บทที่ 3 ทำไมต้องกลัว
ระหว่างทางจิ้นหยางก็ได้ถามเจียวซิ่งเกี่ยวกับใต้เท้ามู่ว่าเหตุใดต้องเกรงกลัวด้วย เจียวซิ่งก็ได้เล่าให้ฟังว่าท่านป้านั้นได้ไปหยิบยืมเมล็ดพันธุ์ข้าวมาปลูกแต่ทว่าไม่มีความรู้แล้วแห้งแล้ง ทำให้ไม่มีผลผลิตและไม่มีข้าวไปคืนท่านใต้เท้าทำให้เขาคิดเป็นจำนวนพร้อมดอกเบี้ยที่มากมายมหาศาล ใต้เท้าเป็นคนมักโลภหากผู้ใดได้ดีก็มักจะกลั่นแกล้ง แต่หากว่าผู้ใดแบ่งผลผลิตให้ก็จะปล่อยผ่าน เป็นอยู่อย่างนี้มาเนิ่นนานทำให้ใต้เท้าผู้นี้ร่ำรวยขึ้นทุกวัน เมื่อจิ้นหยางได้ฟังก็กำหมัดแน่นเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากรีดเลือดกับปู
“เหอะ เป็นคนเห็นแก่ตัวแก่ได้จริง ๆ ตอนนี้ดูท่าฝนจะตกแล้ว ฉันจะต้องทำทุกอย่างเพื่อหาทางใช้หนี้ใต้เท้ามู่ผู้นี้ให้ได้ ชีวิตของฉันต่อจากนี้จะได้สุขสบาย”
จิ้นหยางครุ่นคิดในใจพลางเดินตามหลังเจียวซิ่งไปในป่า ไม่นานนักก็ถึงป่า ไม้แห้งน้อยใหญ่เต็มไปหมดเจียวซิ่งวางผ้ามัดฟืนเอาไว้ที่พื้นก่อนจะเดินเก็บมาใส่ผ้าให้ได้มากที่สุด จิ้นหยางเห็นดังนั้นจึงรีบทำตามเจียวซิ่งโดยไม่รอช้า ในที่สุดทั้งสองก็พากันเดินกลับเรือน
ครั้นใกล้จะถึงกระท่อมของจิ้นหยางเม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาอย่างโหมกระหน่ำ เจียวซิ่งหันมามองผู้เป็นพี่ชายอย่างเป็นห่วงตะโกนเรียกให้เขารีบวิ่งไปที่กระท่อมเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“พี่จิ้นหยางรีบเร่งฝีเท้าเถอะยามนี้ฝนเริ่มหล่นลงมาหากท่านโดนฝนจะทำให้จับไข้ได้อีก”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” จิ้นหยางตอบกลับชายหนุ่มที่เดินอยู่ด้านหน้า เขาเคยทำงานในอีกมิติมามากมายแต่คิดเลยว่าการแบกฟืนเอาไว้ที่หลัง และเดินขึ้นไปยังกระท่อมที่อยู่ด้านบนเขาจะทำให้เขาเหนื่อยหอบได้ขนาดนี้
เมื่อมาถึงกระท่อมจิ้นหยางวางฟืนลงด้านหน้ากลิ่นของอาหารโชยตามกระแสลมเข้าจมูกทำให้ต่อมอยากอาหารทำงาน เสียงท้องของจิ้นหยางร้องโครกคราก
“โครก "เจียวซิ่งหันขวับจ้องมองหน้าจิ้นหยางเมื่อวางฟืนลงที่พื้น
“โอ๊ะ! พี่จิ้นหยางหิวแล้วสินะ! แต่ก็ไม่แปลกหรอกท่านพี่นอนไปเสียตั้งนานอย่างนี้รีบเข้าเรือนเช็ดเนื้อเช็ดตัวกินอาหารเถิดขอรับ ท่านป้าคงทำเตรียมไว้รอแล้ว “เจียวซิ่งยิ้มกริ่มให้แก่จิ้นหยางพลางจะเดินหันหลังกลับเรือนของตน
“แล้วเจ้าจะไปที่ใดกัน ไม่เข้ามาด้วยกันหรือ? ตอนนี้ฝนตกแรงกว่าเดิมอีกด้วย” จิ้นหยางชักชวนให้เจียวซิ่งอยู่กินอาหารด้วยกัน พลันเสียงของจิ้นหยางเงียบลงหญิงชราหรือมารดาของจิ้นหยางได้เดินออกมาจากในครัวเรียกเจียวซิ่งอีกคน
“นั่นสิเจ้าจะรีบกลับทำไม อยู่กินอาหารด้วยกันเสียก่อน เจ้าอุตส่าห์พาจิ้นหยางไปหาไม้ฟืนมา”
“เอ่อ ...ท่านป้าข้าขอบคุณน้ำใจของท่านป้านะขอรับแต่ทว่าข้าคงกินข้าวกับท่านไม่ได้ เดี๋ยววันรุ่งขึ้นท่านพี่กับท่านป้าจะไม่มีข้าวกรอกหม้อ” เมื่อจิ้นหยางได้ยินก็พอเข้าใจว่าเจียวซิ่งคิดเช่นไร เฮ้อ! นี่เขายากจนจนต้องอดมื้อกินมื้ออย่างนั้นหรือ?
