“แม่จ๋า ไหนชุดโยคะ”
“ไปหาซื้อชุดนักเรียนกับอุปกรณ์เรียนก่อน ส่วนชุดโยคะเอาไว้ทีหลัง” วันนี้วรรณารีพาที่รักมาหาซื้อชุดและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากเด็กหญิงจะเริ่มเข้าเรียนระดับชั้นอนุบาลในภาคการศึกษาหน้า ซึ่งนับแล้วเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก็จะเปิดเทอมแล้ว
วรรณารีพามาที่ห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ เพราะที่นี่มีสวนสนุกขนาดใหญ่อยู่ด้านใน เธอตั้งใจจะพาลูกมาเล่นสนุกที่นี่เพื่อเป็นรางวัลปลอบใจก่อนที่จะเปิดเทอม อลิสรา คชาภัทร และนับหนึ่งก็ตามมาด้วย
ส่วนเรื่องชุดโยคะนั้นเพราะที่รักต้องการเรียนเองเนื่องจากเห็นคชาภัทร อลิสรา และนับหนึ่งไปเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกเสาร์อาทิตย์ที่ศูนย์กิจกรรมพิเศษใกล้บ้าน โดยคชาภัทรและนับหนึ่งเลือกเรียนมวยไทย ส่วนอลิสราเรียนเทควันโด
เมื่อเห็นพี่ทั้งสามมีความสุขมากในการไปเรียนที่นั่น ที่รักก็อยากไปกับพี่ ๆ ด้วย แล้วไม่รู้เธอไปได้ยินมาจากไหนว่าการเรียนโยคะทำให้ผอมได้ เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนให้ได้ซึ่งวรรณารีเองก็ไม่ขัด สิ่งใดที่เป็นความปรารถนาของลูก เธอพร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ
“รีบไปซื้อแล้วก็กลับกันเลย ตอนเย็นจิ๊ดริดจะไปเรียนโยคะ” เด็กหญิงยิ้มจนตาปิดเมื่อนึกภาพตัวเองหุ่นบางเป็นตะเกียบหลังจากเรียนโยคะแล้ว
“หนูจะไม่เล่นของเล่นที่นี่ก่อนหรือ สวนสนุกที่นี่ใหญ่มากนะ”
ที่รักชะงัก “เล่น แต่เล่นแป๊บเดียว” พร้อมใช้นิ้วหัวแม่โป้งกับนิ้วชี้มาจรดกันเพื่อทำสัญลักษณ์ให้แม่เห็นว่าแป๊บเดียวจริง ๆ
แล้วการเล่นแป๊บเดียวของเธอก็ผ่านไปร่วมสามชั่วโมง
“หิวกันล่ะสิเด็ก ๆ น้าวรรณขอไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วจะพาไปกินไก่ทอดดีไหม”
เด็ก ๆ ตอบรับกันเซ็งแซ่
“น้าฝากดูน้องด้วยนะ น้าไปแป๊บเดียว” ว่าแล้ววรรณารีก็ปลีกตัวไปพร้อมนับหนึ่งที่อยากเข้าห้องน้ำเช่นกัน ทิ้งให้เด็กอีกสามคนที่เหลือนั่งเล่นเกมตู้กันอย่างสนุก
หลังจากเล่นเกมแข่งรถจนเบื่อแล้ว คชาภัทรจึงชักชวนพี่สาวและที่รักเดินไปดูตู้เกมอื่นที่อยู่ติดกัน แต่ที่รักกลับไม่ขยับ สายตาจับจ้องไปยังตู้ที่อยู่ติดกันอย่างสนอกสนใจ
“อยากได้ตุ๊กตาในตู้เหรอ” เขาก้มลงถามเด็กหญิง
ที่รักพยักหน้าหงึก ๆ “อยากได้ช้างสีน้ำตาล” เด็กหญิงชี้นิ้วอวบสั้นไปที่ตุ๊กตาช้างตัวเล็กในตู้
สองพี่น้องไม่รอช้า ต่างพากันควานหาเงินในกระเป๋าที่เหลือ ได้รวมกันหกสิบบาท ทั้งคู่ผลัดกันหยอดและคีบแต่ก็เหลวหมดทั้งหกรอบ
ที่รักหน้าจ๋อย ทันใดนั้นเองก็มีเหรียญสิบบาทหนึ่งเหรียญลอยมาอยู่ตรงหน้า
“ลุงให้”
