“ย่าจ๋า เอาข้าวไปให้พ่อกับแม่กันเถอะ“ ปากเล็ก ๆ ของเด็กน้อยในห่อผ้าขมุบขมิบ
“ย่าเข้าใจแล้วลูก” เมิ่งหลิงที่ยังคงคิดไม่ตกกับสิ่งที่เพิ่งเจอตอบรับหลานสาวเสียงแผ่ว
เจ้านาย ผมรู้สึกว่าย่าดูอารมณ์ไม่ดีนะ
อืม ฉันเองก็รู้ แต่เรื่องนี้คงต้องปล่อยให้เธอค่อย ๆ คิด
ผมอยากสั่งสอนหัวหน้าหมู่บ้านคนนั้นเหลือเกิน เป๋าเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
นายมีวิธี หรูฟู่ซิงรู้สึกสนใจขึ้นครามครัน
ผมจะส่งคลื่นเข้าไปในสมองของเขา และทำให้เขาฝันร้ายดีไหม
ดี แต่ฉันคิดว่านายควรเล่นงานหัวหน้าหมู่บ้าน และสองแม่ลูกมหาภัยนั่นด้วย หรูฟู่ซิงไม่อยากพลาดจึงได้เสนอออกมาแบบนี้
ไม่ต้องรอให้เจ้านายบอก ผมก็ต้องการทำอย่างนั้นอยู่แล้ว หึหึ! เสียงหัวเราะของเป๋าเอ๋อร์ทำให้หรูฟู่ซิงรู้สึกขนลุกอย่างไรชอบกล
ในระหว่างที่นางเมิ่งกำลังเตรียมอาหารให้ลูกชายลูกสะใภ้ เจ้าตัวก็ไม่ลืมหลานสาวหลานชาย
“เสี่ยวเฉินหิวไหมลูก อ้ายอ้ายล่ะหิวหรือเปล่า”
“หิว/แอ๊” สองพี่น้องตอบออกมาพร้อมกัน
ดังนั้นนางเมิ่งจึงได้เดินไปต้มน้ำเพื่อชงนมให้หลานสาวก่อน และในขณะรอน้ำเดือดหล่อนก็มาทำแผ่นแป้งทอดให้หลานชาย
‘ย่าไม่หุงข้าวเหรอคะ’ หรูฟู่ซิงที่ได้ยินว่าพี่ชายกินแป้งทอดกับผักป่าเธอจึงได้ถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ย่าก็อยากหุงข้าวหรอกลูก แต่ข้าวราคาแพงอีกทั้งหากเรากินกันบ่อย ๆ คนในหมู่บ้านจะคิดว่าพวกเรามีเงิน”
คำตอบของหญิงวัยกลางคนทำให้หรูฟู่ซิงเข้าใจได้ในทันทีเพราะข้าวเป็นของควบคุมเนื่องจากหากจะซื้อไม่เพียงแต่มีเงินจะต้องมีคูปองด้วย
‘ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรหุงกินกันตอนเย็นดีไหมคะ ไม่อย่างนั้นข้าวที่หนูเอาออกมาน่าเสียดายแย่’ เจ้าตัวเล็กลองเสนอออกไปก่อนที่เธอจะส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
“ได้สิลูก หนูเป็นอะไรฉี่หรือว่าปวดหนัก” เมิ่งหลิงตอบพลางเดินเข้ามาหาคนตัวเล็กในห่อผ้าและเมื่อเห็นว่าสีหน้าของหลานสาวบัดเดี๋ยวดำบัดเดี๋ยวแดงหล่อนก็เข้าใจ
“ถ่ายให้สุดนะลูก เดี๋ยวย่าจะเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าให้” นางเมิ่งพูดขึ้นอย่างเอ็นดูซึ่งผิดกับคนฟังที่เธออยากจะเอาหน้ามุดดินให้รู้แล้วรู้รอด
เป๋าเอ๋อร์เมื่อไหร่ฉันจะโต อย่างน้อยให้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ก็ยังดี
