นี่เป็นสิ่งใหม่ เธอไม่เคยเห็นมนุษย์ที่มีสีหน้าแบบนี้มาก่อน หรือว่า...เอ็ดน่ามองไปที่เครื่องหมายสัญลักษณ์ของเอเดอริน แล้วเธอก็รู้ทันทีว่าเอเดอรินได้รับการทำเครื่องหมายโดยพระราชาแล้ว ดูจากรอยสักที่เหมือนเครื่องหมายบนหน้าผากของเธอ เธอได้รับการยอมรับจากอาณาจักรมนุษย์หมาป่าแล้ว นั่นหมายความว่าเอเดอรินไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปอีกต่อไป แม้ว่าจะไม่ได้ผสมพันธุ์ แต่เอเดอรินก็จะมีพลังหมาป่าจากคู่ของเธอ ซึ่งทำให้เธอแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ แต่เนื่องจากเธอเป็นมนุษย์ พลังจึงยังไม่แสดงออกมาทั้งหมด แต่หากเธอเป็นมนุษย์หมาป่า พลังของเธอจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของตอนนี้ มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเอ็ดน่าที่จะคุมขังเอเดอรินให้อยู่กับที่หรือสะกดควบคุมเธอ“อย่างนี้นี่เอง” เอ็ดน่าพึมพำกับตัวเอง ความโกรธจะกระตุ้นพลังภายในของเอเดอริน และเธอต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมันก่อนที่พลังของสัตว์ร้ายจะควบคุมร่างกายของเธอ แต่พลังนี้ของเอเดอรินก็เพียงพอที่จะกระชากคอเอ็ดน่าขึ้นมาได้หากเธอไม่ระมัดระวังตัว เธอต้องไม่ทำให้เอเดอรินโกรธมากขึ้น เพราะเธอคิดว่าเอเดอรินยังไม่รู้เกี่ยวกับพลังอำนาจและยังไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร การกระตุ้นควา
หัวใจแบลครู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นร่างของเพื่อนนอนตายอยู่บนพื้น พวกเขารู้ว่าใครคือหมาป่าตัวนั้น ทั้งดีแลนและแบลคต่างก็คิดในใจว่าพวกเขาจะไม่ปล่อยให้การเสียสละนี้เปล่าประโยชน์ พวกเขาจะต้องแก้แค้นให้สาสม เสียงคำรามดังราวกับระเบิด พวกเขาฉีกเกราะจากด้านในและโจมตีศัตรูของพวกเขาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่สัมผัสเลือด กรงเล็บก็เพียงพอแล้วที่จะฉีกร่างของศัตรูออกเป็นชิ้นๆ และทีละตัวสองตัว ทั้งคู่ก็กองร่างของศัตรูลงบนพื้นด้วยความโกรธเอสเทลแน่ใจว่าได้แจ้งเรื่องพิษต่อหมาป่าตัวอื่นๆ และแม่มดตัวอื่นๆทั้งหมดแล้ว และในไม่ช้าหมาป่าตัวอื่นๆก็ใช้กรงเล็บที่แหลมคมและน้ำหนักตัวเพื่อบดขยี้ศัตรู แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ เพราะพวกเขาเพียงแค่ทำให้มันบาดเจ็บ แต่ยังไม่สามารถฆ่าพวกมันได้โดยใช้กรงเล็บเท่านั้น เอสเทลและแม่มดคนอื่นๆ มองดูเรื่องนี้ และพูดคุยปรึกษากันว่าต้องทำอย่างไร หลังจากประชุมกันและค้นจากตำราหนังสือของบรรพบุรุษ พวกเขาก็ได้วิธีพวกเขาร่วมกันร่ายมนตร์สะกดให้ทั่วหมาป่า หมาป่าเฝ้ามองตัวเองลอยขึ้นไปในอากาศด้วยแสงสีเขียวแล้วทรุดตัวลงกับพื้น พวกเขายังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น