เพียร์ซีเวีย เอสเทล และแม่มดคนอื่นๆ ยังคงตกตะลึง พวกเขาไม่ได้แม้แต่จะขยับตัวไปไหน เพราะพวกเขายังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ซีเรียน่าจ้องไปที่ฟีนิกซ์ และเดินไปหาเธอด้วยความโกรธ ได้ยินเสียงดังเกิดขึ้นและเหล่าหมาป่าก็มองขึ้นไปที่ต้นเสียง พบว่าซีเรียน่ายกมือขึ้นตบหน้าฟีนิกซ์ ฟีนิกซ์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า ไม่มีอารมณ์ใดๆ เธอมีท่าทางที่เหมือนไม่มีความรู้สึกอีกต่อไป น้ำตาไหลออกจากดวงตา เธอยืนอยู่ที่นั่นก้มศีรษะลงขณะที่ซีเรียน่าตบหน้าเธออีกครั้ง“คนทรยศ!” ซีเรียน่ากรีดร้องขณะที่ตบหน้าฟีนิกซ์อีกครั้งด้วยความโกรธ"หยุดได้แล้ว! ซีเรียน่า!” ฮิลดาหนึ่งในแม่มดจับซีเรียน่าไว้ และพยายามดึงเธอออกจากการตบตีฟีนิกซ์อีกครั้ง"หยุดเถอะ!" ฮิลดาร้องไห้ที่เอาหัวพิงไหล่ของซีเรียน่าเพื่อซ่อนน้ำตาของเธอซีเรียน่า สะอื้นไห้และกรีดร้องใส่ฟีนิกซ์ ว่าเป็นคนทรยศและปล่อยให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในทางกลับกัน เบลคเปลี่ยนกลับร่างเป็นมนุษย์แล้วเดินออกไปหาดีแลน เอามือโอบไหล่ไว้โดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หมาป่าเปลี่ยนกลับเป็นร่างมนุษย์ และหมาป่าตัวหนึ่งร้องโหยหวนยกศีรษะขึ้นไปในอากาศ ส่งสัญญาณให้อีกตัวอื่น
สายตาของทุกคนมองไปทางดีแลนและเอเดอริน ซึ่งทั้งสองเหมือนกำลังอยู่ในโลกของพวกเขาเอง เอสเทลส่งเสียงและส่งสัญญาณให้ทุกคนปล่อยพวกเขาไว้ตามลำพัง พวกเขาทั้งหมดพยักหน้าแอมเบอร์เอ่ยขอตัว และบอกคนอื่นๆว่า “มาเถอะ ไปเราพาเพื่อนของเรากลับมากัน!” เธอกล่าว พร้อมกับยกมีดขึ้นมาอย่างมีความสุข พวกหมาป่าก็กระโดดด้วยความดีใจและกระดิกหางวิ่งไปทางที่พวกเขาสูญเสียเพื่อนไป พวกแม่มดหัวเราะและชำเลืองมองไปทางพระราชาและราชินีของพวกเขาก่อนจะแยกออกไปพร้อมกับเบลคที่ยิ้มแย้ม"โอเค! ใจเย็นๆ เจ้าหมาป่า! วางฉันลงได้แล้ว!” เอเดอรินหัวเราะคิกคักและดีแลนก็ส่ายหัวไม่ยอมปล่อย“ดีแลน!” เอเดอรินหัวเราะ เมื่อเขาพยายามจะจูบเธอโดยที่ยังอุ้มเธออยู่ในอ้อมแขน“วางฉันลงเถอะ!” เธอดุดีแลน และบังคับให้เขาวางเธอลง แต่เขาก็ไม่ปล่อยเธอไป เขาดึงเธอเข้าไปกอดและจูบรอยที่คอของเธอซึ่งทำให้เธอหัวเราะคิกคัก“คุณทำผมหัวใจจะวายตาย!” ดีแลนบ่น รู้สึกดีใจที่คนรักของเขากลับมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง"จริงเหรอ?" เอเดอรินถามเขาอย่างสนุกสนาน แต่ดีแลนถอยห่างจากเธอและมองตรงเข้าไปในดวงตา“อย่าทำอย่างนั้นกับฉันอีกนะ ได้โปรดที่รัก!” เขาพูดด้วยอารมณ์ที่ท่วมท
