้อมวงทานข้าวกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่สำหรับบาสเตียนมันคือเรื่องแปลกใหม่มากๆ“นั่งลงสิ” อินทิราเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยเมื่อเห็นบาสเตียนเอาแต่ยืนมองดูไม่ยอมนั่งลงเสียที“คงจะรับไม่ได้สินะที่ต้องมานั่งกินข้าวแบบบ้านๆ อย่างนี้” แก้วกันยาเอ่ยประชด“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับคุณแม่ ผมอยู่ง่ายกินง่ายไม่เลือกมากคร้าบบ” บาสเตียนนั่งขัดสมาธิอย่างเก้ๆ กังๆ โปรยยิ้มให้ทุกคนก่อนจะหยิบช้อนแกงในจานข้าวจะไปตักอาหาร แต่กลับไม่คุ้นชินเมนูที่อยู่ในจานเลยอย่างบาสเตียนลังเลใจอยู่นานกว่าจะเลือกได้ และสุดท้ายหวยก็มาลงที่จานไข่เจียวขณะเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ อยู่นั้นบาสเตียนก็หันไปมองอินทิราด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยัก
บทที่ 29ตัวหอมหลังจากทำเคมีบำบัดครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้นลง คุณหมอจึงอนุญาตให้แก้วกันยากลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ แม้ว่าช่วงเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลบาสเตียนก็เอาอกเอาใจแม่ยาย ทำหน้าที่ยิ่งกว่าลูกแท้ๆ เสียอีก แต่ทว่าท่าทีของแก้วกานดากลับยังไม่อ่อนลงเลยสักนิด ตรงกันข้ามสำหรับอินทิราสถานการณ์กลับเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ออกปากไล่ตะเพิดเหมือนเมื่อครั้งที่เจอกันตอนแรกแล้วบาสเตียนไม่เคยปรนนิบัติพัดวีใครอย่างนี้มาก่อนนอกจากมารดาของตัวเอง แต่ทว่าสำหรับความรักครั้งนี้เจ้าตัวทุ่มหมดหน้าตัก เพื่อจะได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอย่างที่เคยมีในวัยเด็กอีกครั้งอาณัฐพยุงผู้เป็นมารดาลงมาจากรถแท็กซี่เข้าไปในบ้าน โดยมีอินทิราและบาสเตียนเดินตามหลังมาติดๆบ้านไม้สองชั้นเก่าๆ ริมคลอง มีเรือหางยาวแล่นผ่านเป็นระยะๆ ทำให้บาสเตียนเกิดความสนใจเป็นพิเศษ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นบรรยากาศแบบนี้มาก่อน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายไม่วุ่นวายเหมือนเมืองที่เคยอยู่มาตั้งแต่เกิดอย่างลาสเวกัสเลยสักนิด“บ้านเธอน่าอยู่ดีนะ” บาสเต
บทที่ 28ลูกเขยเจ้าเล่ห์วันต่อมา“อาร์ออกมาคุยกับพี่หน่อยสิ” บาสเตียนเอ่ยเรียกอาณัฐออกมาที่หน้าห้องพักผู้ป่วย ขณะคุณหมอเข้ามาตรวจผู้เป็นมารดาภายในห้องเดินออกมาถึงหน้าห้องแล้วบาสเตียนก็ยื่นบัตรเครดิตให้“อะไรครับพี่” อาณัฐมองหน้าอย่างงงๆ“บัตรเครดิตไง พี่ให้ไปช้อปปิ้ง เราดูแลแม่มานานคงอยากจะไปเที่ยวบ้าง จัดให้เต็มที่เลยนะเดี๋ยวพี่กับอินทิราจะดูแลคุณแม่ให้เองไม่ต้องห่วง”“ขอบคุณครับพี่” อาณัฐยกมือไหว้ด้วยความดีใจ ยิ้มไม่ยอมหุบ ก่อนจะยื่นมือไปรับมา “แล้วมันใช้ได้เท่าไหร่ครับพี่”“ไม่อั้น” บาสเตียนส่งยิ้มน้อยๆ ให้“เยส!!! ขอบคุณมากๆ ครับพี่” อาณัฐโผเข้ากอดบาสเตียนก่อนจะรีบเดินออกไปอย่างอารมณ์ดีบาสเตียนยิ้มส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง“แม่คะทานข้าวนะเดี๋ยวหนูป้อน” อินทิรายกถาดข้าวต้มพร้อมทั้งแก้วน้ำดื่มมาวางไว้ข้างเตียง เตรียมพร้อมสำห