ตอนที่ 1 : หวังเต๋ออี้
"ใต้เท้าหวังคนนั้นน่ะหรือ?"
"เจ้าอย่าเสียงดังนักสิ อยู่ใกล้แค่นี้ หากเขาได้ยินจะทำเช่นไร?"
สตรีสามสี่คนที่กำลังจะเดินผ่านโรงน้ำชาชื่อดังเหลือบมองเข้ามาในโรงน้ำชาก่อนจะหันไปพูดซุบซิบกับสหายที่เดินมาด้วยกันด้วยเสียงที่ไม่เบานัก จนสหายที่มาด้วยกันต้องรีบลากให้นางออกห่างจากโรงน้ำชาและผู้ที่เป็นประเด็นในบทสนทนาเมื่อครู่
คนที่เป็นประเด็นของแม่นางน้อยกลุ่มเมื่อครู่ แม้จะได้ยินทุกคำพูดของพวกนางแต่หาได้ใส่ใจไม่ เพราะด้านหนึ่งของโรงน้ำชามีสิ่งที่ 'หวังเต๋ออี้' หรือใต้เท้าหวังคนดังที่เป็นประเด็นนั้นสนใจมากกว่า
หวังเต๋ออี้ หรือใต้เท้าหวังคนดังนั้น เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นมีตำแหน่งอยู่ในกรมกลาโหม เป็นขุนนางขั้นสี่ที่ได้ดูแลเกี่ยวกับงบประมาณของเหล่ากองทัพใหญ่ทั้งสี่ของแคว้นหลิวหลิน บุตรชายคนเดียวของหวังอวี้อันเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นเช่นกัน หวังอวี้อันผู้เป็นบิดา มียศเป็นขุนนางขั้นที่สองของกรมโยธา
เดิมทีหวังเต๋ออี้ก็เป็นบัณฑิตหนุ่มเนื้อหอม เป็นที่หมายปองต้องตาของชายหญิงทั่วแผ่นดินหลิวหลินอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ความนิยมจะลดน้อยลงจนเรียกได้ว่าติดลบในยามนี้
และต้นเรื่องนั้นก็เป็นสิ่งที่ใต้เท้าหวังคนนั้นกำลังให้ความสนใจอยู่
"เยว่เอ๋อร์ เจ้าไม่ทานแล้วหรือ?"
"เอ่อ...ท่านแม่ทัพ ข้าทานไม่ค่อยลง..."
สิ่งที่หวังเต๋ออี้ให้ความสนใจนั้น เป็นคู่หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีรูปงามที่นั่งอยู่ห่างกันไม่กี่โต๊ะ แม้ว่าหวังเต๋ออี้จะไม่ได้จ้องมองด้วยความสนใจจนน่าอึดอัดก็ตาม
'อวิ๋นชางชุน' หรือท่านแม่ทัพที่สตรีคนเมื่อครู่กล่าวถึงนั้น ตวัดตามามองหวังเต๋ออี้ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อย ส่วน 'อู๋เยว่เหลียน' หรือสตรีที่นั่งอยู่ข้างกายที่กล่าวว่าทานไม่ค่อยลงนั้นก็เหลือบมามองทางที่หวังเต๋ออี้โดยมีท่าทีกล้าๆกลัวๆ
"เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้ชื่นชอบที่นี่มากนัก"
อวิ๋นชางชุนหยิบเงินออกมาวางจ่ายค่าน้ำชาและขนมของอู๋เยว่เหลียนไว้บนโต๊ะ แล้วพาอู๋เยว่เหลียนออกมาจากโรงน้ำชา
หวังเต๋ออี้มองคนทั้งคู่เดินจากไปด้วยสายตาเรียบนิ่ง ต่างจากอีกฝ่ายที่มองมาด้วยสายตารังเกียจ กระทั่งแม่นางน้อยอย่างอู๋เยว่เหลียนยังแอบมองมาด้วยสายตาที่แสดงออกว่าเกลียดชังกันอย่างปิดไม่มิด