“เจียวซิ่งเจ้าไม่ต้องกลัวว่าข้ากับท่านแม่จะไม่มีอะไรกิน จากนี้ไปข้าจะไม่ให้ท่านแม่อดอยากอีกแล้ว มาเถิดเข้ามาด้านในก่อน หากเจ้ากลับไปโดยไม่สนคำพูดของข้า เท่ากับว่าเจ้าไม่นับถือข้าอีกต่อไป”
"โธ่... พี่จิ้นหยางเอ่ยมาเช่นนี้ข้าก็ยากจะปฏิเสธสิขอรับ ก็ได้ขอรับหากท่านไม่อิ่มอย่ามาโทษข้าแล้วกัน " เจียวซิ่งยิ้มกว้างเดินตามจิ้นหยางเข้ามาในเรือน ท่านแม่เองรีบเดินเข้าครัวเพื่อนำถ้วยชามและอาหารมาให้ทั้งสอง เมื่อจิ้นหยางเห็นรีบเข้าไปช่วยทันที
"ท่านแม่ ท่านไปนั่งเถิดขอรับต่อจากนี้ข้าจะเป็นคนทำทุกอย่างในเรือนเอง ท่านแม่เริ่มแก่ชราแล้วแค่อยู่อย่างไม่เจ็บไข้ได้ป่วยข้าก็ดีใจแล้วขอรับ"
"จิ้นหยางเจ้าช่างกตัญญูนัก โชคดีของข้าเหลือเกินที่สวรรค์มอบเจ้ามาให้ข้า " หญิงชราใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มปริ่มน้ำตาจ้องมองบุตรชายด้วยความรัก
หลังจากนั้นทั้งสามได้พากันกินอาหารเย็นอย่างอบอุ่น ชีวิตของลี่หยางที่มาอยู่ในร่างของจิ้นหยางทำให้เขาได้รับความอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ราตรีมาเยือนฝนยังคงตกอยู่แต่ทว่าซาลงบ้างแล้วยามนี้เจียวซิ่งได้กลับเรือน จิ้นหยางกวาดตามองรอบ ๆ เรือนในเรือนของเขาความสว่างมีเพียงแสงไฟจากฟืนที่เขาหามา จิ้นหยางจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ หญิงชราที่กำลังจะโน้มตัวลงนอนเตียงของตน
"จิ้นหยางเจ้ายังไม่นอนอีกหรือ ? มีเรื่องอะไรหรือว่าเจ้าไข้ขึ้นข้าจะลุกหายาให้เจ้าเดี๋ยวนี้"
"มิใช่ขอรับท่านแม่ ข้าเพียงแค่อยากถามท่านแม่ให้หายข้องใจเท่านั้น เจียวซิ่งเล่าให้ข้าฟังท่านแม่ติดหนี้ใต้เท้ามู่เท่าไหร่หรือขอรับ "
"หนี้ที่ข้าติดไม่ได้มากมายอะไร แต่ใต้เท้ามู่หน้าเลือดคิดดอกมากเกินกว่าที่ข้าเอามาหลายเท่าตัว "
"ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลนะขอรับ จากนี้ไปข้าจะพยายามไม่ให้ท่านแม่ได้ทุกข์ยากอย่างนี้และข้าเองจะเป็นคนใช้หนี้ใต้เท้ามู่ให้ได้ ช่วงนี้ฝนตกลงมาแล้วถึงเวลาเพาะปลูกแล้ว ในเรือนของเรามีเมล็ดพันธุ์อะไรที่สามารถปลูกได้บ้างหรือขอรับ "
