เข้าสู่ระบบในโลกที่จากมา นางถูกตราว่าเลว เพียงเพราะเกิดในตระกูลมาเฟีย ในอีกโลกหนึ่ง นางต้องมีชีวิตในร่างนางร้ายที่ผู้คนทั้งแผ่นดินเกลียด และเขา...คือบุรุษผู้เกลียดนางที่สุด เขาเคยเห็นกับตาว่า นางร้ายผู้นี้เคยรังแกสตรีที่เขารักมากเพียงใด ทว่าชะตากลับเล่นตลก ให้ทั้งคู่ต้องแต่งงานกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่ผู้คนรอบตัวล้วนรังเกียจ เหยียดหยาม และเขาเฝ้ารอวันที่นางจะเผยธาตุแท้ดังเดิม แต่สำหรับหลินอวี้เซียนคนใหม่นี้ขอเลือกจะเขียนชะตาใหม่ด้วยมือตนเอง แม้ต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่า นางร้ายก็มีสิทธิ์ลิขิตชะตาเช่นกัน!!! ⚠️Trigger warning : มีประเด็นความรุนแรงทางอารมณ์ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ โปรดอ่านด้วยวิจารณญาณ
ดูเพิ่มเติม“ไม่ว่าเจ้าจะเสแสร้งแกล้งทำอย่างไร…ก็ไม่มีใครหลงกลเจ้าแล้ว หลินอวี้เซียน!”
คำพูดนั้นราวกับฟ้าผ่า กลืนหายไปพร้อมสายฝนและลมกรรโชกที่พัดซัดปลายผมให้เปียกชื้น ความหนาวชอนไชถึงกระดูก นิ้วเรียวบนเตียงเก่ายกขึ้นคว้าอากาศราวกับไขว่หาความจริง แต่ก่อนจะคว้าได้ ลมหายใจกระตุกวูบก่อนร่างบนเตียงนั้นสะดุ้งตื่นโดยพลัน
แสงเช้าสางส่องลอดช่องฝาไม้ผุ กลิ่นฝุ่นและความชื้นตีจมูก นางนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนหายใจยาว กลืนแรงสะท้านจากฝันร้ายให้จมหาย หัวใจยังเต้นแรงจนรู้สึกถึงจังหวะในอกที่สั่นระรัว ผ้าห่มขาดวิ่นโอบกายไม่มิด ลมเย็นแทรกเข้าทุกช่องไม้ ไม่มีสิ่งใดในเรือนนี้บ่งบอกว่าเป็นถึงชีวิตของคุณหนูรองเลย
วันนี้คือวันที่สองที่จีน่า เหวิน ลืมตาในร่างหลินอวี้เซียน ตั้งแต่เมื่อวานไม่มีบ่าวแม้คนเดียวมาเหยียบเรือนนี้ เสียงท้องร้องทักเตือนยิ่งชัด นางกัดฟันสูดลมหายใจลึก กลืนความหิวลงคออย่างคนที่รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่น
ครั้งแรกที่ตื่นขึ้น นางยังหลงคิดว่าตนอยู่ในฉากถ่ายละคร ทุกสิ่งดูสมจริงเกินไป จนได้พบหีบข้างหมอนและสมุดบันทึกเล่มนั้น เมื่อเปิดอ่านทีละหน้า หัวใจกลับหนักขึ้นทุกบรรทัด เสียงสาปแช่งและแค้นเคืองของหลินอวี้เซียนคนเดิมดังก้องในหัว หญิงที่ถูกตราหน้าว่าริษยา ทำร้ายน้องสาวอวี้เยี่ยนผู้เป็นดั่งบัวขาวของครอบครัวตระกูลหลินและชาวเมือง จนสุดท้ายถูกกักขังในเรือนท้ายจวนแห่งนี้
ความทรงจำจากนิยายที่นางเพิ่งอ่านจบยังชัดสดในหัว... ใช่ นางร้ายในเรื่องนั้นคือนางเองในตอนนี้!