ที่รักเหลียวมองตามเสียงก็เจอหนุ่มรูปหล่อกำลังยื่นเหรียญสิบให้ หนุ่มหล่อผิวขาวหน้าคม ไม่เท่านั้นยังตาเฉียงชี้เหมือนกับเธออีก
หล่ออออ...ลูกตาที่รักเปลี่ยนเป็นรูปหัวใจพร้อมแก้มแดงปลั่งขึ้นทันตา
คชาภัทรมองที่รักตาขวางพร้อมเอื้อมมือมาดึงเธอให้ไปยืนด้านหลังตน
ที่รักยู่ปาก เธอเบี่ยงหน้าโผล่มาจากด้านหลังของคชาภัทรและส่งยิ้มแป้นพลางโบกมือน้อย ๆ ให้หนุ่มหล่อคนนั้น
พีรายุเผยยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่เมื่อเห็นท่าทางก๋ากั่นของเด็กอ้วนคนนี้ เขายังคงยื่นเหรียญสิบบาทไปใกล้เด็กทั้งสามคน
“เอาไปสิ ลุงให้ บางทีเหรียญนี้อาจโชคดีก็ได้นะ”
ทั้งอลิสราและคชาภัทรยังคงมองผู้ชายคนนี้อย่างหวาดระแวง ผู้ใหญ่เตือนเสมอว่าอย่าเชื่อใจคนข้างนอกง่าย ๆ อาจโดนหลอกและโดนจับตัวไปได้ ทั้งคู่จึงถอยหลังอีกก้าวและจับแขนที่รักเอาไว้ไม่ปล่อย
เมื่อเห็นท่าทีแบบนี้ของเด็ก พีรายุจึงถอนหายใจและพูดต่อ “เอาแบบนี้ เดี๋ยวลุงเล่นให้ดีไหม ถ้าได้ตุ๊กตาจริง ลุงจะยกให้หนู”
“แต่หนูช่วยลุงถือแก้วนี้ไว้หน่อยได้ไหม” นอกจากจินดาราแล้ว เห็นจะมีเด็กหญิงตาหยีคนนี้แหละที่พีรายุเต็มใจที่จะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลแบบนี้
ที่รักรับแก้วกระดาษที่ใส่กาแฟอุ่น ๆ มาไว้ในมือ ส่วนสายตาก็มองพีรายุที่กำลังหยอดเหรียญใส่ตู้คีบอย่างใจจดใจจ่อ
แต่แล้ว...กลิ่นอันหอมหวนของกาแฟก็โชยมาเข้าจมูก เด็กหญิงกินดะจนตัวอ้วนทำจมูกฟุดฟิด เธอก้มลงมองกาแฟสีน้ำตาลอ่อนแล้วก็กลืนน้ำลายดังเอื้อก
ด้วยความที่ไม่เคยกินเจ้าน้ำชนิดนี้มาก่อน ความอยากลองจึงมีมากกว่าปกติ น้ำลายของเธอจึงค่อย ๆ ยืดและไหลแหมะลงไปในแก้วหนึ่งหยด
ที่รักรีบใช้มือปิดปากและมองไปยังเจ้าของเครื่องดื่มอย่างตกใจก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ชายซึ่งเรียกแทนตัวเองว่าลุงนั้นกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับตู้คีบเพียงอย่างเดียว
แม้อากาศภายในห้างสรรพสินค้าจะเย็นเฉียบแต่พีรายุกลับมีเหงื่อผุดซึมอยู่ทั่วตัว สาเหตุก็เพราะสายตากดดันสามคู่เล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังเขานั่นเอง
ชายหนุ่มเพ่งสมาธิสุดชีวิต เรียกว่ามากกว่าตอนทำงานที่มีเงินเข้านับร้อยล้านบาทเสียอีก แล้วความพยายามของเขาก็ประสบผล
ที่รักมองตุ๊กตาในมือผู้ชายร่างสูงคนนี้ตาเป็นประกาย
“เอาไปสิ ลุงให้”
คชาภัทรรีบฉุดแขนเธอไว้ “ลืมที่แม่เราสอนแล้วเหรอ” เด็กชายพูดเตือนสติ
เด็กหญิงชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปรับในทันทีพร้อมกับตาเบิกโพลงเหมือนนึกขึ้นมาได้
เธอหดมือไปเก็บไว้ด้านหลังตน ส่วนสายตานั้นมองไปยังชายร่างสูงอย่างจับผิด
“ลุงอายุเท่าราย...” เธอถามเสียงยานคาง
“สามสิบห้าปี” พีรายุอมยิ้มน้อย ๆ และบอกอายุไปตามจริง
“แก่มากกก...”