ตามธรรมชาติของเด็กทารกกว่าเจ้านายจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ผมว่าอย่างน้อยก็น่าจะสิบแปดถึงยี่สิบสี่เดือนแต่ทว่าเจ้านายค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่นรออีกหน่อยเถอะนะครับ
ไม่ใช่ว่าหรูฟู่ซิงจะไม่เข้าใจ เพียงแต่หล่อนแค่อยากไปทำธุระส่วนตัวด้วยตนเองก็เท่านั้น
เจ้านาย ผมมีเรื่องจะบอกคุณอีกเรื่องละ นอกจากเรื่องบ้านที่อยู่ตอนนี้แล้วก็มีเรื่องห้องสุขานี่แหละ
ห้องน้ำทำไมเหรอ เด็กหญิงถามขึ้นหลังจากเธอได้ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่
ในหมู่บ้านแห่งนี้ต้องไปใช้ห้องสุขารวมกลางหมู่บ้านครับ อีกทั้งน้ำยังต้องหาบเอาจากแม่น้ำด้วย ดังนั้นผู้คนจึงไม่ค่อยนิยมอาบน้ำ โชคดีที่ว่าหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ทางเหนือไม่เช่นนั้นเห็นทีว่าเจ้านายคงจะได้กลิ่นแปลก ๆ ไปนานแล้ว
คำกล่าวของระบบทำให้หรูฟู่ชิงไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ “แง ๆ (เอาชีวิตเก่าของฉันคืนมา)” เธอระบายออกมาอย่างอัดอั้น
“น้องสาว! อย่าร้องนะ! ย่า!” ถ้อยคำไม่ประติดประต่อของหลานชายทำให้เมิ่งหลิงที่กำลังตากผ้าของหลานสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาดู
“อ้ายอ้าย เป็นอะไร หลานร้องไห้ทำไม” หญิงวัยกลางคนพูดไปพลางยกห่อผ้าที่เปลี่ยนใหม่ให้หลานขึ้นมาอุ้ม
หรูฟู่ซิงรู้สึกผิดยามเมื่อมองเห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของคนที่อุ้มตนโยกไปมา
‘ย่าจ๋า หนูขอโทษ หนูจะไม่ร้องไห้โดยไร้เหตุผลแบบนี้อีกแล้ว’ คำพูดเจือเสียงสะอื้นของเธอกอปรกับจมูกแดง ๆ ทำให้เมิ่งหลิงรู้สึกสงสารจับใจ
“ไม่ต้องขอโทษ แค่หลานไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนจนทำให้เด็กหญิงอดจะน้ำตาซึมออกมาไม่ได้
‘ย่าจ๋า หนูรักย่าที่สุดเลย’ เจ้าตัวจู่ ๆ ก็เอ่ยคำหวานนี้ออกมา เมิ่งหลิงที่ถูกบอกรักอย่างไม่ทันตั้งตัวพลันหัวใจอุ่นวาบขึ้นในอก
“เด็กดีของย่า ย่าก็รักหนูนะลูก รักเสี่ยวเฉินด้วย”
เจ้าของชื่อยิ้มจนตาหยีแม้จะยังไม่เข้าใจคำนี้ก็ตามแต่เมื่อเจ้าตัวเห็นว่าย่ามีความสุขน้องน้อยมีความสุขเจ้าตัวก็มีความสุข ความคิดของเด็กมักเรียบง่ายไม่ซับซ้อน
บริเวณคอกเลี้ยงสัตว์กลิ่นค่อนข้างแรงแต่ก็นับว่าน้อยมากหากเทียบกับที่อื่นทั้งนี้เพราะการเอาใจใส่อย่างดีของหรูจื่อและจ้าวเหยา
“พวกเธอมากินข้าวกันก่อนเถอะ” นางเมิ่งเอ่ยเรียกลูกชายลูกสะใภ้โดยมีเจ้าตัวเล็กอ้ายอ้ายอยู่ในอ้อมแขน
“แม่! ทำไมไม่ให้เด็ก ๆ อยู่บ้านกันล่ะครับ ที่นี่กลิ่นแรงอีกทั้งยังสกปรก” หยูจื่อเดินโขยกเขยกมาทางมารดาเอ่ย