ริมฝีปากแดงคลี่ยิ้มจาง เสียงหัวเราะแผ่วดังในลำคอ ไม่ใช่หัวเราะเยาะ แต่คล้ายยอมรับความขมขื่นของโชคชะตาที่ตลกร้ายเสียจนไม่อาจกลั้นไว้ได้ หญิงคนเดิมในบันทึกพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา แต่จีน่า เหวินไม่ใช่คนแบบนั้น ลูกสาวมาเฟียที่เติบโตท่ามกลางเขี้ยวเล็บ ไม่มีวันยอมให้ใครกำหนดเส้นทางชีวิตแทน
“เจ้าของร่างนี้อ่อนแอเกินไป...แต่ข้าจะไม่เป็นเช่นนาง”
อวี้เซียนพึมพำ พลางหยิบไฟไว้จุดตะเกียงเผาหนังสือเล่มนั้นให้มอดไป เหลือเพียงเถ้าควันลอยขึ้นสู่เพดาน เงาเปลวไฟสะท้อนดวงตาที่นิ่งกว่าเมื่อวาน เยือกเย็นและหนักแน่นราวคนตัดสินใจได้แล้ว
ชีวิตใหม่นี้ นางจะไม่ซ้ำรอยนายร้ายคนเดิมอีก การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นล้วนเป็นเรื่องปกติที่นางเองก็เจอในชาติก่อน แต่ร่างเดิมผิดที่ท้ายที่สุดคือผู้แพ้ในสงครามครานั้น
“แต่ก่อนจะเดินหน้าได้...ก็ต้องเติมท้องให้หายร้องเสียก่อน”
นางเอ่ยเบา ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ก่อนลุกขึ้นยืดกายปัดฝุ่นจากเสื้อผ้าที่ซีดจางออก
ทางเดินออกจากเรือนเต็มไปด้วยรากไม้และหญ้าที่เกี่ยวชายกระโปรงทุกย่างก้าว นางเดินฝ่าไปโดยไม่หยุด จนกลิ่นน้ำแกงต้มกระดูกลอยมากับลมจากทางขวา ความหิวที่พยายามข่มไว้แล่นวาบขึ้นในอกอีกครั้ง
โรงครัวใหญ่ของจวนหลินคึกคักแต่มีระเบียบ หม้อทองเหลืองส่งไอร้อนระลอกหนึ่งลูบแก้ม นางยืนนิ่งใต้ซุ้มประตู มองเปลวไฟและคนทำครัวพลุกพล่านโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
“แม่หนูเอ๊ย มายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ทำไม เข้ามานี่สิ”
เสียงอบอุ่นของหญิงวัยกลางคนแทรกผ่านกลิ่นควันไฟและเสียงตะหลิวกระทบกระทะ รอยยิ้มของนางคล้ายแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านม่านหมอก อ่อนโยนจนอบอุ่นทั้งครัว มือหยาบที่ผ่านการทำงานหนักยื่นชามข้าวร้อนให้อย่างไม่ลังเลเพราะคิดว่าคือบ่าวใหม่คนหนึ่ง
ดูจากชุดก็พอเดาได้แล้ว
“รีบกินเสีย เดี๋ยวเย็นหมด”
ไอร้อนจากข้าวลอยแตะปลายจมูก กลิ่นข้าวใหม่ชวนให้ใจที่ตึงคลายลงครู่หนึ่ง อวี้เซียนรับชามนั้นไว้ แววตาไหววูบอย่างยากจะสังเกต ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่แผ่ว
“ขอบใจ...”
ขณะนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เตี้ย ความเงียบอุ่นชั่วขณะโอบล้อมราวโลกนี้ยังเหลือที่พักใจให้คนหลงทาง ทว่าเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
“นั่น...มิใช่คุณหนูรองหรือ!?”
อุณหภูมิของโรงครัวร่วงต่ำลงทันใด เสียงซุบซิบคมกริบราวลมหนาวหวนกลับมาอีกครั้ง
“จริงหรือ...คุณหนูที่พยายามฆ่าน้องสาวน่ะหรือ?”