พีรายุหางคิ้วกระตุก
“คนแก่ที่เอาตุ๊กตามาหลอกเด็กแบบนี้เป็นคนไม่ดี” เด็กหญิงส่ายหน้าไปด้วยระหว่างพูด
ด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาของเด็กหญิง ส่งผลให้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างเหลียวมองชายร่างสูงที่ถือตุ๊กตาตัวเล็กอยู่ในมือด้วยสายตาหวาดระแวง บางคนถึงกับคว้าลูกของตนมากอดไว้แน่น
“แม่สอนว่าคนสวยและน่ารักแบบหนู” เธอเอามือจิ้มแก้มปูด ๆ ของตัวเองหนึ่งที “ต้องระวังผู้ชายไม่ดีอย่างลุงให้มาก”
เด็กนี่ นอกจากคิ้วแล้ว ปากของพีรายุก็กระตุกไปด้วย ไม่รู้พ่อแม่สั่งสอนมายังไง
ชายหนุ่มรู้สึกเสียหน้ามากที่กำลังตกเป็นจำเลยให้กับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบนี้ เขาจึงยัดตุ๊กตาช้างใส่แขนเด็กหญิงที่โตสุดในกลุ่มแล้วดึงแก้วกาแฟจากมือที่รักก่อนจะรีบเดินหนีออกจากบริเวณนี้ไป
เด็กทั้งสามคิดจะเดินตามเพื่อนำตุ๊กตาไปคืนชายคนนั้นแต่เขาก้าวเร็วเกินกว่าจะตามทัน ประจวบกับที่นับหนึ่งเดินมาหาและพาทุกคนไปหาวรรณารีที่ร้านไก่ทอดเสียก่อน ทั้งหมดจึงเปลี่ยนเป้าหมายโดยไม่ลังเล อลิสราไม่ลืมที่จะทิ้งตุ๊กตาช้างที่ได้จากผู้ร้ายคนนั้นลงถังขยะไปด้วย
หลังปลีกตัวออกมาจากโซนเด็กเล่นได้ พีรายุเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเร่งฝีเท้าไปยังร้านเพชร สถานที่นัดหมายกับภรรยา ระหว่างนั้น ชายหนุ่มได้ยกกาแฟที่เริ่มเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีให้หลัง เขาได้เกิดอาการหน้ามืดจนเซถลาไปชนกับคนที่เดินอยู่บริเวณนั้น“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้ชายที่ถูกชนรีบประคองพาเขาไปนั่งพักตรงม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลพีรายุรีบโบกมือปฏิเสธพลางสูดหายใจเข้าลึก “น่าจะตาลายเพราะคนเยอะ ไม่เป็นอะไรมากครับแค่นั่งพักสักครู่ก็หาย ขอบคุณมากนะครับ”เมื่อเห็นว่าสีหน้าพีรายุค่อย ๆ กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง คน ๆ นั้นจึงวางใจและเดินจากไปพีรายุยังคงมีอาการมวนในท้องไม่หยุด เขานั่งหลับตานิ่งอยู่หลายนาที แล้วทันใดนั้นเอง“วรรณ!” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกวรรณารีออกมาเสียงดัง ดวงตาสอดส่ายไปมาโดยรอบอย่างสับสน ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมากดรับด้วยสีหน้าที่ยังไม่ดีขึ้น“สวัสดีครับ”“พีอยู่ไหนแล้วคะ จินนั่งรออยู่ที่ร้านเพชรนานแล้วนะ อย่าบอกนะคะว่าลืม จินไม่ยอมจริง ๆ ด้วย วันนี้ไ