หมาป่าอาวุโสราวกับลอยอยู่บนท้องฟ้า โดยมีเมฆเป็นประกายล้อมรอบตัวพวกเขา และพวกเราทุกคนก็ยืนบนพื้นดินมองขึ้นไป"โค้งคำนับ!" ดีแลนบอกให้ฉันรู้ผ่านกระแสจิต และฉันก็ก้มตัวลงทันทีค้อมคำนับด้วยความเคารพ“ราชินีมนุษย์” ฉันมองขึ้นไปที่หมาป่าตัวกลางเมื่อเขาเรียกฉัน น้ำเสียงที่หนักแน่นของเขาก้องอยู่ในหู แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดก็ตาม“เราอยู่ที่นี่เพื่อเรียกคุณว่าเป็นราชินีแห่งราชอาณาจักร” ผู้อาวุโสฝั่งซ้ายพูดและรู้เพียงว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง“คุณผ่านทุกการทดสอบของการเป็นราชินีที่สมบูรณ์แบบ สงครามไม่ได้ถูกมองข้ามไปจากสายตาของเรา และเรามีความยินดีที่จะบอกว่าคุณคือราชินีที่สมบูรณ์แบบที่อาณาจักรเราต้องการ เราทราบดีถึงชาติกำเนิดของคุณ ความกล้าหาญ และความเมตตาของคุณได้รับความเคารพจากเรา และด้วยเหตุนี้ เราจึงขอมอบบัลลังก์ให้คุณเป็นราชินีตลอดกาล และเป็นราชินีมนุษย์คนแรกของที่แห่งนี้” เขากล่าวและฉันก็โค้งคำนับ แสงออกมาจากหินสีแดงที่หน้าผากของเขาและส่องลงมาที่ฉัน ฉันรู้สึกราวกับว่าฉันถูกโอบล้อมไปด้วยรังไหมรัศมีแห่งพลัง และฉันก็รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นในตัวเอง จนถึงขนาดที่ฉันรู้สึกได้ว่าฉันสามารถยกคนขึ้
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกและอารมณ์ที่พวกเขาไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ จะอย่างไรก็ตามแม้ว่าคุณจะจดจำได้เสมอว่าชีวิตได้ดึงคุณขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่งและโยนคุณลงไปสู่ชีวิตอีกรูปแบบ ฉันหายใจเข้าลึกและคิดทบทวนว่าชีวิตของฉันเปลี่ยนไปมากเพียงนี้ได้อย่างไร น้ำตาหยดไหลออกจากตาเมื่อฉันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อน“ฉันไม่อยากให้คุณไป ได้โปรดอย่าไปเลย ฉันกลัว" ฉันมองเข้าไปในดวงตาของเธอและกอดเธอไว้แนบอก จูบเธอเบาๆที่หน้าผาก ฉันสัญญาว่าฉันจะกลับมาเร็วๆนี้“อย่าร้องไห้เลยนะ พี่ต้องไปทำงานสำคัญ” เธอหยุดร้องไห้และใช้มือเล็กๆของเธอจับที่ใบหน้าฉันและสะอื้นไห้ ฉันรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่งและคิดว่าหรือฉันควรจะทิ้งงานนี้ไปและอยู่กับเธอ แต่แล้วฉันก็รู้ว่าฉันมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เอาล่ะค่ะ ฉันจะรอค่ะ"เด็กดี" ฉันจูบเธออีกครั้งแล้วออกจากวอร์ดถอนใจหายใจลึกๆ ขณะที่ฉันมองออกไปจากรถอาวดี้ เอสาม คาบริโอเล็ต สีแดงของฉัน มองดูทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านไป ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปเช่นกัน ฉันได้ผ่านอะไรมามากมายในชีวิตที่ทำให้ฉันอยากจะลืมมันไปเสียอย่างยิ่ง เพียงแต่ทว่ายังทำไม่ได้เท่านั้นฉันมองไปที่กระจกมองหลังและพบว่