หวังเต๋ออี้เพียงนั่งทอดสายตาไปยังจุดจุดหนึ่งไม่สนใจสายตาของคนทั้งคู่กระทั่งโรงน้ำชาแห่งนี้เหลือเพียงหวังเต๋ออี้นั่งจิบชาอยู่คนเดียว
ครึ่งก้านธูปผ่านไปหวังเต๋ออี้จึงได้ลุกขึ้น วางค่าน้ำชาไว้ที่โต๊ะแล้วเดินออกมาจากโรงน้ำชาเช่นกัน
จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังของตนเอง ระหว่างทางหวังเต๋ออี้ไม่ได้แวะจับจ่ายใช้สอยสิ่งใดใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินทางมาถึงจวนตระกูลหวัง
เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่ธรณีประตูหมวกขุนนางใบสูงถูกถอดออก เส้นไหมสีดำขลับที่เคยถูกรวบตึงอยู่ภายใต้หมวกสูงนั้นทิ้งตัวเป็นหางม้ายาวสลวย
หวังเต๋ออี้โบกมือพัดเล็กน้อยเพื่อคลายร้อนสาวเท้าไปยังเรือนรับรองของจวนด้วยความเคยชิน
ยามกลับมาที่จวนมารดามักจะเตรียมของว่างรออยู่ที่เรือนรับรอง พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เจอมาในแต่ละวัน หวังเต๋ออี้แรกๆก็รู้สึกกระอั่กกระอ่วนเล็กน้อยที่มารดายังทำเหมือนว่าหวังเต๋ออี้ยังเป็นเด็กน้อยที่กลับมาจากสำนักศึกษาแล้วก็ต้องกลับมานั่งทานขนมกับมารดา
แต่หลังๆมาก็เริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่มารดาทำอยู่เสมอนั้นก็ทำให้ใจชื้นไม่น้อย เพราะแบบนั้นหวังเต๋ออี้จึงได้รู้สึกว่าตนเองยังมีที่ให้กลับไป
เดินจากประตูจวนเพียงครู่เดียวก็มาถึงเรือนรับรอง วันนี้มารดาก็ยังนักปักผ้าอยู่กับหญิงรับใช้คนสนิทเช่นเดิม เมื่อเห็นว่าหวังเต๋ออี้เดินเข้ามาแล้วจึงได้วางมือ ส่งยิ้มให้บุตรชายด้วยความดีใจ
"กลับมาแล้วหรืออี้เอ๋อร์? วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?"
มารดารีบจับจูงให้หวังเต๋ออี้นั่งลงข้างกายดันจานขนมเข้ามาให้ หวังเต๋ออี้ยิ้มรับหยิบขนมในจานนั่นขึ้นมาทานไม่อิดออด
"ก็เป็นเช่นทุกวัน ท่านไม่ต้องกังวล"
หวังเต๋ออี้ตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ปล่อยให้มารดามองตนเองทานขนมด้วยสายตาอ่อนโยนราวกับกำลังมองเด็กน้อยวัยไม่กี่ขวบอยู่เช่นนั้น
มารดามักจะกล่าวกับหวังเต๋ออี้อยู่เสมอว่า ไม่ว่าบุตรจะเติบโตมากแค่ไหน ในสายตาของคนเป็นบิดามารดาก็ยังเห็นว่าเป็นลูกน้อยอยู่อย่างเดิม หวังเต๋ออี้คิดว่าคำพูดนั้นคงไม่ได้โกหกหากดูจากมารดาของตนในตอนนี้
แต่ในแววตาที่แช่มชื่นยามที่ได้เห็นบุตรชายของตนเองมีความสุข ก็ยังมีความรู้สึกกระอั่กกระอ่วนเจือปนอยู่ไม่น้อย
ต้นเหตุนั้นเกิดจากคู่หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่ได้พบที่โรงน้ำชาก่อนจะกลับจวนเมื่อครู่