หมาป่าส่ายหัวและแล้วก็รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หมาป่าหันกลับมามองเอเดอริน และใช้กรงเล็บฉีกเชือกที่มัดเธอไว้ออกเป็นชิ้นๆ เอเดอรินกระโดดลงจากโต๊ะและมองไปที่หมาป่า เธอมองไปที่ดวงตาของมัน มันเป็นดวงตาที่คุ้นเคย บ่งบอกว่านี่คือคนที่เธออยากจะพบ“ดีแลน” เธอยิ้มให้หมาป่าตัวใหญ่กว่าตัวเธอถึงสามเท่า เขาตอบกลับด้วยเสียงคร่ำครวญและกระดิกหาง“และแบลคด้วย!” เอเดอรินหัวเราะเมื่อรู้สาเหตุของเสียงคร่ำครวญนั้น“เจ้าโง่!” พวกเขาได้ยินเสียงเอ็ดน่า เธอยืนขึ้นและสาปแช่งดีแลน ก่อนที่จะร่ายคาถาและลูกไฟก็ปะทุขึ้นจากที่ไหนสักแห่งและมันก็พุ่งเข้ามาหาพวกเขา ดีแลนวางเอเดอรินไว้ข้างหลัง และพยายามจะหยุดไฟด้วยตัวเขาเอง เขาเหวี่ยงแขนและลูกไฟก็ปะทุ และมันก็ชนกับลูกไฟของเอ็ดน่า และหายไปในอากาศเอ็ดน่าสะกดอะไรบางอย่าง เธอก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ผ่านกำแพง เพื่อพยายามจะหนี ดีแลนมองกลับไปที่เอเดอริน และกระโดดพุ่งไปที่กำแพงเดียวกันนั้น แล้วทุบกำแพงเพื่อออกไปข้างนอก เขากระโดดลงและเอเดอรินก็วิ่งขึ้นไปที่กำแพงที่พังลงมา พบว่าดีแลนกระโดดลงบนพื้นได้อย่างง่ายดายและวิ่งไปยังทิศทางที่เอ็ดน่าหลบหนีไปเธอไม่สามารถอยู่ที่นั่นและรอพวกเขาได้ เธอปีนลงจากกำแพงและทันทีที่เท้าแตะพื้น เธอก็วิ
เพียร์ซีเวีย เอสเทล และแม่มดคนอื่นๆ ยังคงตกตะลึง พวกเขาไม่ได้แม้แต่จะขยับตัวไปไหน เพราะพวกเขายังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ซีเรียน่าจ้องไปที่ฟีนิกซ์ และเดินไปหาเธอด้วยความโกรธ ได้ยินเสียงดังเกิดขึ้นและเหล่าหมาป่าก็มองขึ้นไปที่ต้นเสียง พบว่าซีเรียน่ายกมือขึ้นตบหน้าฟีนิกซ์ ฟีนิกซ์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า ไม่มีอารมณ์ใดๆ เธอมีท่าทางที่เหมือนไม่มีความรู้สึกอีกต่อไป น้ำตาไหลออกจากดวงตา เธอยืนอยู่ที่นั่นก้มศีรษะลงขณะที่ซีเรียน่าตบหน้าเธออีกครั้ง“คนทรยศ!” ซีเรียน่ากรีดร้องขณะที่ตบหน้าฟีนิกซ์อีกครั้งด้วยความโกรธ"หยุดได้แล้ว! ซีเรียน่า!” ฮิลดาหนึ่งในแม่มดจับซีเรียน่าไว้ และพยายามดึงเธอออกจากการตบตีฟีนิกซ์อีกครั้ง"หยุดเถอะ!" ฮิลดาร้องไห้ที่เอาหัวพิงไหล่ของซีเรียน่าเพื่อซ่อนน้ำตาของเธอซีเรียน่า สะอื้นไห้และกรีดร้องใส่ฟีนิกซ์ ว่าเป็นคนทรยศและปล่อยให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในทางกลับกัน เบลคเปลี่ยนกลับร่างเป็นมนุษย์แล้วเดินออกไปหาดีแลน เอามือโอบไหล่ไว้โดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หมาป่าเปลี่ยนกลับเป็นร่างมนุษย์ และหมาป่าตัวหนึ่งร้องโหยหวนยกศีรษะขึ้นไปในอากาศ ส่งสัญญาณให้อีกตัวอื่น