“อย่าเข้าใกล้ เดี๋ยวซวยติดตัว”
คำเหล่านั้นกระแทกโสตเหมือนโคลนกระเด็นใส่ผ้า แม่ครัวผู้มีเมตตาเมื่อครู่ชะงัก ตะบวยในมือค้างกลางอากาศ แววตาอ่อนโยนแปรเป็นลังเลและสุดท้ายวาบวับอย่างโกรธเคืองทันใด
อวี้เซียนกลับยังตักข้าวต่ออย่างสงบ เสียงรอบตัวไกลออกไปทุกที ราวโลกนี้เหลือเพียงเสียงข้าวแตะชามเบา ๆ
“นี่หูหนวกหรือไร!”
บ่าวสาวคนหนึ่งปรี่เข้ามา กระชากข้อมือนางเต็มแรง “ฆาตกรอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์นั่งกินข้าวในที่แห่งนี้!”
เพียงพริบตา ข้อมือนั้นก็ถูกสะบัดหลุด พร้อมเกิดเสียงดัง “เพี๊ยะ” ตามแรงสะท้อนกลับ ดวงตาอวี้เซียนเยียบเย็นราวน้ำแข็งที่ไม่ละลายแม้เจอไฟ
“มือของข้า บ่าวเช่นเจ้ามิสมควรแตะต้อง!”
สิ่งที่สื่อจากน้ำเสียงและแววตาทำให้ฝ่ายตรงข้ามแข็งค้าง เหมือนเลือดในกายหยุดไหล เสียงครัวเงียบงันคล้ายเตาดับ
อวี้เซียนกินจนเสร็จก็วางชามลงอย่างสงบ ลุกขึ้นจัดแขนเสื้อให้เข้าที่ หยิบซาลาเปาใกล้มือมาลูกหนึ่ง พลางเอ่ยด้วยเสียงเรียบแต่ชัดถ้อนชัดคำ
“ข้าอาจทำผิดในอดีตแต่พวกเจ้ามิใช่ผู้ตัดสิน หน้าที่ของเจ้าคือทำงานให้ครบ อย่าลืมส่งอาหารให้ข้าที่เรือนท้ายจวนอีก”
นางหมุนกายเดินออกจากครัวทันทีที่ทำธุระเสร็จ เสียงกระซิบกระซาบดังตามหลังดังไล่ไม่ห่างทันใด
“ทำเลวถึงเพียงนั้นยังกล้ามีชีวิตต่อไปอีกหรือ! ตายเสียให้หมดเวรหมดกรรมเถิด!”
ฝีเท้านางไม่ชะงักแม้ครึ่งก้าว ลมหายใจเย็นเรียบแน่วแน่ แม้นางอวี้เซียนคนใหม่จะไม่ใช่คนทำแต่ก็ไม่อาจเถียงได้ว่าร่างเดิมไม่ได้ทำ สิ่งที่นางจะทำคือสร้างภาพจำใหม่กลบความอคติเดิมเสีย นางจะพิสูจน์ให้ดูว่านางร้ายเช่นนางก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้
บทที่ 4พระรองกับนางร้าย“พระราชโองการนี้...ช่างประหลาดนัก”คำพูดของอวี้ซินเฉือนผ่านความเงียบอย่างเฉียบคม ทุกสายตาเงยขึ้นแทบพร้อมกัน เหมือนถูกแรงบางอย่างดึงไว้“ฝ่าบาทจะพระราชทานสมรสให้ข้าที่ชื่อเสียงเสื่อมเสีย ทั้งที่หากจะให้สองตระกูลเชื่อมสัมพันธ์กันไว้อย่างที่ว่าก็มีน้องสามที่หมั้นหมายกับคุณชายใหญ่อี้เหวินอยู่แล้วไม่ใช่หรือ อีกทั้งข้าก็ยังเป็นคนตระกูลเดียวกัน เหตุใดต้องให้ข้าแต่งอีก การให้ตระกูลไป๋รับสะใภ้จากตระกูลหลินถึงสองคน...ไม่ชวนให้สงสัยอย่างนั้นหรือ?”