“แม่จ๋า ไหนชุดโยคะ”“ไปหาซื้อชุดนักเรียนกับอุปกรณ์เรียนก่อน ส่วนชุดโยคะเอาไว้ทีหลัง” วันนี้วรรณารีพาที่รักมาหาซื้อชุดและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากเด็กหญิงจะเริ่มเข้าเรียนระดับชั้นอนุบาลในภาคการศึกษาหน้า ซึ่งนับแล้วเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก็จะเปิดเทอมแล้ววรรณารีพามาที่ห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ เพราะที่นี่มีสวนสนุกขนาดใหญ่อยู่ด้านใน เธอตั้งใจจะพาลูกมาเล่นสนุกที่นี่เพื่อเป็นรางวัลปลอบใจก่อนที่จะเปิดเทอม อลิสรา คชาภัทร และนับหนึ่งก็ตามมาด้วยส่วนเรื่องชุดโยคะนั้นเพราะที่รักต้องการเรียนเองเนื่องจากเห็นคชาภัทร อลิสรา และนับหนึ่งไปเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกเสาร์อาทิตย์ที่ศูนย์กิจกรรมพิเศษใกล้บ้าน โดยคชาภัทรและนับหนึ่งเลือกเรียนมวยไทย ส่วนอลิสราเรียนเทควันโดเมื่อเห็นพี่ทั้งสามมีความสุขมากในการไปเรียนที่นั่น ที่รักก็อยากไปกับพี่ ๆ ด้วย แล้วไม่รู้เธอไปได้ยินมาจากไหนว่าการเรียนโยคะทำให้ผอมได้ เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนให้ได้ซึ่งวรรณารีเองก็ไม่ขัด สิ่งใดที่เป็นความปรารถนาของลูก เธอพร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ“รีบไปซื้อแล้วก็กลับกันเลย ตอนเย็นจิ๊ดริดจะไปเรียน
“พี่ช้าง จิ๊ดริดผอมลงยัง” ที่รักร้องถามเมื่อเจอหน้าคชาภัทรสะดุดกึกและรีบกวาดตาสำรวจร่างป้อมที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยอัตโนมัติ ที่รักในวันนี้ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนแขนกุด ทำให้เห็นแขนอวบขาวอมชมพูอย่างชัดเจน ประกอบกับใบหน้ากลมแป้นที่มีจุดเด่นตรงตาเรียวเล็ก แก้มแดงอมชมพูที่แสดงถึงความมีสุขภาพดีของเธอ ปลายนิ้วของเขาคันยิบขึ้นมาอีกครั้งด้วยอยากจิ้มแก้มนิ่ม ๆ เล่น แต่เมื่อนึกถึงแรงถีบของเธอที่เขาเจอมานับครั้งไม่ถ้วน คชาภัทรจำต้องสกัดความอยากของตัวเองลงอย่างยากเย็น“น้องถามทำไมไม่ตอบ” อลิสราหันมาเอ็ด “ตอบดี ๆ ล่ะ” แล้วก็กำชับเสียงเหี้ยมนับหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับเผยยิ้มออกมาคชาภัทรถอยห่างจากพี่สาวโดยสัญชาตญาณ เมื่อวานตอนค่ำเขาโดนสมาชิกในบ้านเล่นงานอยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ทำอีกเด็ดขาดเด็กชายรุ่นพี่กวาดตาสำรวจร่างป้อมที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งและจ้องดูพุงที่กลมกว่าทุกวันก็ลอบถอนใจยาว“อืม ดูผอมลงนิดหน่อย” น้ำเสียงดูไม่เต็มปากนักที่รักลูบพุงตัวเองอย่างชอบใจ “วันนี้จิ๊ดริดกินข้าวน้อยกว่าทุกวัน”คชาภัทร
“จิ๊ดริดไม่สบายหรือลูก ทำไมเดินแบบนั้น” วรรณารีร้องถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นที่รักกำลังก้าวขาออกจากห้องนอนอย่างเชื่องช้าในเช้าวันต่อมา กว่าที่เธอจะก้าวเท้าสัมผัสพื้นแต่ละก้าวได้นั้นเล่นเอาคนเป็นแม่ยืนลุ้นจนใจหายใจคว่ำ“หนูไม่เป็นไข้” ที่รักบอกแม่เสียงเบา“ในเมื่อสบายดีแล้วทำไมหนูก้าวช้าแบบนั้น หรือว่าปวดขาปวดข้อตรงไหน”“หนูไม่ปวด”“งั้นก้าวขาเร็ว ๆ สิลูก ค่อย ๆ ย่างแบบนั้นเดี๋ยวเสียจังหวะหัวทิ่มได้นะ”“หนูจะเดินช้า