หลังปลีกตัวออกมาจากโซนเด็กเล่นได้ พีรายุเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเร่งฝีเท้าไปยังร้านเพชร สถานที่นัดหมายกับภรรยา ระหว่างนั้น ชายหนุ่มได้ยกกาแฟที่เริ่มเย็นชืดขึ้นดื่มด้วย
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีให้หลัง เขาได้เกิดอาการหน้ามืดจนเซถลาไปชนกับคนที่เดินอยู่บริเวณนั้น
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้ชายที่ถูกชนรีบประคองพาเขาไปนั่งพักตรงม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล
พีรายุรีบโบกมือปฏิเสธพลางสูดหายใจเข้าลึก “น่าจะตาลายเพราะคนเยอะ ไม่เป็นอะไรมากครับแค่นั่งพักสักครู่ก็หาย ขอบคุณมากนะครับ”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าพีรายุค่อย ๆ กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง คน ๆ นั้นจึงวางใจและเดินจากไป
พีรายุยังคงมีอาการมวนในท้องไม่หยุด เขานั่งหลับตานิ่งอยู่หลายนาที แล้วทันใดนั้นเอง
“วรรณ!” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกวรรณารีออกมาเสียงดัง ดวงตาสอดส่ายไปมาโดยรอบอย่างสับสน ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมากดรับด้วยสีหน้าที่ยังไม่ดีขึ้น
“สวัสดีครับ”
“พีอยู่ไหนแล้วคะ จินนั่งรออยู่ที่ร้านเพชรนานแล้วนะ อย่าบอกนะคะว่าลืม จินไม่ยอมจริง ๆ ด้วย วันนี้ไม่ว่ายังไงจินต้องได้สร้อยเพชรสิบล้านบาทกลับบ้านให้ได้” เสียงไม่พอใจของจินดาราดังมาตามสาย
พีรายุแววตาลุกโชน
“คุณเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรโทรหาผมให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ให้ ขนาดเมียผมยังไม่เคยพูดแบบนี้” เขากดวางสายอย่างหัวเสีย ต่อจากนั้นก็เลือกที่จะกดโทรหาวรรณารีแทน แต่แล้วกลับพบว่าหมายเลขของเธอได้ถูกยกเลิกไปแล้ว
เขานิ่วหน้าอย่างแปลกใจและเดินออกไปจากห้างสรรพสินค้าอย่างรีบเร่ง
จินดารากดวางโทรศัพท์ด้วยมือที่สั่นระริก หลังจากพูดขอโทษขอโพยเจ้าของร้านเพชรแล้วก็รีบก้าวออกจากร้านด้วยใบหน้าซีดเผือด
“เพิ่งให้ยาไปเมื่อเช้านี้เอง ทำไมถึงหมดฤทธิ์แล้ว” จินดาราพึมพำอย่างหวาดกลัวในใจด้วยไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอเธออยู่ที่บ้าน ก่อนขับรถออกจากห้างสรรพสินค้า หญิงสาวได้หยิบเข็มฉีดยาที่ด้านในจุยานอนหลับฤทธิ์แรงขึ้นมาสำรวจความเรียบร้อยและใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าสะพายด้วยสีหน้าที่มั่นใจมากขึ้น
-----
ข้างฝ่ายวรรณารีนั้นเอาแต่นั่งจ้องที่รักซึ่งกำลังเคี้ยวไก่ทอดอย่างเอร็ดอร่อยด้วยสีหน้าวิตก เธอเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงแผนกของเล่นทั้งหมด แต่ใจไม่กล้าพอที่จะออกไปให้พีรายุเจอตัว ได้แต่ยืนแอบอยู่ข้างเสาด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวน โชคดีที่นับหนึ่งออกจากห้องน้ำมาพอดี เธอจึงให้เขาไปเรียกเด็ก ๆ ทั้งสามแล้วพาไปยังร้านไก่ทอดที่นั่งกันอยู่ในตอนนี้
