ประตูหลังสุดแห่งพระราชวังต้าหมิง คือกำแพงสูงลิบของคุกหลวงเงาดำมากมายอำพรางตัววูบไหวไปมา ราวคันศรถูกยิง ทว่ากลับเงียบเชียบไร้ซุ่มเสียง ประหนึ่งภูตผีกระนั้นวิชาตัวเบาเป็นเลิศ ปราดเปรียวว่องไว เงียบเชียบไร้เสียง คือฝีมืออันร้ายกาจของมนุษย์เงากลุ่มนี้ พวกเขาคือมือสังหารอย่างมิต้องสงสัยทว่าพวกเขากลับมิใช่ทหารเดนตายของหมิงเหอ และหน้าที่ของพวกเขาคือดูแลบริเวณโดยรอบ มิให้ผู้ใดกล้ำกลายคุกหลวงแม้เพียงครึ่งก้าว ทั้งยังได้รับคำสั่งว่าให้ฆ่าทิ้งทันทีหากมีผู้ใดเข้ามาในระยะสายตาหมายทำร้ายองค์รัชทายาทหมิงเฉิงของพวกเขามือสังหารดำมืดมากมาย เพียงอำพรางตัววูบไหวไปมา คอยลอบฆ่าใครก็ตามที่ลอยวูบผ่านหน้า...สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้คือ หมิงจินที่เป็นเพียงองครักษ์คนสนิทของหมิงเฉิง ผู้มีลักษณะสงบเสงี่ยมเจียมตน และมีหน้าที่เพียงดูแลตำหนักบูรพา หาได้ออกนอกอาณาเขตเช่นองครักษ์คนอื่นๆ ไม่ กลับมีกองกำลังมากมายซุกซ่อนอยู่ทั่วสารทิศ เรียกใช้งานได้ตลอดเวลาเพียงลูกธนูดอกเดียวที่ยิงขึ้นฟ้า ก็สามารถเรียกอินทรีดำทั้งกองทัพให้เคลื่อนพลได้ทันทีกองกำลังกลุ่มนี้ เพียงแค่หนึ่งส่วนเท่านั้น ที่หมิงเฉิงทำเพื่อหมิงจินเสมอมา
ตำหนักฉีหยางกงทั่วทั้งตำหนักตกอยู่ในบรรยากาศเย็นเยียบหนาวเหน็บชวนพรั่นพรึงสะท้านโสตทันที หลังจากเจียงฮองเฮาได้รับรายงานข่าวเกี่ยวกับองค์รัชทายาทและพระชายาสายพระเนตรคมกริบปานมีดพร้อมบินไปปาดคอผู้คนจึงสาดประกายสะเทือนขวัญ สีพระพักตร์ฉายชัดถึงโทสะอันคุกรุ่นในแบบที่ไม่มีใครได้พบเห็นบ่อยนักสุรเสียงโกรธาของเจียงฮองเฮาดังขึ้น “เรื่องอัปมงคลอันเลวร้ายเกิดเพราะรัชทายาทหรือ? สนมชิงเฟยตั้งครรภ์อยู่แท้ๆ แต่ยังเพียรอุตส่าห์ตรากตรำไปร่วมงานล่าสัตว์ เช่นนี้มิใช่น่าสงสัยหรือไร? เหตุใดต้องกล่าวโทษเฉิงเอ๋อร์”“ฮองเฮาทรงพระทัยเย็นเอาไว้ก่อนเถิดเพคะ” สวี่กูกูรีบปลอบเจ้านายอย่างลนลาน หมายกล่อมให้อีกฝ่ายใจเย็นลง หากบุ่มบ่ามจนเกินไป อาจเดือดร้อนไปกันหมดเพราะผู้เป็นหัวเรือใหญ่ ไยมิใช่ควรสงบนิ่งขั้นสุด ยามถูกพายุโหมซัด เพื่อพากันไปถึงฝั่งฝัน สวี่กูกูยังเอ่ยอีกว่า“บางที สนมชิงเฟยอาจจะไม่ล่วงรู้ตัวว่ามีครรภ์มังกรอยู่เพคะ และบางที อาจจะเป็นแค่เหตุบังเอิญ มันสุดวิสัย ทุกสิ่งย่อมแก้ไขได้เพคะ องค์รัชทายาทไหนเลยจักตกหลุมพรางได้โดยง่าย”ยามนี้เจียงฮองเฮาไม่ฟังใครทั้งนั้น “ไม่รู้ตัวกระนั้นหรือ? บังเอิญ! สุดวิสัย!