“แม่ไม่วางใจ” คำตอบของหล่อนทำให้ทั้งบุตรชายและลูกสะใภ้เกิดความสงสัย
“มีอะไรหรือครับ เกิดอะไรขึ้น” หรูจื่อรีบถาม
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้” เมิ่งหลิงจึงได้เล่าเรื่องของเช้าวันนี้ออกมาตามตรง
“พวกเราควรทำยังไงดีคะ” จ้าวเหยาเกิดความหวาดวิตก เธอรู้ดีว่าคนในหมู่บ้านแห่งนี้ปฏิบัติต่อครอบครัวตนเช่นไร
“มันคงไม่กล้าแล้วละ อีกอย่างพวกเราก็แค่ต้องระวังตัวเอาไว้ให้มาก แม่จะบอกความลับอีกอย่างหนึ่งให้พวกลูกรู้” นางเมิ่งแลซ้ายแลขวาแม้ว่าคอกสัตว์แห่งนี้จะมีแต่พวกเธอก็ตาม
“จริงหรือครับ ถ้าเป็นอย่างที่อ้ายอ้ายบอกก็เยี่ยมเลย ภรรยาคุณมีทางจะตามหาครอบครัวแล้ว” หรูจื่อพูดขึ้นด้วยความดีใจก่อนจะนำมือของหญิงสาวข้างกายมาจับ
“เรื่องครอบครัวของฉันยังจะมีความหวังอยู่อีกหรือคะ หากว่าบัตรประจำตัวของฉันไม่ถูกซ่อนเอาไว้ป่านนี้ฉันก็คงไม่รู้ว่าตัวเองแซ่อะไร” หญิงสาวระบายลมหายใจออกมากล่าวเสียงหม่น
เป๋าเอ๋อร์ ทำไมแม่ของฉันถึงจำอะไรไม่ได้ นายรู้ไหม
ผมคิดว่าน่าจะเป็นผลทางจิตใจ โรคนี้คงต้องอาศัยเวลาครับ แต่เรื่องการตามหาครอบครัวของแม่ผมมีทางช่วยได้นะ เพียงแต่ตอนนี้พวกเรายังทำอะไรได้ไม่สะดวก
ฉันรู้ ไม่เป็นไร ระหว่างนี้พวกเราก็ช่วยกันหาของล้ำค่ามาแลกเพื่อรวบรวมเงินทองเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน เวลาหกปีจะนับว่าช้าก็ไม่เชิงเร็วก็ไม่ใช่ ดังนั้นต้องรีบเตรียมพร้อมเอาไว้ดีที่สุด
ผมฟังเจ้านาย เป๋าเอ๋อร์เงียบเสียงไปชั่วครู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดคลื่นสัมผัสอย่างไม่คาดหวังแต่แล้ว…
เจ้านาย!! น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นจนทำให้อ้ายอ้ายที่กำลังตาปรือพลันตกใจ
“แอ๊! (อะไร)”
“ลูกสาวแม่เป็นอะไรหรือจ๊ะ” จ้าวเหยามองใบหน้ากลมขาวราวกับซาลาเปาของเด็กหญิงถามขึ้นเสียงหวาน
“แอ๊ แอ๊ (ไม่เป็นอะไรค่ะ)” เสี่ยวเฉินที่ได้ยินจึงได้บอกแม่ของตนตามนี้
ส่วนระบบหลังรู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป เจ้าตัวก็เอ่ยเสียงอ่อย เจ้านาย ผมไม่ได้ตั้งใจเพียงแต่ผมไม่คิดว่าจะพบของล้ำค่าที่นี่
ห๊ะ! นายว่าอะไรนะ คอกหมู คอกวัวจะมีอะไรล้ำค่าได้ หรือว่านายต้องการมูลของมันเพราะฉันเคยได้ยินมาว่ามูลสัตว์ในยุคนี้ล้ำค่ามากเลยนะ นำไปขายได้ด้วย หากว่าไม่มีคนกลัวถูกจับฉันคิดว่ามูลพวกนี้คงไม่เหลือทำเป็นปุ๋ย