"เจ้าออกจากจวนตั้งแต่ปลายยามเฉิน ว่าราชการก็เสร็จสิ้นตั้งแต่กลางยามซื่อ เหตุใดจึงกลับถึงจวนตั้งต้นยามอู่"
แม้ว่ามารดาจะรู้อยู่แล้วเพราะเหตุใดหวังเต๋ออี้จึงได้กลับจวนช้านัก เมื่อบุตรชายอย่างหวังเต๋ออี้ไม่ยอมพูดอะไรจึงได้ถอดถอนหายใจอย่างหนักอกหนักใจ
หวังเต๋ออี้ก็มีเพียงเรื่องนี้ที่น่าหนักใจ ชื่อเสียงที่สั่งสมมายาวนานล้วนป่นปี้ด้วยเรื่องรักๆใคร่ๆเพียงแค่เรื่องเดียว
จากบัณฑิตหนุ่มรูปงาม เป็นคุณชายจากตระกูลขุนนางใหญ่ แทนที่จะเป็นที่นิยมของบุรุษสตรีวัยออกเรือนของเมืองหลวง แม่ชักแม่สื่อต่อแถวเต็มหน้าประตูจวนหัวกระไดไม่แห้ง กลายเป็นว่าต้องมานั่งอุดอู้เงียบเหงาราวกับเป็นจวนร้าง
ไม่มีฮูหยินน้อยแต่งเข้า อีกทั้งคนก็ไม่ได้ไปเป็นฮูหยินให้บ้านไหนอีก
ไม่รู้ว่าหวังเต๋ออี้จะปักใจอะไรนักกับอวิ๋นชางชุน...
หากกล่าวถึงเรื่องที่ว่าทำไมต้องเป็นอวิ๋นชางชุนนั้น คงจะต้องย้อนกลับไปเมื่อสิบสามปีก่อนหน้านี้...
ย้อนกลับไปเนิ่นนานถึงเพียงนั้น เดิมทีหวังเต๋ออี้และอวิ๋นชางชุนเป็นสหายร่วมเรียนขององค์รัชทายาท 'จินหนิงเฉิง' แห่งราชวงศ์จิน
สหายร่วมเรียนขององค์รัชทายาทนั้นมีมากมาย แล้วแต่ละคนก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก ยกเว้นก็แต่อวิ๋นชางชุนที่ตัวติดกับองค์รัชทายาทมากเป็นพิเศษ
ในยามนั้นสหายร่วมเรียนหลายคนคงได้รับการเสี้ยมสอนจากทางตระกูลมาไม่น้อยจึงพยายามเข้าหาและประจบองค์รัชทายาท แน่นอนว่าหวังเต๋ออี้เองก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่หวังเต๋ออี้ไม่ถนัดเข้าหาผู้ใดมากนักที่ทำได้จึงมีเพียงแค่ไหลตามน้ำไปเท่านั้น
ระยะเวลาที่ได้อยู่เป็นสหายร่วมเรียนขององค์รัชทายาทนั้นกินเวลาถึงหกปี และในระยะเวลานั้นหวังเต๋ออี้เกิดตกหลุมรักอวิ๋นชางชุนได้อย่างไรก็ไม่อาจทราบ
หวังเต๋ออี้รู้ตัวอีกทีก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของอวิ๋นชางชุนอย่างเต็มหัวใจ
เมื่อระยะเวลาที่ได้ร่วมเรียนกับองค์รัชทายาทนั้นจบสิ้นลง เหล่าสหายร่วมเรียนแต่ละคนก็ต้องแยกย้ายกันไปตามเส้นทางที่ต้องการเดินต่อ
หลายคนเลือกที่จะเป็นข้าราชการ รับตำแหน่งขุนนางในกรมต่างๆเข้าศึกษาต่อที่สำนักศึกษาหลวง เช่นเดียวกับหวังเต๋ออี้ ต่างจากอวิ๋นชางชุนและสหายร่วมเรียนคนอื่นอีกเพียงหยิบมือเลือกที่จะเดินเข้าสนามรบ รับราชการเป็นขุนนางฝ่ายบู๊
ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี อวิ๋นชางชุนได้ไปประจำการอยู่ชายแดน ไต่เต้าได้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ทั้งที่อายุยังน้อย