“เจ้าอยากกินอะไร?” เสียงทุ้มนุ่มใส่ใจถามขึ้น“ข้าอยากกินน้ำผึ้ง” เสียงหวานใสตอบออกมา“ย่อมได้ ข้าจะ...”ชั่วจังหวะที่สองสามีภรรยาผู้ไม่สนใจสายตาของใครๆ กำลังโอบประคองพากันหมุนกายเปลี่ยนทิศทางเดิน เป้าหมายคือน้ำผึ้งป่า พลันนั้นก็กระแทกเข้ากับบุคคลหนึ่ง ‘พลั่ก’“โอ๊ย!”ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างตกใจของสตรี “พระสนม!”หมิงเฉิงและโม๋เอ๋อร์จึงหันมองสิ่งที่พวกตนเดินชนเมื่อครู่ เห็นเป็นชิงเฟยล้มลงกระแทกพื้นอยู่แทบเท้า ท่าทางเจ็บปวด ใบหน้าบิดเบี้ยว สองมือกุมท้องก้มหน้าตัวเกร็ง สภาพน่าอนาถยิ่งจังหวะนั้นก็มีเสียงร้องดังลั่นของนางกำนัล“พระสนม เลือดเพคะ! เลือด...”เพียงหนึ่งคำสะกิดคลื่นยักษ์เข้าถาโถม กลุ่มทหารและบ่าวไพร่ที่เดินเอื่อยเฉื่อยอยู่โดยรอบพลันตกตะลึงวิ่งเข้ามาดูทันทีพื้นดินเย็นจัดปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะขาวโพลน มีเลือดสีแดงฉานค่อยๆ ไหลซึมออกจากกระโปรงสีขาวไข่มุกของชิงเฟย แล้วไหลเป็นทางยาวปานธาราสีชาดพร่างพรมพลันนั้นจึงมีเสียงดังแตกตื่นมากกว่าเดิม“พระสนมตกเลือด!”ตามด้วยเสียงดังอื้ออึง หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลปฏิกิริยาฉับไว รีบวิ่งไปตามหมอหลวง เพียงไม่นาน หมอหลวงก็วิ่งมา ยอบกายลงแล้วจับชีพจ
ประเพณีล่าสัตว์ตามพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ยังคงดำเนินต่อไปพวกเขาทำการออกล่าสัตว์ป่ากันอย่างคึกคักยิ่งใหญ่ ทว่ากลับไม่มีสัตว์ป่าตัวใดให้ล่าเลยสักตัว ผู้คนต่างสงสัยว่าสัตว์หายไปที่ใดจนหมด แต่กลับไร้ซึ่งคำตอบมีบางอย่างที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ นั่นก็คือ เหล่าสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ล้วนอพยพหายไปจนสิ้นแล้วตั้งแต่เมื่อคืน เพราะถูกรังสีอำมหิตอันเกรี้ยวกราดของเทพปีศาจนั่นเองเมื่อคนของต้าหมิงทั้งหมดไม่มีสัตว์ให้ล่า จึงจำใจยกเลิกการล่าสัตว์เป็นการชั่วคราว แล้วพากันกลับมาร่วมประชุมหารือที่กระโจมหลัก มีเสียงหนึ่งขอเสนอให้ยกขบวนกลับ เพราะเห็นถึงเค้าลางอัปมงคล อย่ารั้งรอ ควรเดินทางกลับวังทันที แล้วจัดพิธีบวงสรวงเทพปรามมาร กำจัดสิ่งชั่วร้ายให้หมดไปเรื่องนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาอย่างเคร่งเครียดจากองค์เหนือหัวในขณะทั่วทุกผู้คนกำลังสนใจเพียงหัวข้อสนทนา และรวมตัวกันที่กระโจมใหญ่กลางกลุ่มที่พักนั้นห่างออกมาจากความวุ่นวาย เป็นกระโจมของรัชทายาทซึ่งมีชายหนุ่มร่างใหญ่กำลังเจ็บหนักสาหัสมาก“ข้าเจ็บแผล...”