"นั้นสินะ ! ยามนี้ฝนตกลงมาแล้ว ข้าจำได้ว่าเก็บเมล็ดแตงกวาเอาไว้ หากปลูกสิ่งนี้จะทำให้เราพอเก็บไปขายนำเงินมาใช้หนี้ได้บ้าง เอาไว้รุ่งสางข้าจะหาให้เจ้าแล้วกันวันนี้เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้วนอนกันเถอะนะ "
"ขอรับ " จิ้นหยางเดินกลับมาเตียงนอนของตน พลางครุ่นคิดยังโชคดีที่ยังพอมีเมล็ดแตงกว่าเหลืออยู่ แถมแตงกวายังใช้เวลาเพียงไม่นานก็ออกผลผลิต เช่นนี้เขาคงได้หมดหนี้ภายในเร็ววัน แต่เมื่อจิ้นหยางโน้มตัวลงนอน เตียงนอนที่นี่ช่างเป็นเตียงจริง ๆ ที่ไม่มีความนุ่มอะไรเลยแม้แต่น้อย ทำให้คิดถึงเตียงที่อยู่ในห้องเช่าที่อยู่ในโลกปัจจุบัน แต่แล้วเขาก็หวนคิดถึงเฉินจิ่น
ปานนี้เขาจะเป็นเช่นไรรู้สึกผิดหรือว่าสบายใจที่เขาถูกรถชนกันนะ จู่ ๆ น้ำตาของจิ้นหยางได้ไหลริน สองมือรีบเช็ดน้ำตาก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่
"เขาคงจะดีใจที่ฉันตายจากโลกนั้นมา คงจะมีแต่ฉันเองสินะที่คิดถึงเขาจนลมหายใจสุดท้าย ลี่หยางจากนี้แกต้องลืมเขาไปได้แล้ว เพราะต่อจากนี้แกคือจิ้นหยางที่อยู่ในยุคโบราณ หักห้ามใจเสียบ้างเถอะแค่นี้ยังไม่เจ็บพออีกหรือไง " จิ้นหยางพูดในใจก่อนจะโน้มตัวลงนอนดึงผ้าห่มผืนบางมาห่มกายฟังเสียงฝนที่ยังตกกระหน่ำลงมาจนเผลอหลับไปในความเหน็ดเหนื่อย
บทที่ 30 ฮูหยินของท่านเจ้าเมืองรุ่งเช้าวันต่อมา เจียวซิ่งรู้ว่าเรือนของจิ้นหยางถูกวางเพลิงจนไม่เหลือแม้กระทั่งเสาเรือนรีบเดินทางมาที่เรือนของท่านเจ้าเมืองเพื่อกับจิ้นหยาง และเมื่อจิ้นหยางได้ยินรีบไปดูเรือนด้วยความเสียใจ เรือนทั้งหลังมีเพียงขี้เถ้าเท่านั้นและเขาเองก็รู้ดีว่าต้องเป็นฝีมือของใต้เท้ามู่จึงรีบเดินทางไปหาใต้เท้ามู่ที่เรือนเรื่องในครั้งนี้เขาจะไม่น้อยอยู่นิ่งเฉยอีกต่อไป แม้ตายก็ไม่กลัวแต่ทว่าเมื่อมาที่เรือนของใต้เท้ามู่กลับไม่อยู่และรู้มาว่าท่านเจ้าเมืองได้จัดการจับกุมใต้เท้ามู่ไปยังวังหลวงเพื่อรับโทษ จิ้นหยางครุ่นคิดก็นึกออกว่าที่เขาไม่ให้ตนเองไปหาเมื่อคืนนี้เพราะต้องออกมาจัดการใต้เท้ามู่ทำให้จิ้นหยางทราบซึ้งน้ำใจของเขายิ่งนัก กลับเรือนท่านเจ้าเมืองเพื่อรอเขากลับจากวังหลวง ยิ่งเขาทำดีด้วยเท่าไหร่หัวใจของจิ้นหยางยิ่งเจ็บปวดที่ต้องคอยอาศัยท่านเจ้าเมืองอยู่เรื่อย แม้จะไม่มีเรือนให้อยู่แต่ว่าวันนี้เขาจะใช้หนี้ท่านเจ้าเมืองและพาท่านแม่ออกไปอยู่ที่อื่น หากอยู่ที่นี่ต่อมีแต่หัวใจของจิ้นหยางที่ต้องเจ็บปวดเพียงผู้เดียว เรื่องของท่านใต้เท้ามู่ถูกฝ่าบาทตัดสินความผิดให้ค