เธอกลัวเหลือเกินว่าเหตุการณ์วันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ที่รักเข้าไปพัวพันกับพีรายุอีกครั้ง กลัวว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายไม่รู้จบจนทำร้ายที่รักเอาได้ เธอไม่อยากให้ลูกมาเจอหรือสัมผัสความเจ็บปวดใด ๆ เหมือนเช่นที่คนเป็นแม่แบบเธอเคยเจอ
แต่ชั่วระยะเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง สมองของเธอก็ไม่ว่างคิดถึงความกลัวเหล่านั้นอีกต่อไปหลังจากได้ยินเสียงร้องเหมือนหมูถูกเชือดของที่รักซึ่งดังออกมาเป็นระยะจากห้องเรียนโยคะ
-----
“อะไรนะ! พวกเธอเป็นคนงานในบ้านแล้วจะไม่รู้จักวรรณารี เมียฉันได้ยังไง”
พีรายุเอ็ดตะโรลั่นบ้าน ขณะที่คนงานจำนวนห้าคนกำลังนั่งคุกเข่าหน้าซีดอยู่ตรงพื้น
จินดารารีบวิ่งขึ้นมาบนบ้านและทันเห็นเหตุการณ์พอดี
“พวกเธอออกไปก่อน” จินดาราสั่งคนงานที่เธอรับมาใหม่ทั้งหมดหลังจากยกฐานะตัวเองขึ้นมาเป็นนายหญิงของบ้านเรียบร้อยแล้ว
คนงานทุกคนต่างตาลีตาเหลือกเดินออกไป
พีรายุหันมามองจินดาราอย่างไม่พอใจ
“เธอมีสิทธิ์อะไรให้คนพวกนั้นออกไป”
“คุณพีอย่าโมโหไปเลยนะคะ คนงานพวกนี้เพิ่งเข้ามาทำงานเมื่อวาน เลยไม่รู้จักวรรณ” จินดารารีบเดินเข้ามาประชิดตัว
“แล้ววรรณไป...โอ๊ย! นี้เธอทำอะไรกับฉัน” ชายหนุ่มถามเสียงกร้าวก่อนจะใช้มือกุมสีข้างที่โดนเข็มฉีดยาในมือของจินดาราฉีดเข้าไปเต็มแรง
“ก็ทำให้คุณหลับยังไงล่ะ” จินดาราคลี่ยิ้มมุมปาก เธอมองภาพพีรายุที่ค่อย ๆ ทรุดตัวลงไปกองกับพื้นด้วยแววตาสมใจ
“ชิด เหม” หญิงสาวตะโกนเรียกคนงานในบ้าน “พาคุณผู้ชายไปที่ห้องนอน”
สองคนงานเข้ามาในห้องนั่งเล่นและลอบมองตากันอย่างหวาด ๆ ก่อนจะช่วงพยุงร่างอันหนักอึ้งของพีรายุไปที่ห้องนอนตามคำสั่ง
จินดาราหยิบไซริงค์ดูดยาพรางเสน่ห์ขึ้นมาจนเต็มหลอดแล้วค่อย ๆ ฉีดเข้าปากพีรายุไปจนหมด หลังจากนั้นก็นั่งรอด้วยสีหน้าวิตก
เธอเริ่มรู้สึกแล้วว่าต่อจากนี้ยาพรางเสน่ห์จะไม่ได้ผลเต็มร้อยอีกต่อไป
-----
เสียงบีบแตรถี่ ๆ ที่สะท้อนถึงอารมณ์คนขับได้ดังลั่นที่หน้าบ้าน อิทธิไกรขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ แม้จะไม่เห็นตัวรถ แต่เสียงบีบแตรลักษณะนี้เขาจำได้ดีว่าเป็นใคร
“ยาพรางเสน่ห์ใช้ไม่ได้ผลอีกแล้ว ทำไมคุณไม่ทำตัวยาให้เข้มขึ้น” จินดาราต่อว่าทันทีที่เจอหน้า
“เธออยากให้ผู้ชายคนนั้นตายหรือไง น้ำมันของช้างพลายใช่ว่าจะใช้แค่ไหนก็ได้นะ แทนที่จะมาโทษนั่นโทษนี่ ทำไมไม่โทษตัวเองบ้าง กี่ปีแล้วที่แย่งเขามาจากเมีย ทำไมไม่ทำให้เขาหันมารักจริง ๆ จะได้ไม่ต้องพึ่งยาพวกนี้” เขาเอ่ยตำหนิและเย้ยหยันไปในตัว
จินดาราถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจสุดขีด “อย่ามาพูดเหมือนตัวเองเป็นผู้มีพระคุณกับฉันแบบนั้น ฉันจ่ายค่าตอบแทนให้คุณคุ้มค่าทุกครั้งไม่เคยเบี้ยว” เมื่อนึกถึงค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้ง จินดารายิ่งแค้นในอก
“ฉันอยากได้ยาที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้แทนยาพรางเสน่ห์”