หวังเต๋ออี้เองก็ไม่ได้น้อยหน้า หลังจากสอบหน้าพระพักตร์ได้เป็นถึงจอหงวนของรุ่น ไม่กี่ปีหลังจากที่อวิ๋นชางชุนได้ไปประจำอยู่ชายแดน หวังเต๋ออี้ที่รั้งอยู่ในเมืองหลวงก็ได้สร้างผลงานมากมาย เลื่อนขั้นได้เป็นถึงขุนนางขั้นสี่ในกรมกลาโหม
เมื่อสองปีก่อนชายแดนทิศตะวันออก กองทัพของหลิวหลินที่นำโดยอวิ๋นชางชุนได้รับชัยชนะ เคลื่อนพลกลับเมืองหลวงมีงานเลี้ยงฉลองใหญ่โต เป็นอีกครั้งที่หวังเต๋ออี้ได้พบกับอวิ๋นชางชุนหลังจากที่ห่างกันไปนานหลายปี
ความรู้สึกที่หวังเต๋ออี้มีให้อวิ๋นชางชุนนั้นเดิมทีหวังเต๋ออี้คิดว่ามันคงจะจางหายไปตามกาลเวลาแล้ว ความรู้สึกนั้นคงไม่หลงเหลือมาจนกระทั่งทุกวันนี้
แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่หวังเต๋ออี้คาดคิด เมื่อได้พบหน้าอวิ๋นชางชุนอีกครั้ง ความรู้สึกที่คล้ายจะจางหายไปนั้นก็กลับชัดเจนขึ้นมาอีก
ในระยะเวลาที่ห่างหายกันไป หวังเต๋ออี้เองก็ได้รับความนิยมไม่น้อยจากเหล่าบุรุษและสตรีวัยออกเรือนในเมืองหลวง แต่เพราะที่ผ่านมาหวังเต๋ออี้ยังไม่คิดลงหลักปักฐานกับใคร ดังนั้นยามนี้จึงครองโสดอยู่เช่นเดิม
ดังนั้นเมื่ออวิ๋นชางชุนกลับมาเมืองหลวงอีกครั้ง หวังเต๋ออี้จึงรู้สึกราวกับว่ามีหวังขึ้นมา...
แต่ความหวังนั้นก็ถูกดับลงเมื่อได้รับรู้ว่าอวิ๋นชางชุนนั้นมีคู่หมายที่หมั้นหมายเอาไว้ตั้งแต่ก่อนกลับมายังเมืองหลวงแล้ว
คู่หมั้นของอวิ๋นชางชุนนั้นคืออู๋เยว่เหลียน บุตรีของเจ้ากรมพิธีการอู๋เป่ยซานขุนนางขั้นสองฝ่ายบุ๋น
ความหวังของหวังเต๋ออี้ที่จะได้เคียงข้างอวิ๋นชางชุนมลายหายไปในพริบตา อีกทั้งเมื่อทุกอย่างเข้าที่ดีแล้วอวิ๋นชางชุนและอู๋เยว่เหลียนยังอยู่ด้วยกันบ่อยครั้ง
ส่วนหวังเต๋ออี้นั้นได้แต่ 'บังเอิญ' ไปพบภาพเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ว่าจะเป็นที่ใดในเมืองหลวงก็ตาม
อย่างเรื่องในโรงน้ำชาวันนี้เช่นกัน หากจะกล่าวให้ถูกก็คือหวังเต๋ออี้นัดพบกับสหายที่โรงน้ำชา ดื่มชากันเสร็จจนสหายขอตัวกลับไป หวังเต๋ออี้คิดจะนั่งดื่มด่ำกับรสชาของเผ่านอกด่านอีกครู่หนึ่ง กลับกลายเป็นว่าอวิ๋นชางชุนและอู่เยว่เหลียนพากันเดินเข้ามาในโรงน้ำชา
โดยปกติแล้วเรื่องเพียงแค่บังเอิญไปพบกันนั้นไม่ควรจะเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นทำให้อวิ๋นชางชุนชังน้ำหน้าหวังเต๋ออี้ หรือทำให้หวังเต๋ออี้กลายเป็นบุรุษที่ใครต่อใครในเมืองหลวงต่างหันหน้าหนีแม้แต่น้อย