บทที่ 29 จัดการใต้เท้ามู่ ฝั่งด้านบ่าวรับใช้ของใต้เท้ามู่ที่เตรียมการเดินทางมายังเรือนของจิ้นหยางเพื่อมาทำลายแปลงผักพร้อมเผาเรือนตามคำสั่งของใต้เท้ามู่เมื่อเห็นว่าดวงตะวันตกดินถึงเวลาที่พวกเขาต้องลงมือจัดการจึงพากันเดินทางมาจัดการตามคำสั่งทันที แต่ทว่าเมื่อมาถึงกลับพบว่าแตงกวาของจิ้นหยางถูกเก็บเกี่ยวไปหมดแล้วมีเพียงเรือนที่เงียบสนิท“ทำไมเรือนถึงได้ไร้แสงไฟอย่างนี้นะ ! ” ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งได้เอ่ยขึ้น อีกคนจึงแย้งขึ้นมา“ในเรือนมีเพียงหญิงชรากับบุตรชายไม่ใช่หรือ ? คงเป็นเพราะเก็บแตงเหน็ดเหนื่อยพากันพักผ่อนเร็วล่ะมั่ง รีบจัดการตามคำสั่งของท่านใต้เท้าเถิดจะได้รีบกลับกันหากผู้อื่นมาเห็นเขาจะเป็นเรื่องใหญ่”“นี่เจ้าจะกลัวอันใด ! ในหมู่บ้านนี้ไม่มีผู้ใดไม่เกรงกลัวใต้เท้ามู่หรอกและไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายอำนาจของท่านหรอกนะ เช่นนั้นเจ้านำไฟนี่ไปโยนใส่หลังคาเรือนสิจะได้รีบกลับ” ชายคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมยื่นโคมไฟให้แก่เขาเพื่อโยนใส่หลังคาที่ทำด้วยฟางเท่านั้น หากโดนไฟเพียงเล็กน้อยก็ลุกไหม้ทันที“ก็ได้จะได้รีบกลับไปพัก” ชายอีกคนคว้าจับโคมไฟโยนใส่กระท่อมของจิ้นหยางเปลวไฟลุกขึ้นโหมกระหน่ำภายในพริบ
บทที่ 28 ข้ารักบุตรชายของท่าน ฝั่งด้านใต้เท้ามู่เมื่อกลับถึงเรือนเขาร้อนใจโมโหโกรธเกรี้ยวที่ถูกท่านเจ้าเมืองชี้ดาบมาหาตนเช่นนี้อีกทั้งยังช่วยเหลือจิ้นหยางที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เขาเสียทั้งเงินทั้งผลประโยชน์ใต้เท้ามู่ไม่อาจจะอยู่นิ่งอีกต่อไป จึงสั่งการให้คนของตนไปจัดการกับเรือนของจิ้นหยางและหาทางกำจัดเจ้าเมืองหลี่ว์ไม่ให้อยู่ที่นี่ได้"เป็นเพียงท่านเจ้าเมืองคิดว่าข้าจะเกรงกลัวหรือไง ไม่ว่ากี่คนต่อกี่คนข้าก็ไม่กลัวและข้าจะทำให้ได้รู้ว่าเข้ามายุ่งกับข้าจะเจอดีอย่างไรน่าเจ็บใจนักที่ข้าไม่ได้แตงกวาของเจ้าจิ้นหยาง ในเมื่อข้าไม่ได้ผู้อื่นจะต้องไม่ได้เช่นกัน