หรูฟู่ซิงพูดไปเรื่อยโดยที่ไม่มีช่องว่างให้เป๋าเอ๋อร์แทรกได้เลย เจ้านายหยุดก่อน ที่ผมพูดไม่ใช่มูลพวกนี้แต่เป็นชามต่างหาก
ชาม! ชามอะไร หล่อนทวนสีหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
คล้อยหลังจากรถยนต์คันหรูจากไป เมิ่งหลิงก็หันมาหาคนที่ไปบอกพวกตนที่บ้านว่าหรูจื่อไปทำให้คนขุ่นเคืองทันที“สหายคนนั้นหยุดเดี๋ยวนี้” เสียงของเมิ่งหลิงตะโกนอย่างดุดันชายร่างผอมสวมเสื้อผ้าหยาบเหมือนกับชาวบ้านทั่วไปสะดุ้งจนตัวโยน“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” เขาแย้งอย่างร้อนตัว“ไม่ผิด! คุณไปบอกพวกเราว่าหรูจื่อถูกจับเพราะไปทำให้คนใหญ่คนโตขุ่นเคืองเขาถึงได้ตามมาเอาเรื่องไม่ใช่เหรอ อย่างนี้จะเรียกว่าไม่ผิดได้ยังไง” เมิ่งหลิงไม่ปล่อยผ่าน“หวังเค่อ คุณไปพูดอย่างนั้นได้ยังไงครับ การที่คุณทำให้คนอื่นเสียหายเช่นนี้ ห็นทีว่าผมคงจะต้องส่งคุณไปให้ผู้กำกับสวีปรับทัศนคติ” คำพูดของเจิ้งฟู่ฉีทำให้เข่าของเจ้าของชื่อพลันอ่อนยวบ“หัวหน้าหน่วยเจิ้ง ผมอาสาไปส่งเขาเอง” ฉางซูเหิงกล่าวออกมาเสียงดังโดยมีซ่งเจียหาวพยักหน้าสนับสนุน“ผมไม่ไป ผมขอโทษ ปล่อยผมไปเถอะ ต่อไปนี้ผมรับรองว่าจะไม่พูดจาเหลวไหลแบบนี้อีกแล้ว” ชายคนนั้นเอ่ยขอร้องทั้งน้ำตา หว่างขาของเขามีน้ำไม่พึงประสงค์ไหลออกมาจนเปียกชุ่ม“เหม็นชะมัด! พวกเราแยกย้าย” ชาวบ้านจำนวนมากที่หวังชมเรื่องสนุกพากันถ
นายทหารคนนี้พาชายหนุ่มทั้งคู่เดินมายังห้องทำงานของเจ้าของบ้านที่กำลังมีใบหน้าเคร่งเครียดเสียงเคาะประตูดังขึ้นในขณะที่เขากำลังลูบแหวนหยกที่สวมติดนิ้วโป้งข้างขวาในยามมีเรื่องไม่สบายใจ“เข้ามา” น้ำเสียงดุดันดังขึ้นก่อนประตูจะเปิดออกจากคนด้านนอก“สหายเจียง คุณมาแล้ว” เจ้าของห้องลุกขึ้นยืนอย่างมีความหวังเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร“สวัสดีครับท่าน” เจียงหย่งเฉียงถอดหมวกค้อมเอวลงกล่าวทักทายอย่างสุภาพ“ไม่ต้องมากพิธี ว่าแต่นี่ใครอย่างนั้นเหรอ” ชายวัยกลางคนที่อยู่ในห้องเดินเข้ามาหาเขาอย่างสนิทสนมพร้อมกับส่งสายตาเป็นสัญญาณให้นายทหารคนนั้นออกไปเสียงประตูปิดลง เจียงหย่งเฉียงจึงได้แนะนำหรูจื่อออกมาด้วยรอยยิ้ม “น้องชายของผมเองครับ” น้ำเสียงของเขาฉายแววภาคภูมิใจอยู่ในที“น้องชาย! ใช่คนที่สหายเล่าให้ฟังเมื่อครั้งก่อนหรือเปล่า อืมดูหน่วยก้านไม่เลวแต่ว่าทำไมถึง” คำพูดของเขาหยุดลงเมื่อสังเกตเห็นการเดินของหรูจื่อ“สวัสดีครับ ผมหรูจื่อและนี่ลูกสาวของผมอ้ายอ้าย” หรูจื่อหาได้รู้สึกถึงปมด้อยของตนถอดหมวกค้อมเอวลงทักทายเขาและแนะนำเจ้าตัวเล็กในกระเป๋
เสียงหวูดรถไฟดังกังวานไปทั่วสถานีเพื่อเตือนผู้คนให้เตรียมตัว “รถไฟมาแล้ว” เจียงหย่งเฉียงพูดขึ้นพลางกระชับกระเป๋าถือทำจากหนังสีน้ำตาลอ่อนในมือและเมื่อขบวนรถไฟสีเขียวเข้มที่มีเส้นคาดสีเหลืองจอดนิ่งอยู่บนราง ผู้โดยสารที่สวมเสื้อผ้าล้วนแล้วแต่เป็นสีเข้มแบบเรียบง่าย หรือไม่ก็เป็นชุดทหารตามความนิยมก็เริ่มทยอยกันเดินออกจากตู้ด้วยท่าทางไม่รีบไม่ร้อนเจ้าตัวเล็กในกระเป๋าเป้สะพายด้านหน้าของคนเป็นพ่อมองผู้คนในยุคนี้ที่หลายคนแบกกระสอบผ้าป่านขึ้นบ่าหรือไม่บางคนก็ถือกล่องไม้มัดด้วยเชือกป่านอย่างสนใจจนกระทั่งเธอได้เข้ามาด้านในขบวนรถไฟ ดวงตาของเด็กหญิงก็ไม่วายมองสำรวจทางนั้นทีทางนี้ทีด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกคำรบตัวม้านั่งโดยสารเป็นไม้แข็งเรียงกันสองฝั่ง บางส่วนมีเบาะหนังแบบเก่าซึ่งเริ่มลอกออกเนื่องจากผ่านการใช้งานหนักมาอย่างยาวนานพื้นที่ตรงกลางทางเดินค่อนข้างคับแคบจากการที่มีสิ่งของรวมถึงสัมภาระล้นออกจากการถูกวางกองไว้ใต้ที่นั่งหรือบนชั้นวางเหล็กเหนือหัว จึงทำให้ทุกสิ่งดูระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ เสียงพูดคุยของผู้คนที่มาอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมากดังจอแจแล
เป๋าเอ๋อร์ นายช่วยดูหน่อยสิว่าพ่ออยู่ที่ไหน ทำไมเย็นป่านนี้แล้วเขาถึงยังไม่กลับมาอีก เจ้าตัวเล็กที่กำลังชะเง้อคอยาวคล้ายยีราฟเข้าไปทุกทีอดเป็นกังวลไม่ได้จึงได้สื่อสารกับระบบคู่หูอย่างกังวลได้เลยครับ สิ้นคำของระบบเจ้าตัวพลันรับรู้ได้ทันทีว่าบิดาของเจ้านายอยู่ตรงไหนและกำลังทำอะไร‘พ่อ! คุณกำลังทำอะไรอยู่ครับ ทำไมถึงยังไม่กลับบ้านอีก’ หรูจื่อค่อนข้างตกใจในเสียงที่ได้ยิน‘ท่านเทพเหรอ พอดีว่าผมกำลังดูเจ้าพืชต้นนี้อยู่เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนว่ามันคืออะไร แต่สหายจิงบอกว่ามันคือโสม แต่หล่อนก็ไม่มั่นใจพวกเราจึงได้แต่รั้ง ๆ รอ ๆ ว่าจะเอายังไงดี’‘มันคือโสมและอายุของมันไม่น้อยกว่าห้าสิบปีดังนั้นพ่อสามารถขุดมันขึ้นมาได้เลย แต่จะต้องระวังรากของมันหน่อยหากว่ารากมีความสมบูรณ์มากราคาเองก็จะดีตามมาด้วยเช่นกัน’เมื่อหรูจื่อได้ยินคำพูดยืนยันเช่นนี้ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่รอช้าเขาจึงนั่งยองและใช้มีดสั้นที่เหน็บเอวเอาไว้เริ่มทำการขุดดิน รอบ ๆ ต้นพืชชนิดนี้อย่างระมัดระวัง“พี่ชาย คุณทำอะไร” ฉางซูเหิงถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้“สหายจ