เสียงทุ้มต่ำเจือโทสะดังขึ้นจากชายแกร่งบนเตียงนอน เขานั่งกอดอกหรี่ตามองใครบางคนที่กำลังนั่งกินอา
จากนั้นคนงามก็รับรู้ได้ถึงภาพเบื้องหน้าหมุนกลับ เมื่อร่างอรชรอ้อนแอ้นถูกรั้งให้พลิกตลบนอนลงบนเตียงนอนโม๋เอ๋อร์พลันตาโต เห็นเพียงใบหน้าคมคายก้มต่ำ ดวงตาเรียวคมมองใกล้ โถมกายหนาใหญ่ทาบทับ“...!?”หญิงสาวพลันตื่นตะลึง พยายามกะพริบตาให้ถี่รัวเข้าไว้ อีกฝ่ายจะได้มองไม่ทัน ไม่อาจสังเกตเห็นความผิดปกติของนางชายหนุ่มมีหรือจะไม่รู้แจ้ง ทว่าเขาย่อมไม่ถือสาการที่นางพยายามปกปิดสายตา ย่อมหมายถึงว่านางไม่อยากจากเขาไปหมิงเฉิงให้รู้สึกนึกเอ็นดูยิ่งนัก นึกรักใคร่นางมากขึ้นด้วยดวงตาดำขลับของนางงดงามมาก คล้ายถักทอขึ้นจากเกล็ดหิมะต้องแสงจันทราในคืนเดือนเพ็ญ มันพราวระยับทว่าเย็นเยียบ มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาด ใต้หล้านี้เขาแน่ใจว่ามิเคยได้พบพานมาก่อน[1]รอยยิ้มอ่อนโยนถึงกับผุดตรงมุมปากของรัชทายาทหนุ่ม เป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์มาก ไม่ว่าใครก็ไม่เคยมีโอกาสได้เห็น นอกจากนางตรงหน้าครานี้โม๋เอ๋อร์ยิ่งตื่นตะลึงไปกันใหญ่ เมื่อได้เห็นคนเย็นชาใกล้ๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่แสนจะราบเรียบและบางทีก็บึ้งตึง ซึ่งยามนี้กำลังยิ้ม...อา...เขายิ้ม...หญิงสาวถึงกับตาพร่า ลืมกะพริบตาทันใดนัยน์ตาคู่คมของหมิงเฉิงพลันสะท้อนภาพท
แสงแดดเสียดแทงหมอกหนา ละอองหิมะโรยตัวลงมา ส่งความหนาวเย็นลงสู่พสุธาเฉกเช่นปกติบนเตียงใหญ่ในกระโจมรัชทายาท ร่างสูงยังคงนอนนิ่งเหยียดร่างให้หมอหลวงทำแผลทายา ใบหน้าหล่อเหลาขาวสะอาดยังคงเย็นชาเรียบเฉย ไม่เผยความรู้สึกอันใดออกมาเลยแม้แต่นิดเดียวถึงแม้ว่าสุรเสียงพร่ำบ่นของโอรสสวรรค์จะดังอย่างต่อเนื่องที่ข้างเตียงนอนประหนึ่งดังอื้ออึงอยู่ริมหู หากแต่นัยน์ตาคู่คมเพียงสะท้อนภาพของใครบางคนก็เท่านั้น“เจ้าเป็นถึงว่าที่จักรพรรดิ ไฉนไม่ถนอมตัว ไยชอบเข้าป่ายิ่งนัก องครักษ์คนใดก็ไม่พาไปด้วยกัน เหตุใด...”