ผู้ใดอยู่ข้างนอกเข้ามาหาข้าเดี๋ยวนี้"“ขอรับท่านใต้เท้ามีเรื่องอะไรหรือขอรับ”“ข้ามีเรื่องให้เจ้าไปทำเมื่อท้องฟ้าไร้แสงดวงอาทิตย์เมื่อไหร่พาบ่าวรับใช้ไปจัดการแปลงผักของจิ้นหยางให้เสียหายให้หมดและจัดการเผาไฟในเรือนของจิ้นหยางด้วย ข้าเคยเตือนแล้วว่าอย่าได้แข็งข้อกับข้า เมื่อไม่เกรงกลัวจะต้องเจอบทลงโทษเช่นนี้ ”“ได้ขอรับแต่ว่าในเรือนมีหญิงชราอยู่ด้วย จะไม่เป็นอะไรหรือขอรับ ”“ก็ดีนะสิ ! ให้พวกนั้นตายให้หมดล้วนเป็นเรื่องที่ดีต่อข
บทที่ 27 มาช่วยไว้ทันเสียงของอวิ้นหลี่ว์ดังกึกก้องควบม้ามาด้วยความรวดเร็วดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองจิ้นหยางด้วยความเป็นห่วงก่อนจะหันมามองใต้เท้ามู่ด้วยสายตาเกรี้ยวกราด กระโดดลงจากม้าชักดาบชี้ไปยังหน้าของใต้เท้ามู่อย่างไม่เกรงกลัว โดยมีหลวนเหยาตามมาคอยอารักขาอีกคน เมื่อจิ้นหยางเห็นท่านเจ้าเมืองหลี่ว์ความหวาดกลัวภายในใจหายไปทันที“อะไรกัน ! ท่านเจ้าเมืองท่านกล้าหันปลายดาบมาทางข้าอย่างนั้นหรือ ? ข้าเพียงแค่สั่งสอนชาวบ้านที่โกงคนอื่นเท่านั้นเอง” ใต้เท้ามู่ใบหน้าถอดสีแต่ก็ไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวอะไรเลยแม้แต่น้อยแถมยังเอ่ยถามอวิ้นหลี่ว์อย่างไม่ร้อนตัวอีกด้วยซ้ำ“ไม่จริง! ข้าไม่เคยไปโกงอะไรท่านสักอย่าง มีแต่ท่านที่โกงชาวบ้าน ขู่เข็นทำร้ายร่างกาย” จิ้นหยางผลักร่างของบ่าวรับใช้ให้ออกห่างตนเพราะยามนี้มีทั้งอวิ้นหลี่ว์ที่คอยปกป้องยังมีหลวนเหยาอีกคน"ใต้เท้าสิ่งที่ท่านทำอยู่มิใช่สั่งสอนแล้วกระมั่ง เพราะเมื่อครู่ข้าได้ยินคำพูดของท่านทั้งหมดแล้ว " อวิ้นหลี่ว์เอ่ยน้ำเสียงทุ่มต่ำต่อว่าใต้เท้ามู่"ท่านเจ้าเมืองหลี่ว์ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับท่านสักนิด อย่าได้มาใส่ใจเลยขอรับกลับไปใช้ชีวิตเป็นท่านเจ้าเม
บทที่ 26 ยอมตายดีกว่าผ่านมาหลายวันฝั่งด้านลี่อินเมื่อกลับเรือนวันนั้นได้ไปถามท่านพ่อเกี่ยวกับจิ้นหยางจึงได้รู้ว่าตอนนี้จิ้นหยางไม่ได้เป็นหนี้ท่านพ่อแล้ว จึงไม่รู้จะเข้าหาจิ้นหยางเช่นไรเลย วัน ๆ เอาแต่นั่งถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายจนใต้เท้ามู่เดินผ่านมาเห็น“ช่วงนี้เจ้าเป็นอะไรไปไม่เห็นจะออกไปเที่ยวเล่นเหมือนอย่างแต่ก่อน แล้วเจ้าไปพบท่านเจ้าเมืองเป็นเช่นไรบ้างถูกใจเจ้าหรือไม่ ?”