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้และปลดกระดุมเม็ดกลางของชุดสูทอาร์มานี่ ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมยืนขึ้นตามผม ผมพยักหน้าหงึกหงักซึ่งทำให้ทุกคนรู้ว่าผมเห็นด้วยกับข้อตกลง ทุกคนเริ่มจับมือกัน และคุณวิทมอร์วิ่งมาหาผมเพื่อจับมือ“ขอบคุณ ขอบคุณครับท่านบิชอป” เขาร้องไห้อย่างมีความสุขและสั่นศีรษะไปมาผมวางมือบนไหล่เขาครู่หนึ่ง แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับ เบลคผู้ซึ่งเป็นเบต้า และโคล ซึ่งเป็นนักรบของผมเดินตามผมมาเบลคและโคลเป็นเพื่อนของผมในวัยเด็ก เบต้าเป็นผู้มีพลังพิเศษบางอย่าง และโคลเป็นนักสู้ที่ดีที่สุดของผม มีทักษะในด้านพลังในการต่อสู้ที่ดีเยี่ยม พวกเขามักจะมากับผมด้วยในการประชุมทางธุรกิจ แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักผมดีตั้งแต่ยังเด็ก แต่พวกเขาก็ยังมีความกลัวและยังให้ความเคารพต่อผม พลังหมาป่าของผมทำให้พวกเขายำเกรง“ผมไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะตกลงกับดีลนั้นง่ายๆแบบนี้เลย...” เบลคพูดจากด้านหลังผมมองเขาแล้วตอบว่า "ฉันก็เหมือนกัน..."เขาเลิกคิ้วขึ้นแต่ไม่เอ่ยถามอะไรเพิ่มเติมโคลมากับรถแล้ว เราทุกคนก็ขับรถกลับไปที่โรงแรมเพนท์เฮาส์เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะเราต้องกลับไปที่บ้านช่วงก่อนค่ำ หลังจากเปลี่ยนเป็นกางเกงยีนส์เดน
ฉันได้ยินเสียงผู้ชายซึ่งทำให้รู้สึกเสียวซ่านไปถึงกระดูกสันหลังของฉัน พูดสิ “อัลฟ่า แต่เราต้องการเธอ” ฉันได้ยินเสียงผู้ชายอีกคนพูด“ไม่” ชายที่น่าจะชื่ออัลฟ่าตะโกนลั่น"มองดูที่เธอสิ เธอไม่คู่ควรกับฉัน เธอดูน่าเวทนา คนอย่างเธอจะมาเป็นคู่ของฉันได้ยังไง”หา นั่นกำลังชี้มาทางฉันเหรอ? ทำไมฉันจึงรู้สึกเจ็บปวดเมื่อได้ยินเช่นนั้นนะ “อัลฟ่าได้โปรดพยายามเข้าใจหน่อย เท่าที่คุณพยายามจะปฏิเสธ เธอก็เป็นอีกครึ่งของคุณ และเท่าที่คุณต้องการเธอ พวกเราก็ต้องการเธอเช่นกัน”“ก็ได้ เอาเลย ทำสิ่งที่คุณต้องการ จะเก็บเธอไว้ หรือโยนทิ้งไป ฉันไม่สน เพียงแต่ให้แน่ใจว่าคุณเก็บเธอไว้ห่างจากฉัน”ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าซึ่งหมายความว่าผู้ชายที่ชื่ออัลฟ่ากำลังจะจากไปประตูเปิดออกและเสียงฝีเท้าก็หยุดลง“เธอไม่มีความหมายสำหรับฉัน และเมื่อเธอมีสติสัมปชัญญะฟื้นคืนมา ฉันจะปฏิเสธเธอ จะไม่มีการอ้อนวอนใดๆทั้งนั้น และทั้งหมดจะเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของฉัน”เสียงของพวกอัลฟ่าดังขึ้น ไม่เหลือที่ว่างสำหรับคำว่าไม่ ฉันนึกภาพออกเลยว่าคนอื่นๆคงพยักหน้าด้วยความหวาดกลัว“เธอดูอ่อนแรง” เขาพูดและจากไปฉันรู้สึกโกรธและเดือดดาลภายในเมื่