น้ำเสียงของนางนิ่งราวน้ำในบ่อลึก แต่แรงสะท้อนกลับหนักพอจะทำให้คนฟังหายใจติดขัดอนุฮวาเสียนที่ขวัญอ่อนจากการเห็นดาบทาบคอเมื่อครู่สีหน้าเปลี่ยนวูบก่อนโพล่งเสียงสูงอย่างอดไม่อยู่ทันใด“คุณหนูรองช่างกล้าสงสัยและลบหลู่ราชโองการเช่นนี้หรือ! พูดสามหาวถึงเพียงนั้นได้อย่างไรจะให้ตระกูลเราตายตกไปตามเจ้าหรือ!”อวี้เซียนปรายตามองช้า ๆ แววตาเย็นจนคนถูกมองหดคอถอยล่นไม่กล้าดังเดิม“ข้าเพียงสังสัยเท่านั้น หากไม่คิดอันใดเลยตระกูลหลินมีหรือจะรอดชะ--”“เงียบ!” หลินเจิ้งหาวตวาดเขาลุกขึ้นยืนหันหลังให้กับอวี้เซียน “จวนหลินจะไม่ขัดราชโองการ!”อวี้เซี
บทที่ 3พระราชโองการที่นางไม่อยากได้บุรุษที่ลงมาจากหลังม้ายืดตัวตรง เส้นผมดำเปียกแนบข้างแก้มแต่เจ้าตัวก็ยังคงดูดี หยดน้ำฝนไหลจากขมับผ่านแนวกรามคม ริมฝีปากบีบแน่น เงียบ บรรยากาศรอบข้างแผ่กำจายเต็มไปด้วยอำนาจจนแม้แต่อวี้เซียนยังเผลอกลั้นหายใจชั่วขณะแสงไฟส่องผ่านม่านฝนกระทบใบหน้าคม ดวงตาของเขาเยือกเย็น...เย็นเสียจนคล้ายมองสิ่งที่เขารังเกียจมากที่สุดอวี้เซียนเปลี่ยนจากสีหน้าดีใจฉายความไม่เข้าใจชั่วครู่ที่เห็นว่าแววตาเขาเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ แต่บัดนี้ไม่มีเวลาให้ไขข้อสงสัยอวี้เซียนต้องรับขอความช่วยเหลือเสียก่อน“ท่าน...” อวี้เซียนขยับปากน้ำเสียงแผ่วไปบ้างเพราะหอบเหนื่อยแต่ชัดถ้อยพร้อมระบุชี้ไปทางที่ตนจากมา “ช่วยข้าไล่คนพวกนั้นไปทีพวกนั้นจะทำร้ายข้า”ทว่าบุรุษตรงหน้ากลับไม่ขยับ ไม่พูดใดใด เพียงยังมองนางนิ่ง สายตานั้นเย็นราวคมมีด เดี๋ยวขมวดคิ้วเดี๋ยวกัดฟันแน่น“ได้ยินหรือไม่ ข้าขอแค่ให้ช่วยที ข้าจะถูกพวกมันทำร้ายแล้ว ชะ--”พูดยังไม่ทันจบเขาขยับออกไปเหวี่ยงตนเองขึ้นบังคับม้า แล้วก็ทำท่าจะจากไปด้วยซ้ำหากไม่เพราะเขาเปลี่ยนท่าทำให้ม้าตัวโตยกสองขาขึ้นขู่ไปจากพวกอันธพาลจากวิ่งจากไปแทบมาทันแทน คว
บทที่ 2ใครบ้างไม่เกลียดชังนางยามเซิน(15.00 – 16.59 น.) ท้องทั่วฟ้าเมืองหลวงยังไม่มืดนัก แสงแดดปลายวันลอดผ่านเมฆหม่นเป็นริ้วอ่อนหลินอวี้เซียนผลักบานประตูไม้หลังเรือนท้ายจวนออก ลมชื้นอ้าวพัดปลายผมให้ไหวเบาทำให้รู้ได้เลยว่าหากนางไม่รีบไปรีบกลับอาจต้องเจอกันฝนที่สาดเทแน่ อวี้เซียนอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีเทาเรียบ ใบหน้าคลุมผ้าบางปิดครึ่งล่าง มีเพียงดวงตาคมที่สะท้อนแสงอ่อนจากฟ้าวันนี้ทั้งจวนมัวอยู่กับงานเลี้ยงหลังพิธีบรรพชน ไม่มีใครทันเห็นว่านางออกมาหรอก นางใช้ทางลับที่สำรวจและเจอได้จากวันก่อน ลัดเลาะเงียบสู่ถนนด้านนอกลมหอบกลิ่นขนมนึ่งมายังปลายจมูก ทำให้หัวใจที่นิ่งมานานกระเพื่อมขึ้นเล็กน้อย คล้ายได้หายใจคล่องอีกครั้งในโลกที่ไม่คุ้นเคยตลาดบนถนวนพลันคึกคัก ผู้คนขวักไขว่ เสียงเร่ขายสินค้าปะทะกันเป็นจังหวะ ชา เครื่องหอม ผ้าแพร เครื่องประดับ ละลานตาไปหมด นางก้าวช้า ๆ ทอดสายตามองรอบด้าน ใบหน้าหลังผ้าคลุมซ่อนรอยยิ้มบาง ๆอวี้เซียนหยุดหน้าร้านสมุนไพร กลิ่นรากแห้งและใบยาที่ตากแดดจนควันอุ่นอบอวลอยู่เต็มอากาศ“แม่นาง สนใจยาชนิดใดหรือ?” พ่อค้าชราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร“ขอดูก่อน” เสียงนางเรียบ “ร้
บทที่ 1วันไหว้บรรพบุรุษที่ไม่จำเป็นต้องมีนางเช้าวันนี้อากาศสดใส แสงแดดอุ่นส่องลอดผ่านกิ่งเหมยที่ผลิบานผ่านหน้าต่างเข้ามา อวี้เซียนยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองออกไปยังลานที่ไร้ผู้คน เข้าวันที่สามแล้วแต่วันนี้ไม่เหมือนเคย เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากหย้าประตูเรือน บ่าวสาวนางหนึ่งก็มาถึงพร้อมถาดมื้อเช้า ท่าทางของอีกฝ่ายดูเหมือนถูกบังคับเต็มหน้า“คุณหนูรอง...บ่าวนำอาหารเช้ามาให้เจ้าค่ะ”น้ำเสียงนั้นทั้งเกรงกลัวทั้งรังเกียจในคราวเดียวคงเพราะภาพจำเมื่อวานที่นางจงใจแสดงอำนาจอย่างน้อยก็ได้ผลอวี้เซียนปรายตามอง “บ่าวส่วนตัวข้าไปไหน ทำไมไม่มาทำหน้าที่?”บ่าวผู้นั้นชะงัก มือสั่นจนเกือบทำถาดหล่น “หมายถึง...ซูม่านหรือเจ้าคะ ก็ยังอยู่ แต่ตอนนี้ไปอยู่ฝ่ายซักล้างแล้วเจ้าค่ะ...บ่าวเช่นนั้นมีบุญแล้วที่ไม่ถูกตีตาย มะ--”“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปได้ตอนที่ข้ายังอารมณ์ดีอยู่”คำพูดเรียบง่ายแต่แฝงแรงกดดันจนอีกฝ่ายกลืนคำที่จะพูดต่อลงคอ รีบวางถาดแล้วเผ่นออกไปแทบไม่ทันอวี้เซียนมองชามข้าวในถาด ข้าวขาวกับผักต้มไม่กี่ชิ้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใส่ใจจะปรุงให้นางกินจริง ๆ ไว้เดี๋ยวไปหากินที่ครัวเองจะดีกว่าบัดนี้บ่าวส่วนตัวขอ