“เงินนี่มันจะไม่มากเกินไปหรือครับ” หรูจื่อมองธนบัตรที่วางเป็นปึก ๆ ตรงหน้าถามออกมาด้วยความกังวล“ไม่มากหรอก น้องหรูรับไปเถอะอย่าได้เกรงใจ แต่ผมขอแนะนำให้สหายนำเงินไปฝากกับธนาคารของรัฐจะดีกว่าเงินมากแบบนี้พกไปไหนมาไหนด้วยย่อมไม่ปลอดภัย เอาอย่างนี้ก็แล้วกันผมจะให้เจียงเทาพาไป” เถากวางโถวพูดเองเออเองเสร็จสรรพ“ถ้าอย่างนั้น ผมต้องขอรบกวนท่านแล้ว” หรูจื่อเองก็เห็นด้วยแม้ว่าท่านเทพจะสามารถช่วยรักษาเงินจำนวนนี้เอาไว้ได้ก็จริง แต่ว่าต่อหน้าคนที่ไม่รู้การที่เขาจะรับน้ำใจแบบนี้ไว้ย่อมไม่เสียหายในขณะที่ผู้ใหญ่กำลังเจรจา เจ้าตัวเล็กอ้ายอ้ายที่ถูกคุณนายของบ้านอุ้มออกมายังอีกห้อง ในตอนนี้เธอกำลังกลายเป็นตุ๊กตาตัวน้อยโดยการที่คุณนายกับลูกสาวจับแต่งตัวกำลังอ้าปากหาวด้วยความเบื่อหน่าย“แม่คะ เจ้าตัวเล็กคงจะง่วง” เถาเหลียนฮวาพูดขึ้นหลังจากเธอได้รับการตรวจร่างกายและมาเล่นกับเด็กหญิง“นั่นสิ จะว่าไปเด็กคนนี้ไม่งอแงเหมือนเด็กคนอื่นเลยน่ารักเลี้ยงง่ายและบางครั้งก็ดูเหมือนว่าจะฟังพวกเรารู้เรื่องด้วย” หลินหงพูดขึ้นพลางอุ้มเจ้าตัวน้อยมากล่อมนอนหรูจื่อที่เดินตามเจ้
“หากคุณได้รับยาต่อเนื่องอาการคงไม่ร้ายแรงเท่านี้ แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่ไม่สายจนเกินไป” หมอผู้อยู่ในชุดกราวน์สีขาวสวมหน้ากากอนามัยพูดขึ้นต้วนฉีเหวินไม่ได้ถูกจัดให้นอนในโรงพยาบาลเนื่องจากเตียงผู้ป่วยไม่เพียงพอ ดังนั้นหลังจากรับยาเขาจึงต้องกลับมาพักที่บ้านซึ่งเรื่องนี้ย่อมนำพาความยินดีมาให้สองสามีภรรยาไม่น้อยเป๋าเอ๋อร์ นายไม่มียารักษาเหรอ เจ้าตัวเล็กหรูฟู่ซิงถามขึ้นในระหว่างที่พวกเธอกำลังนั่งรถลากกลับบ้านต้วนมีครับ แต่ที่ให้เขามาหาหมอก็เพื่อที่ผมจะได้นำยาออกมาใส่ให้เขากินได้สะดวก เป็นยังไงความคิดของผมฉลาดมากเลยใช่ไหมล่ะ หากเจ้าตัวมีหางหรูฟู่ซิงคาดว่าหล่อนคงจะได้เห็นหางเล็ก ๆ ของเขากระดิกไปมานายยอดเยี่ยมที่สุดในสามโลกเลยสหาย หรูฟู่ซิงไม่ทำให้เขาผิดหวังเธอกล่าวชมออกมาอย่างจริงใจเสียงหัวเราะอันเบิกบานของคนตัวเล็กทำให้นางเมิ่งกับหรูเฉินพลันเกิดความรู้สึกอารมณ์ดีตามรถลากทั้งสามคันกำลังเลี้ยวเข้าไปทางตรอกในทิศใต้ โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าได้มีคนจับตามองด้วยแววตาวาววับ “รีบไปบอกหัวหน้า” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นคล้อยหล