อิทธิไกรหรี่ตามองจินดาราอยู่นาน “คงต้องเปลี่ยนใช้ยามหาโลกาแทน”
จินดารายิ้มอย่างดีใจ “งั้นเอายานี้มาให้ฉัน”
คราวนี้พ่อหมอชื่อดังส่ายหน้า “คุณรู้ไหมว่ายามหาโลกาทำยากแค่ไหน ไม่ใช่อยากได้เดี๋ยวนั้นแล้วจะได้ มันทำมาจากหญิงตายทั้งกลมเจ็ดป่าช้าเชียวนะ”
จินดาราผงะ ใบหน้าซีดเผือด เธอคิดชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนกัดฟันพูดต่อ “คุณทำให้ฉันได้ไหม”
อิทธิไกรเผยยิ้มเย็นให้เห็น “ทำน่ะได้ แต่คงต้องใช้เวลานาน เพราะศพตายท้องกลมไม่ใช่จะหาได้ง่าย ๆ แล้วยังต้องหามาให้ได้ถึงเจ็ดป่าช้าอีก”
“ได้ นานแค่ไหนฉันก็จะรอ”
“แล้วคุณรู้ไหมว่าต้องแลกกับอะไรสำหรับยานี้” อิทธิไกรถามด้วยน้ำเสียงถือดี
จินดารามองเขาอย่างกังขา
“คุณต้องแบ่งสมบัติของผัวคุณให้ผมครึ่งหนึ่ง ก่อนแบ่งต้องเอารายการทรัพย์สินทั้งหมดมาให้ผมดูก่อน ห้ามคิดตุกติก อีกอย่าง คุณต้องมาหาผมทุกอาทิตย์ คงไม่ต้องบอกนะว่ามาหาทำไม”
จินดารามือสั่นระริก สายตาจ้องไปที่อิทธิไกรราวกับจะให้เขามอดไหม้เป็นจุณไปต่อหน้า “ได้” เธอตอบด้วยน้ำเสียงลอดผ่านไรฟัน “แต่ตอนนี้ต้องใช้ยาพรางเสน่ห์เพิ่มขึ้น คุณมีให้ฉันไหม”
“สำหรับคนสวยแบบคุณผมมีให้เสมอ” พูดจบ อิทธิไกรได้เหนี่ยวร่างแข็ง ๆ ฝืน ๆ ของเธอเข้าไปในห้องนอนของเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่น่ารังเกียจ
ตลอดช่วงบ่าย จินดาราที่นอนอยู่ใต้ร่างอิทธิไกรได้แต่กัดริมฝีปากแน่น หากถึงฝั่งฝันวันใด เธอจะไม่มีวันปล่อยเสี้ยนหนามตำใจพวกนี้อยู่เกะกะบนโลกได้อีก!
หลังปลีกตัวออกมาจากโซนเด็กเล่นได้ พีรายุเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเร่งฝีเท้าไปยังร้านเพชร สถานที่นัดหมายกับภรรยา ระหว่างนั้น ชายหนุ่มได้ยกกาแฟที่เริ่มเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีให้หลัง เขาได้เกิดอาการหน้ามืดจนเซถลาไปชนกับคนที่เดินอยู่บริเวณนั้น“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้ชายที่ถูกชนรีบประคองพาเขาไปนั่งพักตรงม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลพีรายุรีบโบกมือปฏิเสธพลางสูดหายใจเข้าลึก “น่าจะตาลายเพราะคนเยอะ ไม่เป็นอะไรมากครับแค่นั่งพักสักครู่ก็หาย ขอบคุณมากนะครับ”เมื่อเห็นว่าสีหน้าพีรายุค่อย ๆ กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง คน ๆ นั้นจึงวางใจและเดินจากไปพีรายุยังคงมีอาการมวนในท้องไม่หยุด เขานั่งหลับตานิ่งอยู่หลายนาที แล้วทันใดนั้นเอง“วรรณ!” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกวรรณารีออกมาเสียงดัง ดวงตาสอดส่ายไปมาโดยรอบอย่างสับสน ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมากดรับด้วยสีหน้าที่ยังไม่ดีขึ้น“สวัสดีครับ”“พีอยู่ไหนแล้วคะ จินนั่งรออยู่ที่ร้านเพชรนานแล้วนะ อย่าบอกนะคะว่าลืม จินไม่ยอมจริง ๆ ด้วย วันนี้ไ
