LOGINพระตำหนักไป๋เฟิ่ง
ร่างระหงของจางลี่เซียนยังคงนอนเหยียดยาวบนแท่นพระบรรทม โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย เวลาผ่านไปเข้าสู่รุ่งอรุณของเช้าวันใหม่แล้ว คำกล่าวของแม่ทัพจ้าวที่ว่ายานี้จะทำให้ผู้ที่ดื่มเข้าไปฟื้นขึ้นมาภายในสองถึงสี่ชั่วยาม แต่ทว่าจางลี่เซียนหาเป็นเช่นนั้นนางยังคงหมดสติมิมีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย เดือดร้อนถึงลี่อิงสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่คอยเฝ้าคุณหนูของนางอยู่ตลอดเวลา เมื่อไม่เห็นเป็นไปตามคำกล่าวของแม่ทัพจ้าว ลี่อิงจึงดั้นด้นออกจากพระตำหนักไป๋เฟิ่งเพื่อติดตามแม่ทัพจ้าวให้เข้ามาดูอาการคุณหนูของนางอย่างเร่งด่วน
“ทางนี้เจ้าค่ะ! ค่อยๆ เดินตามบ่าวมานะเจ้าคะ มาทางนี้” ลี่อิงเดินนำหน้าร่างสูงใหญ่ของจ้าวเทียนอี้จนทะลุมาถึงด้านหลังของตำหนัก “เจ้าแน่ใจแล้วนะลี่อิงว่าพาข้ามาทางนี้จะไม่มีผู้ใดเห็นแน่นอน” เทียนอี้เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณพระตำหนักอีกครั้ง “ช่วงนี้ทหารยามกำลังเปลี่ยนเวรเจ้าค่ะ ยังไม่เข้ามาประจำจุดเดินไปอีกหน่อยก็จะถึงหลังตำหนักไป๋เฟิ่งแล้ว พระตำหนักด้านในจะมีแต่คนขอถ้อยรับสั่งของฮ่องเต้หนุ่มทำให้จางลี่เซียนหยุดชะงัก ไม่คาดคิดว่าพระองค์จะทรงมีความรู้สึกให้กับนางมากมายถึงเพียงนี้ ทว่าบุรุษเดียวที่อยู่ในหัวใจมิใช่พระองค์แต่กลับเป็นแม่ทัพหนุ่มนัยน์ตาโศกอันแสนเศร้าที่อยู่ในหัวใจของนางตลอดเวลาเท่านั้น “หม่อมฉันมิใช่ผู้หญิงของฝ่าบาทและไม่คู่ควรที่จะอยู่ที่นี่แม้แต่น้อย หากอยู่ที่นี่ต่อไปจะต้องเกิดเรื่องราวมากมายมิรู้จบ ทรงปล่อยหม่อมฉันไปเถิดเพคะ หม่อมฉันขอร้อง” ลี่เซียนกราบทูลอ้อนวอน “ไม่! ไม่มีวัน! เจ้าจะต้องอยู่ข้างกายข้า! อยู่กับข้าตลอดไป! เจ้าคือฮองเฮาตัวจริงของข้ามาโดยตลอดและไม่เคยเปลี่ยนไปจากความคิดของข้าแม้แต่น้อย เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่กับข้าเท่านั้น!” รับสั่งสุรเสียงเฉียบขาด “แต่หม่อมฉันไม่อยากอยู่ที่นี่! ทรงได้ยินไหมว่าหม่อมฉันไม่อยากอยู่ที่นี่! ทรงทอดพระเนตรหม่อมฉันสิเพคะ ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ที่นี่ช่างโหดร้ายยิ่งนัก แฝงเร้นไปด้วยสายตาที่ปองร้าย เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ตระกูลจางเกือบสิ้นชื่อทั้งสกุลและหม่อมฉันก็เกือบถูกประหาร แต่ถึงกระนั้นก็โดนทรมานจนเกือบตาย ทรงทอดพระเนตรและล่วงรู้ว่าเป็นยังไง อย่าให้หม่