“ข้าเบื่อเจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านเจ้าเมืองหลี่ว์ก็หล่อเหลาดีแต่ข้าไม่ชอบเขาเจ้าค่ะ ”“ทำไมล่ะในเมื่อเขาเองก็หล่อเหลาแถมยังมีฐานะเป็นถึงท่านเจ้าเมืองข้าว่าคู่ควรกับเจ้ามากที่สุดในย่านนี้แล้ว ”“ไม่เจ้าค่ะ ข้ามีบุรุษที่หมายตาเอาไว้แล้ว” ใบหน้าของจิ้นหยางโผล่เข้ามาในความคิดของลี่อินนางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พร้อมบอกกับบิดาว่ายามนี้ใจของนางมีคนที่หมายเอาไว้แล้ว“ห่ะ! ว่าอะไรนะแล้วเป็นบุตรชายเรือนใต้เท้าผู้ใดกัน หากร่ำรวยพอ ๆ กับตระกูลเราข้าเองก็เห็นด้วย เจ้าลองเอ่ยมา”“จิ้นหยางเจ้าค่ะบุรุษที่ข้าถูกชะตาแม้เขาจะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้เป็นหนี้ท่านพ่อ แถมยังขยันกตัญญูต่อมารดาเพียงเท่านี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ”“เฮ้อ ! ข้าจะเป็นล
บทที่ 25 ประกายพลุช่างงดงามอวิ้นหลี่ว์ลุกขึ้นเดิมตามจิ้นหยางมายืนอยู่ชานของเรือที่สามารถยืนมองบรรยากาศด้านนอกได้อย่างชัดเจน อวิ้นหลี่ว์เดินเข้าไปสวมกอดจากด้านหลังฝังจมูกเข้าซอกคอของจิ้นหยางพลางชื่นชม“วันนี้อากาศดีเสียจริง ไม่ว่าจะมองไปที่ใดช่างงดงามไปหมด เจ้าว่าอย่างนั้นหรือไม่?”“ไม่เลยขอรับ วันนี้เป็นวันที่อากาศร้อนและมองไปทางใดมีเพียงแสงไฟ ข้าชอบมองดวงจันทร์เสียมากกว่าอีกอย่างท่านเจ้าเมืองหลี่ว์ปล่อยข้าได้หรือไม่ ? ข้าไม่ชอบที่ท่านมาโอบกอดข้าราวกับคู่รักเช่นนี้ และที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ข้าจะปรนนิบัติท่านได้”“ไม่ข้าไม่ปล่อยเจ้าจะทำไม ข้าแค่อยากกอดเจ้าเช่นนี้นาน ๆ ไม่ได้หรือ? มองไปบนท้องฟ้ายามนี้น่าจะถึงยามที่เขาจะจุดพลุแล้ว เจ้าคงไม่มีเวลามาเที่ยวเพราะต้องทำงานเลี้ยงมารดารู้หรือไม่ว่าข้าเช่าเรือลำนี้เพราะเจ้าเลยนะ ข้าทำเพียงนี้เจ้ายังไม่รู้ใจข้าอีกหรือ ” จิ้นหยางใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้ยินว่าท่านเจ้าเมืองทำเพื่อตนแม้จะไม่อยากคิดไปไกลแต่คำพูดของเขายิ่งตอกย้ำทำให้จิ้นหยางคิดเข้าข้างตนเองไม่สนอะไรอีกต่อไป เขาหันกลับมาจ้องมองใบหน้าของอวิ้นหลี่ว์สายตาจ้องตาก่อนจะโอบกอดเขาแน่น จู่ ๆ ก็รู้สึกได