“แม่จ๋า ไหนชุดโยคะ”“ไปหาซื้อชุดนักเรียนกับอุปกรณ์เรียนก่อน ส่วนชุดโยคะเอาไว้ทีหลัง” วันนี้วรรณารีพาที่รักมาหาซื้อชุดและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากเด็กหญิงจะเริ่มเข้าเรียนระดับชั้นอนุบาลในภาคการศึกษาหน้า ซึ่งนับแล้วเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก็จะเปิดเทอมแล้ววรรณารีพามาที่ห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ เพราะที่นี่มีสวนสนุกขนาดใหญ่อยู่ด้านใน เธอตั้งใจจะพาลูกมาเล่นสนุกที่นี่เพื่อเป็นรางวัลปลอบใจก่อนที่จะเปิดเทอม อลิสรา คชาภัทร และนับหนึ่งก็ตามมาด้วยส่วนเรื่องชุดโยคะนั้นเพราะที่รักต้องการเรียนเองเนื่องจากเห็นคชาภัทร อลิสรา และนับหนึ่งไปเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกเสาร์อาทิตย์ที่ศูนย์กิจกรรมพิเศษใกล้บ้าน โดยคชาภัทรและนับหนึ่งเลือกเรียนมวยไทย ส่วนอลิสราเรียนเทควันโดเมื่อเห็นพี่ทั้งสามมีความสุขมากในการไปเรียนที่นั่น ที่รักก็อยากไปกับพี่ ๆ ด้วย แล้วไม่รู้เธอไปได้ยินมาจากไหนว่าการเรียนโยคะทำให้ผอมได้ เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนให้ได้ซึ่งวรรณารีเองก็ไม่ขัด สิ่งใดที่เป็นความปรารถนาของลูก เธอพร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ“รีบไปซื้อแล้วก็กลับกันเลย ตอนเย็นจิ๊ดริดจะไปเรียน
“พี่ช้าง จิ๊ดริดผอมลงยัง” ที่รักร้องถามเมื่อเจอหน้าคชาภัทรสะดุดกึกและรีบกวาดตาสำรวจร่างป้อมที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยอัตโนมัติ ที่รักในวันนี้ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนแขนกุด ทำให้เห็นแขนอวบขาวอมชมพูอย่างชัดเจน ประกอบกับใบหน้ากลมแป้นที่มีจุดเด่นตรงตาเรียวเล็ก แก้มแดงอมชมพูที่แสดงถึงความมีสุขภาพดีของเธอ ปลายนิ้วของเขาคันยิบขึ้นมาอีกครั้งด้วยอยากจิ้มแก้มนิ่ม ๆ เล่น แต่เมื่อนึกถึงแรงถีบของเธอที่เขาเจอมานับครั้งไม่ถ้วน คชาภัทรจำต้องสกัดความอยากของตัวเองลงอย่างยากเย็น“น้องถามทำไมไม่ตอบ” อลิสราหันมาเอ็ด “ตอบดี ๆ ล่ะ” แล้วก็กำชับเสียงเหี้ยมนับหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับเผยยิ้มออกมาคชาภัทรถอยห่างจากพี่สาวโดยสัญชาตญาณ เมื่อวานตอนค่ำเขาโดนสมาชิกในบ้านเล่นงานอยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ทำอีกเด็ดขาดเด็กชายรุ่นพี่กวาดตาสำรวจร่างป้อมที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งและจ้องดูพุงที่กลมกว่าทุกวันก็ลอบถอนใจยาว“อืม ดูผอมลงนิดหน่อย” น้ำเสียงดูไม่เต็มปากนักที่รักลูบพุงตัวเองอย่างชอบใจ “วันนี้จิ๊ดริดกินข้าวน้อยกว่าทุกวัน”คชาภัทร