เจ็ดวันผ่านไปพระตำหนักจินเฟิ่ง (ตำหนักฮองเฮา) พระวรกายเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยความอวบอิ่มของฮองเฮาสาว ขณะที่กำลังสรงน้ำอยู่ภายในสระของพระตำหนักอย่างเพลิดเพลิน พระนางได้รับบทรักอันร้อนแรงจนสำลักความสุขอย่างล้นเหลือครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วนจากพระสวามีตลอดระยะเวลาเจ็ดวันที่ทรงประทับอยู่ในพระตำหนักกับพระนาง ทรงพระเกษมสำราญและมีพระอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เสวียนจงฮ่องเต้ประทับอยู่ด้วย รุ่งเช้าพระสวามีออกว่าราชการ แต่ครั้นเสร็จจากการว่าราชการแล้ว พระองค์เสด็จกลับพระตำหนักจินเฟิ่งเพื่อประทับอยู่กับฮองเฮาโดยไม่เสด็จไปประทับที่ตำหนักของพระสนมคนไหนเลย ทำให้ข้าราชบริพารฝ่ายในตลอดจนพระสนมในระดับต่างๆ พากันแปลกใจกันถ้วนหน้าว่าจู่ๆ เว่ยฮองเฮากลับมาเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ได้อย่างไรในเมื่อแม้แต่พระพักตร์ของพระนางองค์ฮ่องเต้ก็ไม่เคยแม้แต่จะอยากทอดพระเนตร เสียงหัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุขดังแว่วออกมาจากพระตำหนักของฮองเฮาสาวอยู่ตลอดเวลา เมื่อนางกำนัลประจำพระองค์เอ่ยกราบทูลบางสิ่งบางอย่างจนทำให้เป็นที่พอพระทัย
พระตำหนักไป๋เฟิ่ง ร่างอรชรอ้อนแอ้นกำลังนอนคว่ำหน้าเผยให้เห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าขาวนวลเนียนเป็นยองใยไร้สิ้นไฝฝ้าราคีคาว หรือแม้กระทั่งรอยแผลเป็นจากการถูกแส้เฆี่ยนตีจนเป็นรอยแผลแตกยับไปทั่วทั้งแผ่นหลังและด้านหน้า ด้วยผลของรากทารกสวรรค์ที่ได้ดื่มเข้าไปถึงสองครั้งสองคราในเวลาไล่เลี่ยกัน ประกอบกับนำยานั้นมาบดจนละเอียดพร้อมกับน้ำผึ้งทำให้แผลสมานเข้าหากันอย่างรวดเร็วและเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างน่าอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก ท่ามกลางการดูแลเอาใจใส่ของลี่อิงพี่เลี้ยงของนางที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิดไม่เคยห่างไปไหนแม้แต่น้อย “คุณหนูของบ่าว ตอนนี้แผลหายไปหมดเลยเจ้าค่ะ ไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลือให้เห็นอีกเลย ยาของท่านแม่ทัพจ้าวช่างดีจริงๆ ราวกับว่าเป็นยาเทวดาเลยเจ้าค่ะคุณหนู” ลี่อิงกล่าวพร้อมใช้มือของนางลูบไล้แผ่นหลังเปลือยเปล่านวลเนียนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งยวด “ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า รากทารกสวรรค์ของท่านพี่จะมีสรรพคุณมากกว่าที่เคยได้ยินมาเสียอีก และก็เพิ่งจะล่วงรู้ว่าตัวข้าดื่มยานี้ไปถึงสองครั้งแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงก็ไม่ร
พระตำหนักไป๋เฟิ่ง ร่างระหงของจางลี่เซียนยังคงนอนเหยียดยาวบนแท่นพระบรรทม โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย เวลาผ่านไปเข้าสู่รุ่งอรุณของเช้าวันใหม่แล้ว คำกล่าวของแม่ทัพจ้าวที่ว่ายานี้จะทำให้ผู้ที่ดื่มเข้าไปฟื้นขึ้นมาภายในสองถึงสี่ชั่วยาม แต่ทว่าจางลี่เซียนหาเป็นเช่นนั้นนางยังคงหมดสติมิมีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย เดือดร้อนถึงลี่อิงสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่คอยเฝ้าคุณหนูของนางอยู่ตลอดเวลา เมื่อไม่เห็นเป็นไปตามคำกล่าวของแม่ทัพจ้าว