ฮ่องเต้ต้าหมิงทรงตำหนิโอรสไม่หยุดตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งรุ่งสาง พระองค์นึกสงสัยเสียจริง ว่าในป่ามีสิ่งใดดีหนักหนา เจ้าเฉิงเอ๋อร์จึงชอบแอบหนีไปเที่ยวเช่นนี้ทว่าหมิงเฉิงหาได้นำพาพระบิดา เพราะสายตาเห็นเพียงชายาของตนกำลังยืนคล้ายจะเป็นลม เรือนร่างในอาภรณ์สีฟ้าดิ้นเงินมีท่าทางอ่อนระทวย ระโหยโรยแรง ร่ำไห้เสียขวัญไม่หยุด จนสาวใช้ต้องช่วยกันจับประคองพัลวัน หมายจะพานางออกไปจากกระโจมของเขา นางก้าวเดินแช่มช้า กำลังจะผ่านประตูผ้าอย่างแนบเนียนจนเกินไป...“หยุด!”รัชทายาทคำรามลั่น ไม่คิดให้สตรีผู้นั้นเดิน
ไม่นานเกินรอ ชิงเฟยก็ออกมายืนนอกม่านหน้าเตียง“เป็นเจ้าจริงๆ เยาเยา” ชิงเฟยหรี่ตามองสตรีผู้มาใหม่ ก่อนเบือนหน้าหนีสภาพน่าเวทนาของอีกฝ่ายคล้ายรังเกียจหมิงเหอนอนแผ่อยู่หลังม่านบนเตียง ไร้ซึ่งการส่งเสียง เพียงรอฟังสองสตรีนอกม่านคุยกัน“สภาพเลือดท่วมเช่นนี้ ไม่สำเร็จใช่หรือไม่?”ชิงเฟยกล่าวเสียงเหยียดมาทางเยาเยา กระชับผ้าห่มคลุมกายตั้งแต่ช่วงไหล่ให้แน่นยิ่งขึ้น ห่วงแค่เนื้อตัวเปลือยเปล่าของตนจะหลุดจากการปกปิด แสดงออกอย่างไม่ใส่ใจอีกฝ่ายมากนัก นางกล่าวอีกว่า“เอาล่ะๆ ไม่ต้องพูดอันใดทั้งสิ้น ออกไปเสีย ข้าเห็นเลือดแล้วอยากจะอาเจียน” หญิงสาวโบกมือคล้ายไล่แมลงเยาเยาพยายามซ่อนความคิดชั่วร้ายเอาไว้ให้ลึกสุดใจ นึกอยากชี้นิ้วสั่งตายนังแพศยาผู้นี้ยิ่งนัก แต่หากนางทำอันใดไป พี่น้องของนางได้สิ้นสลายทั้งเผ่าพันธุ์แน่เมื่อทำอันใดยังมิได้ เยาเยาจึงทำได้เพียงก้มหน้าลงเพื่อแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมซื่อสัตย์ แล้วค่อยๆ พาร่างที่บาดเจ็บสาหัสเลือดไหลท่วมกายหายวูบไปเมื่อภายในกระโจมปราศจากผู้ใดในอีกครั้ง ชิงเฟยจึงเข้าไปในม่านปีนขึ้นนอนเตียงอีกครา หมายจัดการอารมณ์ที่คั่งค้างเสียงบุรุษบนเตียงจึงเอ่ย “น้องสาม
สายลมพลิ้วหอบปุยหิมะปลิว รัตติกาลนี้ช่างยาวนาน ลมหนาวยังคงหอบความเย็นพัดผ่านมาเรื่อยๆ ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นอีกระลอก ด้วยเสียงของทหารยามที่ตะโกนก้องว่า “องค์รัชทายาทบาดเจ็บ...”