ๆ”“ทำไมล่ะลูก”“จะได้ผอม” ที่รักตอบพร้อมกับค่อย ๆ ย่างเท้าซ้าย“ทำแบบนี้จะผอมได้ยังไง”“แม่ไม่ถามเดี๋ยวหนูอ้วน” ที่รักค่อย ๆ ย่างเท้าขวาต่อวรรณารียืนงงเป็นไก่ตาแตกที่รักซึ่งใช้เวลาสิบนาทีในการก้าวจากห้องนอนไปยังห้องครัวได้สำเร็จ เธอยกมือปาดเหงื่อที่แตกซ่กตรงหน้าผากด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใสเป็นที่สุดแตกต่างจากสีหน้าของแม่และยายที่กำลังยืนมองดูเธออยู่แบบลิบลับ“ทำไมหนูเดินช้าล่ะลูก” วรรณารียังคงถามอย่างกังขา“หนูจะได้ไม่หิว”“ทำแบบนี้จะไม่หิวได้ยังไง” สายไม่เข
“จิ๊ดริด มาดูปลานี่เร็ว เยอะแยะเลย” อลิสราที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะลงไปในคลองกับเขาด้วยได้เรียกหาที่รักทันทีที่ขึ้นจากน้ำที่รักก็ลุกไปหาทันทีที่พี่เรียก เปล่า...ไม่ใช่เธอเป็นเด็กดีอะไรหรอก เพียงแต่ละครภาคต่อที่ฟังอยู่มันจบตอนไปแล้วก็เท่านั้นเอง“เอาปลาขึ้นมาให้จิ๊ดริดดูเร็วเข้า ห้ามอุ๊บอิ๊บเอาไปซ่อนเด็ดขาด” อลิสราส่งเสียงเผด็จการให้กับทุกคนที่ช่วยจับปลาอยู่ในคลอง แม้แต่กับพ่อตัวเองก็ไม่เว้นนับหนึ่งกุลีกุจอลากกะละมังใบใหญ่มาตั้งเบื้องหน้าที่รัก และเดินไปแย่งถังใบเล็กที่ใช้ใส่ปลาจากมือแต่ละคนมาเทใส่กะละมังอย่างขมีขมัน เมื่อได้จากมือครบทุกคนแล้ว เขาก็ได้หันมายิ้มให้อลิสราอย่างเอาใจอลิสราใช้มือที่เปื้อนโคลนลูบศีรษะของนับหนึ่งอย่างอารมณ์ดี “ดีมาก” เธอเอ่ยชมสั้น ๆแม้คำชมจะสั้นแต่ก็ทำให้นับหนึ่งหน้าบานเป็นจานเชิงออกมา ขณะที่คชาภัทรได้แต่กลอกตามองบนจนตาแทบกลับ“ดิ้นดุ๊กดิ๊กเต็มเลย เอาไปปล่อยกัน มันจะได้ไม่ตาย” ที่รักตาเป็นประกายเมื่อเห็นปลาจำนวนมากทั้งน้อยใหญ่กำลังว่ายเบียดกันอยู่ในกะละมัง“เราเอามากิน เหนื่อยจับจะแ
“ทองแดงโลละสองร้อย ขวดใสโลละแปด กระดาษอ่อนโลห้าบาท กระดาษแข็งโลสามบาท”เสียงใสของเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ยังพูดไม่ชัดนักเจื้อยแจ้วอยู่บริเวณหน้าร้านรับซื้อของเก่า เป็นภาพที่ชินตาสำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนี้เป็นอย่างดีไม่เพียงแค่ตะโกนบอกราคาเสียงใส ตัวเธอเองก็ไม่อยู่นิ่ง มือคอยขยับยกข้าวของที่มีลูกค้านำมาขาย จับแยกออกเป็นประเภทอย่างชำนาญเพื่อให้สะดวกต่อการชั่งน้ำหนักและคิดราคา แม้ข้าวของจะแลดูสกปรกในสายตาผู้คนทั่วไปแต่เด็กหญิงก็หารังเกียจไม่ ภาพนี้สร้างความรู้สึกเอื้อเอ็นดูให้กับลูกค้าที่เข้ามารับบริการเป็นอย่างยิ่ง“จิ๊ดริด อย่ายกของหนักนะลูก ให้ลุงหวินกับน้าโหน่งยกแทน” วรรณารีหันมาเตือนลูกสาวเป็นระยะ“จิ๊ดริดยกไหวจ้ะแม่จ๋า แม่ไม่ต้องห่วง” เด็กหญิงพูดตอบกลับไป“ไม่ได้นะลูก กระดูกหนูยังอ่อน ยกของหนักมากกระดูกจะเสียหายได้ แล้วหนูก็จะไม่สูงด้วยนะ”พอได้ยินคำว่าไม่สูง ที่รักรีบวางกองหนังสือที่มัดเรียงกันเป็นตั้งลงทันที ไม่ได้สิเรื่องความสวยความงามต้องมาที่หนึ่งที่รักจากแรกเกิด