แต่เพราะเหตุการณ์ที่เรียกว่าความบังเอิญนั้นเกิดขึ้นถี่จนน่ากลัว จึงได้มีคนเอาไปเล่าลือกันว่าแท้จริงแล้วหวังเต๋ออี้นั้นหมายตาอู๋เยว่เหลียนที่เป็นคู่หมั้นของอวิ๋นชางชุน
เรื่องนั้นทำให้อวิ๋นชางชุนหันมาเขม่นอดีตสหายร่วมเรียนอย่างหวังเต๋ออี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ความจริงจะปรากฏและทำให้อวิ๋นชางชุนยิ่งแสดงสีหน้ารังเกียจออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ความลับที่ว่าคนที่หวังเต๋ออี้คิดเกินเลยนั้นไม่ใช่อู๋เยว่เหลียนที่เป็นคู่หมั้นของอวิ๋นชางชุน แต่เป็นตัวของอวิ๋นชางชุนเองต่างหาก
และแน่นอนว่าโชคชะตาที่เรียกว่าความบังเอิญนั้นก็พามาให้ประสบพบเจอกันบ่อยครั้งเสียเหลือเกิน
จนตอนนี้กลายเป็นว่าอวิ๋นชางชุนนั้นชังน้ำหน้าของหวังเต๋ออี้จนไม่อยากจะปรายตามองเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งเรื่องนี้เดิมทีควรจะเป็นเรื่องของหวังเต๋ออี้และอวิ๋นชางชุน แต่มันกลับลุกลามใหญ่โตไปถึงผู้เป็นบิดาอย่างหวังอวี้อันอีกด้วย
หวังอวี้อันนั้นไม่ได้ทำงานอย่างราบรื่นนักเพราะโดนขัดแข้งขัดขาจากเจ้ากรมพิธีการผู้เป็นบิดาของอู๋เยว่เหลียน
และเพราะเรื่องนั้นทำให้หวังเต๋ออี้ที่เคยเนื้อหอมในหมู่บุรุษสรีนั้นตายไป
เหลือไว้เพียง 'ใต้เท้าวิปลาส' ที่ใครๆหลายๆคนเรียกกัน
แม้ว่ากฎหมายของหลิวหลินจะอนุญาตให้บุรุษร่วมเรียงเคียงหมอนเป็นคู่ชีวิตกันได้ แต่ไม่ได้แปลว่าจะไปยื้อแย่งเอาคนรักของคนอื่นมาเป็นของตนเองได้
ความบังเอิญที่หวังเต๋ออี้ได้พบเจอกับอวิ๋นชางชุนและอู๋เยว่เหลียนบ่อยครั้งนั้น กลายเป็นเรื่องที่เล่าลือกกันไปแล้วว่าหวังเต๋ออี้มัวแต่ติดตามแม่ทัพอวิ๋น
หากแม่ทัพอวิ๋นไปที่ไหนกับคุณหนูอู๋แห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ที่นั่นย่อมมีใต้เท้าวิปลาสอย่างหวังเต๋ออี้อยู่บริเวณนั้นด้วย
แม้เรื่องเหล่านั้นจะเป็นความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียวแต่หวังเต๋ออี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร อีกทั้งยังไม่แก้ตัวให้ตนเองดูแย่มากกว่าเดิม
หากกล่าวว่าเป็นความบังเอิญจริง ผู้คนที่ปักใจเชื่อไปแล้ว จะยอมเชื่อสิ่งที่หวังเต๋ออี้กล่าวหรือ? อีกทั้งข้อแก้ตัวนั้นเป็นการกลับดำให้เป็นขาว เรื่องที่ถูกต้องตามครรลองไม่ใช่เรื่องที่ชาวบ้านคนอื่นๆจะสนใจอยู่แล้ว
หากปล่อยให้หวังเต๋ออี้กลายเป็นใต้เท้าวิปลาสเช่นนี้ถึงจะน่าสนใจ ช่างเป็นพวกที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นโดยแท้