จากนั้นก็มีแม่ทัพและทหารกลุ่มใหญ่วิ่งไปยังทิศทางแห่งหนึ่งซึ่งเป็นชายป่าเพียงครู่ต่อมา ก็พาร่างบาดเจ็บของหมิงเฉิงกลับเข้ากระโจมรัชทายาท เพื่อให้หมอหลวงเร่งรุดมาทำการช่วยเหลือรักษาโดยเร็วเสียงวิ่งวุ่นหายา ต้มยา ลำเลียงถ้วยยาและน้ำต้มที่กำลังร้อนกรุ่น เพื่อส่งมอบยังกระโจมรัชทายาท และเสียงออกคำสั่งกร้าวว่าให้ส่งทหารออกลาดตระเวนตีวงกว้างมากกว่าเดิมเกิดขึ้นในลำดับต่อมาฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วยังต้องทรงตื่นจากบรรทมรีบเสด็จมาดูอาการของโอรสอย่างเป็นกังวลเสียงถกเถียงกันไปมา ถึงเหตุการณ์แห่งค่ำคืนนี้ยังดังลั่นไม่หยุด ทุกคนพากันออกความเห็นต่างๆ นานา มีเพียงหมิงเฉิงเท่านั้นที่นอนนิ่งไม่ปริปากสักคำไม่ว่าใครจักถามสักเท่าใด ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รัชทายาทหนุ่มยังทำเพียงมองทุกคนอย่างเย็นชา สาดประกายความเย็นเยียบผ่านนัยน์ตาดำจัด แผ่กลิ่นอายดุดันกดข่มรุนแรง ไม่ให้ใครถามทั้งนั้นท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่เหล่านั้นล้วน
โม๋เอ๋อร์พาหมิงเฉิงมาไว้ที่ชายป่า หาได้พาเข้าไปในกระโจมของเขาไม่เพื่อความแนบเนียน ...เมื่อหมิงเฉิงตื่นลืมตาจะได้ไม่มีอันใดน่าสงสัยจนเกินไป หญิงสาวจึงวางร่างหนาแน่นให้นอนแน่นิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ คงสภาพบาดเจ็บภายนอกของเขาเอาไว้ โดยให้มีบาดแผลคล้ายถูกทำร้ายจากสัตว์ป่า แค่ทายาไม่กี่วันก็หายดีพรุ่งนี้หากเขาบอกว่าเจอปีศาจสาวล่อลวงไปทำร้ายในป่าลึก จะได้ไม่มีใครเชื่อเขา ปล่อยให้เขาหงุดหงิดอยู่คนเดียว ย่อมดีกว่ามีคนเผลอเชื่อเรื่องปีศาจ แล้วออกตามหาปีศาจแทนที่จะล่าสัตว์ตามประเพณี โม๋เอ๋อร์ยืนมองบุรุษชุดครามเปื้อนเลือดที่นอนนิ่งไม่ขยับอีกชั่วครู่ จากนั้นก็อำพรางตัวหายไปคล้ายหมอกควัน โดยมีปีศาจจิ้งจอกตามติดไม่ห่าง คล้อยหลังปีศาจทั้งสอง หมิงเฉิงที่แกล้งสิ้นสติได้อย่างแนบเนียนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาบุรุษร่างสง่าในอาภรณ์สีครามขาดวิ่นมีเลือดเปรอะเปื้อน เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลจากเหล่าสัตว์ร้าย ค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่ง ชันเข่าหนึ่งข้าง แผ่นหลังกว้างตั้งตรงอิงต้นไม้ใหญ่ มีท่าทางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง พลังงานในร่างกายล้วนสูญสิ้นไป ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวลอบขบกรามแน่น เมื่อนึกไปถึงเรื่องราวที่ได้ยินเมื่อครู่