ลี่อิงจึงดั้นด้นออกจากพระตำหนักไป๋เฟิ่งเพื่อติดตามแม่ทัพจ้าวให้เข้ามาดูอาการคุณหนูของนางอย่างเร่งด่วน “ทางนี้เจ้าค่ะ! ค่อยๆ เดินตามบ่าวมานะเจ้าคะ มาทางนี้” ลี่อิงเดินนำหน้าร่างสูงใหญ่ของจ้าวเทียนอี้จนทะลุมาถึงด้านหลังของตำหนัก “เจ้าแน่ใจแล้วนะลี่อิงว่าพาข้ามาทางนี้จะไม่มีผู้ใดเห็นแน่นอน” เทียนอี้เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณพระตำหนักอีกครั้ง “ช่วงนี้ทหารยามกำลังเปลี่ยนเวรเจ้าค่ะ ยังไม่เข้ามาประจำจุดเดินไปอีกหน่อยก็จะถึงหลังตำหนักไป๋เฟิ่งแล้ว พระตำหนักด้านในจะมีแต่คนขอ
พระตำหนักจินเฟิ่ง (ตำหนักฮองเฮา) เหยือกเหล้าซึ่งมีน้ำสีอำพันรสชาติเลอเลิศบรรจุอยู่ภายใน ถูกนำมาตั้งลงบนโต๊ะเสวยตรงหน้าพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้พร้อมแก้วสุราสำหรับเว่ยฮองเฮาจำนวนสองใบ นางกำนัลส่วนพระองค์ยวี่เยี่ยนค่อยๆ วางลงตรงหน้าพระพักตร์ทั้งสองพระองค์อย่างระมัดระวัง พร้อมสบสายตากับพระเนตรของเว่ยฮองเฮาส่งสัญญาณเป็นที่ล่วงรู้ว่าแผนการทุกอย่างจัดเตรียมเอาไว้หมดแล้ว “ฝ่าบาทเสวยน้ำจัณฑ์ก่อนนะเพคะ นี่เป็นเหล้าชั้นเลิศที่ข้าเป็นผู้ลงมือหมักด้วยตัวเอง และฝังเอาไว้ใต้ดินบ่มมานานนับสิบปี รสชาติยอดเยี่ยมมากอยากให้ฝ่าบาทได้เสวยลิ้มลองชิมรสชาติของกุ้ยเหนียงและติชมเพื่อนำไปปรับปรุงรสชาติให้ดียิ่งขึ้นบ้างเพคะ” เว่ยฮองเฮารับสั่งเสียเหยียดยาวท่ามกลางสายพระเนตรของเสวียนจงฮ่องเต้กำลังทอดพระเนตรน้ำจัณฑ์ที่ถูกเทลงมาในแก้วเสวยจนเต็ม “ครั้งสุดท้ายข้าจำได้ว่า ในงานเลี้ยงรับรองเหล่าทูตต่างเมืองที่นำเครื่องบรรณาการมาให้ต้าถัง เจ้าบอกกับข้าว่าได้หมักเราด้วยฝีมือของตัวเองแล้วอยากให้ข้าได้ลิ้มลอง คงจะเป็นเหล้าชนิดเดียวกันใช่ไหม” เว่ยฮองเฮาก้มพระพ
เสวียนจงฮ่องเต้ทรงกระชากบันทึกที่ทำด้วยแผ่นไม้ไผ่ในสมัยโบราณจากพระหัตถ์ของเว่ยฮองเฮาพร้อมปล่อยพระนางให้เป็นอิสระ พระหัตถ์รีบแก้เชือกที่ร้อยรัดมัดบันทึกโบราณดังกล่าวอย่างรีบเร่งเพื่อทอดพระเนตรข้อความภายในที่เขียนลงแผ่นไม้ไผ่นั้น ก่อนจะเงยพระพักตร์พร้อมหันกลับมาทอดพระเนตรฮองเฮาสาวทันที “บันทึกขององค์โจผีบอกว่ามีถึงห้าสกุลที่สงสัยว่าจะเป็นผู้ครอบ ครองคัมภีร์อมตะ แล้วสกุลเว่ยของเจ้าก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้นด้วย!” รับสั่งถามเค้นเอาความจริง “หากสกุลเว่ยเป็นผู้ครอบครองคัมภีร์อมตะนั่นจริงก็ดีสิเพคะ ตรง กันข้ามท่านพ่อของหม่อมฉันพยายามค้นหามาโดยตลอดเช่นกันเพื่อหวังครอบครองคัมภีร์นี้ด้วยสิทธิ์อันชอบธรรมเมื่อครั้งอดีตกาลสกุลเว่ยของหม่อมฉันก็เคยปกครองแผ่นดินนี้เช่นกัน มิได้มีเพียงสกุลหลี่ของฝ่าบาทเสียที่ไหน ห้าสกุลในบันทึกคือสกุลหลี่ สกุลหยาง สกุลพาน สกุลโจวและสกุลจ้าวด้วยนะเพคะ” ถังเสวียนจงฮ่องเต้ยกบันทึกที่ทำจากแผ่นไม้ไผ่ขึ้นทอดพระเนตรซึ่งเขียนด้วยภาษาจีนเก่า ทำให้พระองค์ยากต่อการอ่านและแปลออกได้หมดถ้อยกระบวนความ พระวรกายประทับลงบนพระเก้าอี้ตามเดิมพ