“บอก ชื่อ ของ เธอ มา” เขาเอ่ยเน้นหนักในแต่ละคำ“ก็ได้” ฉันตอบแล้วก้มหน้าไม่พูดอะไร"พูด!" เขาตะคอก เสียงดังลั่นห้องโคลและเบลคดูเคร่งเครียด และมองมาที่ฉันอย่างอ้อนวอน ให้ฉันบอกชื่อของฉันกับเขาไปฉันแกล้งทำท่าสอดนิ้วเข้าไปอุดในหู แล้วเขย่าส่ายหัวอย่างแรง“ว้าวว มีอะไรอยู่ในกางเกงของคุณเหรอ? ไม่ต้องมาตะคอกหรอก” ฉันพูด เขากำหมัดแล้วทุบโต๊ะเสียงดังลั่นฉันได้ยินเสียงแตกหักดังมาจากโต๊ะ โอ้โห เขาทำโต๊ะหักเลยเหรอ? มันจะเป็นไปได้ยังไง?ถึงกระนั้นฉันก็แสดงท่าทางไม่สะทกสะท้านกับเขาและยิ้มให้เขา ทำกระพริบขนตาของฉันขึ้นลงอย่างไร้เดียงสาดูเหมือนเขาจะโกรธมากขึ้น เขากำลังจะเปิดปากพูด แต่ก็หยุดเมื่อฉันขัดจังหวะขึ้นมา“บอกชื่อคุณมาก่อน แล้วฉันจะบอก” ฉันพูดพลางทำเป็นมองที่เล็บมือตัวเองเขาเลิกคิ้วและเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วยกแขนขึ้นกอดอก"ก็ได้! ฉันชื่อ ดีแลน แบลค บิชอป”“เอเดอริน บรูคส์” ฉันตอบเขาพยักหน้าและลุกขึ้นยืน ฉันทำตามเขาและยืนอยู่ต่อหน้าเขา เขาสูงมาก ส่วนสูงของเขาทำให้ฉันกลัว“คุณบรูคส์ ผมรู้ว่าคุณมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของคุณ แต่ฉันเดาว่าพวกเขารคงได้พูดไปแล้วว่าคุณจะต้องอยู่ที่นี่อีกสักพัก
“อาดี้?” เสียงเคาะประตูจากอีกฟากหนึ่งของประตูถาม"คะ?" ฉันตอบพลางนั่งลงบนเตียง“ฉันเองเบลล์ ฉันเข้าไปได้ไหมคะ”"แน่นอน เข้ามาได้เลยค่ะ"ประตูเปิดออกและเธอก็เข้ามายิ้มให้ฉัน"คุณหลับสบายดีไหมคะ?" เธอถามยิ้ม และนั่งลงบนเตียงของฉัน“ดีจ้ะ เตียงนี้นอนสบายมาก และฉันก็เหนื่อยมากด้วย” ฉันหาวและเหยียดแขนขึ้นบิดขี้เกียจ“นี่ก็เก้าโมงเช้าแล้ว และอัลฟ่าก็ขอให้คุณลงมากินข้าว” เธอพูดแล้วฉันก็พยักหน้าฉันลุกขึ้นจากเตียงเปิดกระเป๋าและสวมเสื้อสเวตเตอร์สีดำและกางเกงยีนส์ของฉัน ฉันหยิบชุดชั้นในและกางเกงชั้นในและเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวฉันอาบน้ำและแปรงฟันอย่างรวดเร็ว ถักเปียไว้ด้านข้างและสวมเสื้อผ้า เมื่อออกจากห้องน้ำก็พบว่าเบลล์กำลังถือกรอบรูปของครอบครัวฉันอยู่"คุณกำลังทำอะไรน่ะ?" ฉันถาม เสียงเย็นโดยเธอไม่ทันตั้งตัว“เอ่อ ฉันกำลังคิดจะช่วยเก็บของของคุณ และฉันก็เห็นกรอบรูปนี้ ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ต้องการเข้าไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของคุณเลย” เธอพูดด้วยความเสียใจและเก็บกรอบรูปไว้บนโต๊ะ“ไม่ ไม่เป็นไร” ฉันพูดแล้วเดินไปหาเธอและโบกมือให้เธอช่วยฉันเก็บของ เธอยิ้ม และภายใน 15 นาที เราก็เก็บของทุกอย่าง