สายตาของทุกคนมองไปทางดีแลนและเอเดอริน ซึ่งทั้งสองเหมือนกำลังอยู่ในโลกของพวกเขาเอง เอสเทลส่งเสียงและส่งสัญญาณให้ทุกคนปล่อยพวกเขาไว้ตามลำพัง พวกเขาทั้งหมดพยักหน้าแอมเบอร์เอ่ยขอตัว และบอกคนอื่นๆว่า “มาเถอะ ไปเราพาเพื่อนของเรากลับมากัน!” เธอกล่าว พร้อมกับยกมีดขึ้นมาอย่างมีความสุข พวกหมาป่าก็กระโดดด้วยความดีใจและกระดิกหางวิ่งไปทางที่พวกเขาสูญเสียเพื่อนไป พวกแม่มดหัวเราะและชำเลืองมองไปทางพระราชาและราชินีของพวกเขาก่อนจะแยกออกไปพร้อมกับเบลคที่ยิ้มแย้ม"โอเค! ใจเย็นๆ เจ้าหมาป่า! วางฉันลงได้แล้ว!” เอเดอรินหัวเราะคิกคักและดีแลนก็ส่ายหัวไม่ยอมปล่อย“ดีแลน!” เอเดอรินหัวเราะ เมื่อเขาพยายามจะจูบเธอโดยที่ยังอุ้มเธออยู่ในอ้อมแขน“วางฉันลงเถอะ!” เธอดุดีแลน และบังคับให้เขาวางเธอลง แต่เขาก็ไม่ปล่อยเธอไป เขาดึงเธอเข้าไปกอดและจูบรอยที่คอของเธอซึ่งทำให้เธอหัวเราะคิกคัก“คุณทำผมหัวใจจะวายตาย!” ดีแลนบ่น รู้สึกดีใจที่คนรักของเขากลับมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง"จริงเหรอ?" เอเดอรินถามเขาอย่างสนุกสนาน แต่ดีแลนถอยห่างจากเธอและมองตรงเข้าไปในดวงตา“อย่าทำอย่างนั้นกับฉันอีกนะ ได้โปรดที่รัก!” เขาพูดด้วยอารมณ์ที่ท่วมท
หมาป่าอาวุโสราวกับลอยอยู่บนท้องฟ้า โดยมีเมฆเป็นประกายล้อมรอบตัวพวกเขา และพวกเราทุกคนก็ยืนบนพื้นดินมองขึ้นไป"โค้งคำนับ!" ดีแลนบอกให้ฉันรู้ผ่านกระแสจิต และฉันก็ก้มตัวลงทันทีค้อมคำนับด้วยความเคารพ“ราชินีมนุษย์” ฉันมองขึ้นไปที่หมาป่าตัวกลางเมื่อเขาเรียกฉัน น้ำเสียงที่หนักแน่นของเขาก้องอยู่ในหู แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดก็ตาม“เราอยู่ที่นี่เพื่อเรียกคุณว่าเป็นราชินีแห่งราชอาณาจักร” ผู้อาวุโสฝั่งซ้ายพูดและรู้เพียงว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง“คุณผ่านทุกการทดสอบของการเป็นราชินีที่สมบูรณ์แบบ สงครามไม่ได้ถูกมองข้ามไปจากสายตาของเรา และเรามีความยินดีที่จะบอกว่าคุณคือราชินีที่สมบูรณ์แบบที่อาณาจักรเราต้องการ เราทราบดีถึงชาติกำเนิดของคุณ ความกล้าหาญ และความเมตตาของคุณได้รับความเคารพจากเรา และด้วยเหตุนี้ เราจึงขอมอบบัลลังก์ให้คุณเป็นราชินีตลอดกาล และเป็นราชินีมนุษย์คนแรกของที่แห่งนี้” เขากล่าวและฉันก็โค้งคำนับ แสงออกมาจากหินสีแดงที่หน้าผากของเขาและส่องลงมาที่ฉัน ฉันรู้สึกราวกับว่าฉันถูกโอบล้อมไปด้วยรังไหมรัศมีแห่งพลัง และฉันก็รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นในตัวเอง จนถึงขนาดที่ฉันรู้สึกได้ว่าฉันสามารถยกคนขึ้