“จิ๊ดริดไม่สบายหรือลูก ทำไมเดินแบบนั้น” วรรณารีร้องถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นที่รักกำลังก้าวขาออกจากห้องนอนอย่างเชื่องช้าในเช้าวันต่อมา กว่าที่เธอจะก้าวเท้าสัมผัสพื้นแต่ละก้าวได้นั้นเล่นเอาคนเป็นแม่ยืนลุ้นจนใจหายใจคว่ำ“หนูไม่เป็นไข้” ที่รักบอกแม่เสียงเบา“ในเมื่อสบายดีแล้วทำไมหนูก้าวช้าแบบนั้น หรือว่าปวดขาปวดข้อตรงไหน”“หนูไม่ปวด”“งั้นก้าวขาเร็ว ๆ สิลูก ค่อย ๆ ย่างแบบนั้นเดี๋ยวเสียจังหวะหัวทิ่มได้นะ”“หนูจะเดินช้า ๆ”“ทำไมล่ะลูก”“จะได้ผอม” ที่รักตอบพร้อมกับค่อย ๆ ย่างเท้าซ้าย“ทำแบบนี้จะผอมได้ยังไง”“แม่ไม่ถามเดี๋ยวหนูอ้วน” ที่รักค่อย ๆ ย่างเท้าขวาต่อวรรณารียืนงงเป็นไก่ตาแตกที่รักซึ่งใช้เวลาสิบนาทีในการก้าวจากห้องนอนไปยังห้องครัวได้สำเร็จ เธอยกมือปาดเหงื่อที่แตกซ่กตรงหน้าผากด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใสเป็นที่สุดแตกต่างจากสีหน้าของแม่และยายที่กำลังยืนมองดูเธออยู่แบบลิบลับ“ทำไมหนูเดินช้าล่ะลูก” วรรณารียังคงถามอย่างกังขา“หนูจะได้ไม่หิว”“ทำแบบนี้จะไม่หิวได้ยังไง” สายไม่เข
“จิ๊ดริด มาดูปลานี่เร็ว เยอะแยะเลย” อลิสราที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะลงไปในคลองกับเขาด้วยได้เรียกหาที่รักทันทีที่ขึ้นจากน้ำที่รักก็ลุกไปหาทันทีที่พี่เรียก เปล่า...ไม่ใช่เธอเป็นเด็กดีอะไรหรอก เพียงแต่ละครภาคต่อที่ฟังอยู่มันจบตอนไปแล้วก็เท่านั้นเอง“เอาปลาขึ้นมาให้จิ๊ดริดดูเร็วเข้า ห้ามอุ๊บอิ๊บเอาไปซ่อนเด็ดขาด” อลิสราส่งเสียงเผด็จการให้กับทุกคนที่ช่วยจับปลาอยู่ในคลอง แม้แต่กับพ่อตัวเองก็ไม่เว้นนับหนึ่งกุลีกุจอลากกะละมังใบใหญ่มาตั้งเบื้องหน้าที่รัก และเดินไปแย่งถังใบเล็กที่ใช้ใส่ปลาจากมือแต่ละคนมาเทใส่กะละมังอย่างขมีขมัน เมื่อได้จากมือครบทุกคนแล้ว เขาก็ได้หันมายิ้มให้อลิสราอย่างเอาใจอลิสราใช้มือที่เปื้อนโคลนลูบศีรษะของนับหนึ่งอย่างอารมณ์ดี “ดีมาก” เธอเอ่ยชมสั้น ๆแม้คำชมจะสั้นแต่ก็ทำให้นับหนึ่งหน้าบานเป็นจานเชิงออกมา ขณะที่คชาภัทรได้แต่กลอกตามองบนจนตาแทบกลับ“ดิ้นดุ๊กดิ๊กเต็มเลย เอาไปปล่อยกัน มันจะได้ไม่ตาย” ที่รักตาเป็นประกายเมื่อเห็นปลาจำนวนมากทั้งน้อยใหญ่กำลังว่ายเบียดกันอยู่ในกะละมัง“เราเอามากิน เหนื่อยจับจะแ
“ทองแดงโลละสองร้อย ขวดใสโลละแปด กระดาษอ่อนโลห้าบาท กระดาษแข็งโลสามบาท”เสียงใสของเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ยังพูดไม่ชัดนักเจื้อยแจ้วอยู่บริเวณหน้าร้านรับซื้อของเก่า เป็นภาพที่ชินตาสำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนี้เป็นอย่างดีไม่เพียงแค่ตะโกนบอกราคาเสียงใส ตัวเธอเองก็ไม่อยู่นิ่ง มือคอยขยับยกข้าวของที่มีลูกค้านำมาขาย จับแยกออกเป็นประเภทอย่างชำนาญเพื่อให้สะดวกต่อการชั่งน้ำหนักและคิดราคา แม้ข้าวของจะแลดูสกปรกในสายตาผู้คนทั่วไปแต่เด็กหญิงก็หารังเกียจไม่ ภาพนี้สร้างความรู้สึกเอื้อเอ็นดูให้กับลูกค้าที่เข้ามารับบริการเป็นอย่างยิ่ง“จิ๊ดริด อย่ายกของหนักนะลูก ให้ลุงหวินกับน้าโหน่งยกแทน” วรรณารีหันมาเตือนลูกสาวเป็นระยะ“จิ๊ดริดยกไหวจ้ะแม่จ๋า แม่ไม่ต้องห่วง” เด็กหญิงพูดตอบกลับไป“ไม่ได้นะลูก กระดูกหนูยังอ่อน ยกของหนักมากกระดูกจะเสียหายได้ แล้วหนูก็จะไม่สูงด้วยนะ”พอได้ยินคำว่าไม่สูง ที่รักรีบวางกองหนังสือที่มัดเรียงกันเป็นตั้งลงทันที ไม่ได้สิเรื่องความสวยความงามต้องมาที่หนึ่งที่รักจากแรกเกิด