ที่กล่าวว่าถูกเพียงครึ่งเดียวนั่นเป็นเพราะว่า แม้จะบังเอิญพบกันหลายครั้งหลายครา แต่หวังเต๋ออี้นั้นเลือกที่จะนั่งอยู่เพื่อมองดูคนทั้งคู่ไม่ยอมลุกไปไหนนั้นเป็นเรื่องจริง
การที่จะได้พบกับอวิ๋นชางชุนไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งเมื่อมีเรื่องที่ว่าหวังเต๋ออี้นั้นชื่นชมอวิ๋นชางชุนยิ่งทำให้อวิ๋นชางชุนเลือกที่จะหลบหน้ามากยิ่งกว่าเดิม
จวนตระกูลหวังและจวนตระกูลอวิ๋นอยู่หางกันเพียงไม่กี่ลี้ แต่หากจะเดินทางไปวังหลวงย่อมต้องผ่านหน้าจวนตระกูลหวัง ดังนั้นอวิ๋นชางชุนยอมออกจากจวนตั้งแต่เช้าตรู่เพื่ออ้อมไปอีกทางที่อยู่ไกลกว่า แน่นอนว่าเพื่อหลบหน้าหวังเต๋ออี้โดยเฉพาะ
ดังนั้นเมื่อหวังเต๋ออี้ได้บังเอิญพบกับอวิ๋นชางชุนที่ไหน ก็ยินดีจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านเพื่อแลกกับการได้มองอวิ๋นชางชุนนานขึ้นอีกสักหน่อย
"ต้องเป็นเขาเท่านั้นหรืออี้เอ๋อร์?"
หวังเต๋ออี้หลุดจากภวังค์ความคิดเมื่อมารดาเอ่ยถามขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ หวังเต๋ออี้หันไปยิ้มให้จางๆ
"คิดมากไปแล้วท่านแม่ ตัวข้าใช่ว่าจะปักใจรักเขาไปชั่วชีวิตเสียหน่อย"
อย่างไรแล้วก็ไม่อาจเคียงคู่ อีกคนหมั้นหมายกับผู้อื่นไปแล้ว
แม้ว่าสิ่งที่หวังเต๋ออี้ทำอยู่ในตอนนี้จะไม่ใช่เรื่องดีนัก แต่หวังเต๋ออี้หมายมั่นเอาไว้แล้วว่าเมื่ออวิ๋นชางชุนและอู๋เยว่เหลียนกราบไหว้ฟ้าดินกันแล้ว หวังเต๋ออี้จะเลิกพฤติกรรมน่ารังเกียจเช่นนี้โดยที่ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากแม้เพียงครึ่งคำ
หวังฮูหยิน หรือ 'หลัวถิงเซียน' เมื่อได้ยินบุตรชายกล่าวเช่นนั้นก็เหมือนจะโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เพราะเรื่องของบุตรชายที่ลอยเข้าหูนางแต่ละที ฟังดูแล้วหาดีไม่ได้แม้แต่น้อย
นางเองก็เจ็บปวดใจที่บุตรชายเป็นเช่นนั้น แต่วันนี้ได้ยินจากปากของอีกคนแล้วก็เบาใจ หลัวถิงเซียนคิดว่ายามที่แม่ทัพอวิ๋นและคุณหนูอู๋นั้นกราบไหว้ฟ้าดินกันแล้ว ไม่นานบุตรชายของนางก็คงจะตัดใจได้
"เจ้าคิดได้เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้กลางยามอู่แล้ว อยู่รับสำรับกับข้าเสียก่อนแล้วค่อยกลับไปพักเถอะ"
"ขอรับ ท่านแม่"