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกและอารมณ์ที่พวกเขาไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ จะอย่างไรก็ตามแม้ว่าคุณจะจดจำได้เสมอว่าชีวิตได้ดึงคุณขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่งและโยนคุณลงไปสู่ชีวิตอีกรูปแบบ ฉันหายใจเข้าลึกและคิดทบทวนว่าชีวิตของฉันเปลี่ยนไปมากเพียงนี้ได้อย่างไร น้ำตาหยดไหลออกจากตาเมื่อฉันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อน“ฉันไม่อยากให้คุณไป ได้โปรดอย่าไปเลย ฉันกลัว" ฉันมองเข้าไปในดวงตาของเธอและกอดเธอไว้แนบอก จูบเธอเบาๆที่หน้าผาก ฉันสัญญาว่าฉันจะกลับมาเร็วๆนี้“อย่าร้องไห้เลยนะ พี่ต้องไปทำงานสำคัญ” เธอหยุดร้องไห้และใช้มือเล็กๆของเธอจับที่ใบหน้าฉันและสะอื้นไห้ ฉันรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่งและคิดว่าหรือฉันควรจะทิ้งงานนี้ไปและอยู่กับเธอ แต่แล้วฉันก็รู้ว่าฉันมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เอาล่ะค่ะ ฉันจะรอค่ะ"เด็กดี" ฉันจูบเธออีกครั้งแล้วออกจากวอร์ดถอนใจหายใจลึกๆ ขณะที่ฉันมองออกไปจากรถอาวดี้ เอสาม คาบริโอเล็ต สีแดงของฉัน มองดูทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านไป ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปเช่นกัน ฉันได้ผ่านอะไรมามากมายในชีวิตที่ทำให้ฉันอยากจะลืมมันไปเสียอย่างยิ่ง เพียงแต่ทว่ายังทำไม่ได้เท่านั้นฉันมองไปที่กระจกมองหลังและพบว่
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้และปลดกระดุมเม็ดกลางของชุดสูทอาร์มานี่ ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมยืนขึ้นตามผม ผมพยักหน้าหงึกหงักซึ่งทำให้ทุกคนรู้ว่าผมเห็นด้วยกับข้อตกลง ทุกคนเริ่มจับมือกัน และคุณวิทมอร์วิ่งมาหาผมเพื่อจับมือ“ขอบคุณ ขอบคุณครับท่านบิชอป” เขาร้องไห้อย่างมีความสุขและสั่นศีรษะไปมาผมวางมือบนไหล่เขาครู่หนึ่ง แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับ เบลคผู้ซึ่งเป็นเบต้า และโคล ซึ่งเป็นนักรบของผมเดินตามผมมาเบลคและโคลเป็นเพื่อนของผมในวัยเด็ก เบต้าเป็นผู้มีพลังพิเศษบางอย่าง และโคลเป็นนักสู้ที่ดีที่สุดของผม มีทักษะในด้านพลังในการต่อสู้ที่ดีเยี่ยม พวกเขามักจะมากับผมด้วยในการประชุมทางธุรกิจ แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักผมดีตั้งแต่ยังเด็ก แต่พวกเขาก็ยังมีความกลัวและยังให้ความเคารพต่อผม พลังหมาป่าของผมทำให้พวกเขายำเกรง“ผมไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะตกลงกับดีลนั้นง่ายๆแบบนี้เลย...” เบลคพูดจากด้านหลังผมมองเขาแล้วตอบว่า "ฉันก็เหมือนกัน..."เขาเลิกคิ้วขึ้นแต่ไม่เอ่ยถามอะไรเพิ่มเติมโคลมากับรถแล้ว เราทุกคนก็ขับรถกลับไปที่โรงแรมเพนท์เฮาส์เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะเราต้องกลับไปที่บ้านช่วงก่อนค่ำ หลังจากเปลี่ยนเป็นกางเกงยีนส์เดน