ตอนที่ 2 : อวิ๋นชางชุน'อวิ๋นชางชุน' หรือรู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ 'แม่ทัพอวิ๋น'อวิ๋นชางชุนเป็นบุตรชายของ 'อวิ๋นซีเจียง' หรือใต้เท้าอวิ๋นขุนนางขั้นสองเจ้ากรมยุติธรรม ยามที่ได้เลือกเส้นทางของชีวิตอวิ๋นชางชุนไม่เลือกที่จะเป็นขุนนางนั่งโต๊ะในราชสำนัก กลับเลือกที่จะเป็นทหารแทนอวิ๋นชางชุนเมื่ออายุได้สิบเก้าปี ก็ถูกส่งไปประจำชายแดนยังทิศตะวันออกของแคว้นหลิวหลิน ไม่นานก็ได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพภาค คุมกำลังพลนับแสนนาย ก่อนที่ศึกล่าสุดเมื่อสองปีก่อนอวิ๋นชางชุนได้เป็นผู้นำทัพรบกับชนเผ่านอกด่าน คว้าชัยชนะกลับมาให้หลิวหลินหลังจากที่ได้กลับเข้ามาเมืองหลวงก็ได้หมั้นหมายกับบุตรสาวของเจ้ากรมพิธีการอย่างอู๋เยว่เหลียนเบื้องหน้าเป็นที่รับรู้โดยทั่วกันเช่นนั้นแต่ความจริงแล้วการหมั้นหมายครั้งนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังเจ้ากรมพิธีการ หรือ 'อู๋เป่ยซาน' ขุนนางขั้นสองในราชสำนัก ถูกพบว่าคิดก่อกบฎล้มอำนาจราชวงศ์ เป็นผู้หนุนหลังขององค์ชายพระองค์หนึ่งที่คิดจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ทรราชแม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถสืบทราบได้อย่างแน่ชัดว่าผู้ที่อู๋เป่ยซานคิดจะปูทางให้นั้นเป็นองค์ชายพระองค์ใดกันแน่แต่วิธีที่จะได้เข้าใกล้อ
ตอนที่ 1 : หวังเต๋ออี้"ใต้เท้าหวังคนนั้นน่ะหรือ?""เจ้าอย่าเสียงดังนักสิ อยู่ใกล้แค่นี้ หากเขาได้ยินจะทำเช่นไร?"สตรีสามสี่คนที่กำลังจะเดินผ่านโรงน้ำชาชื่อดังเหลือบมองเข้ามาในโรงน้ำชาก่อนจะหันไปพูดซุบซิบกับสหายที่เดินมาด้วยกันด้วยเสียงที่ไม่เบานัก จนสหายที่มาด้วยกันต้องรีบลากให้นางออกห่างจากโรงน้ำชาและผู้ที่เป็นประเด็นในบทสนทนาเมื่อครู่คนที่เป็นประเด็นของแม่นางน้อยกลุ่มเมื่อครู่ แม้จะได้ยินทุกคำพูดของพวกนางแต่หาได้ใส่ใจไม่ เพราะด้านหนึ่งของโรงน้ำชามีสิ่งที่ 'หวังเต๋ออี้' หรือใต้เท้าหวังคนดังที่เป็นประเด็นนั้นสนใจมากกว่าหวังเต๋ออี้ หรือใต้เท้าหวังคนดังนั้น เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นมีตำแหน่งอยู่ในกรมกลาโหม เป็นขุนนางขั้นสี่ที่ได้ดูแลเกี่ยวกับงบประมาณของเหล่ากองทัพใหญ่ทั้งสี่ของแคว้นหลิวหลิน บุตรชายคนเดียวของหวังอวี้อันเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นเช่นกัน หวังอวี้อันผู้เป็นบิดา มียศเป็นขุนนางขั้นที่สองของกรมโยธาเดิมทีหวังเต๋ออี้ก็เป็นบัณฑิตหนุ่มเนื้อหอม เป็นที่หมายปองต้องตาของชายหญิงทั่วแผ่นดินหลิวหลินอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ความนิยมจะลดน้อยลงจนเรียกได้ว่าติดลบในยามนี้และต้นเรื่องนั้นก็เป็นสิ่งที่ใต้เท้าห