เสียงนกขับขานร้องส่งกันไปมา แสงสว่างจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในกระท่อมแยงตาผู้ที่นอนลับสนิทให้รู้สึกตัว จิ้นหยางลืมตาขึ้นกวาดสายตามองต้องสะดุ้งตกใจอีกครั้งก่อนจะนึกออกได้ว่าตัวเองทะลุมิติมาจากที่อื่น
"เฮ้อ! คิดว่าฝันไปเสียอีก คงเป็นฟ้าลิขิตสินะ " จิ้นหยางเอ่ยพลางยันกายลุกขึ้น มองเห็นสตรีที่นอนอยู่บนเตียงยังไม่ตื่นจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นไม่ให้เกิดเสียงดังก่อนเข้าไปที่ครัว เพื่อทำอาหารเช้าเมื่อเข้ามาในครัวยามนี้มีเพียงมันเทศเท่านั้นที่เหลืออยู่ นี่คงเป็นอาหารสุดท้ายแล้วสินะ
"คงไม่มีทางเลือกแล้วต้องทำอันนี้กินสินะ ว่าแล้วเชียวทำไมเจียวซิ่งถึงได้ไม่อยากกินข้าวเย็นด้วย " จิ้นหยางเอ่ยพึมพัมก่อนจะจัดการนำมันไปเผาเพื่อกินประทังชีวิต
เมื่อจัดการมันเสร็จจิ้นหยางได้ออกไปสำรวจบริเวณรอบ ๆ กระท่อม บรรยากาศกำลังเย็นสบายหลังจากที่ฝนตกไปทั้งคืนเช้านี้จึงมีหมอกควันลอยบนท้องฟ้า
"พี่จิ้นหยางข้ามาแล้วขอรับ " พลันเสียงของเจียวซิ่งดังขึ้น จิ้นหยางหันขวับไปมองทันที
"เจ้าเด็กคนนี้คงจะติดจิ้นหยางนี่มากสินะ ทั้ง ๆ ที่เช้าขนาดนี้ยังเร่งรีบมาที่นี่ แต่ก็ดีเหมือนกันฉันเองจะได้ไม่เหงา " จิ้นหยางพูดแผ่วเบาก่อนจะถามเจียวซิ่งที่เดินใกล้เข้ามาหาตน
"เจ้ามาที่นี่แต่เช้ามีอะไรหรือ"
"ท่านแม่ของข้าทำอาหารเยอะ ข้าคิดถึงท่านจึงนำมาฝากขอรับ แม้จะเป็นเพียงข้าวปั้นแต่มันก็ช่วยให้ท่านมีแรงนะขอรับ " เจียวซิ่งยื่นห่อข้าวปั้นให้แก่จิ้นหยางเขารับพร้อมยิ้มกริ่มให้เจียวซิ่ง
"ขอบใจเจ้ามากนะ ที่เป็นห่วงข้าจริงสิวันนี้เจ้าไปที่ใดหรือไม่? "
"ไม่ขอรับ ..ทำไมหรือ?"
"ข้าว่าลงมือปลูกแตงกวา เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่? แม้ตอนนี้ข้าไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายเจ้าแต่ว่าหากแตงกวาข้าโตเมื่อไหร่ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม"
"ตัวข้าช่วยท่านได้เสมอ ไม่หวังสิ่งตอบแทนขอรับ "
“เจ้าช่างดีเสียจริง” จิ้นหยางเอ็นดูเจียวซิ่งมาก ๆ ราวกับเขาเป็นน้องชายที่เกิดมาจากแม่คนเดียวกัน
หลังจากนั้นทั้งสองพากันเข้ามาในเรือนกินอาหารเช้าร่วมกันบัดนั้นท่านแม่ได้ตื่นขึ้นมาและนำเมล็ดแตงกวาให้แก่จิ้นหยางเพื่อนำไปปลูก
“เมล็ดแตงกวาก็มีมากพอที่สำหรับปลูกขายว่าแต่ที่นี่มีอุปกรณ์เพาะปลูกหรือไม่?” จิ้นหยางได้เอ่ยถามเมื่อได้เมล็ดพันธุ์อยู่ในมือ
“ท่านพี่หมายถึงอันใดหรือ? ที่หมู่บ้านของเรามีเพียงจอบเท่านั้น”
“ห่ะ! จอบอย่างนั้นหรือ?"จิ้นหยางเบิกตาโพลงโต
‘นั่นสินะจะไปมีอุปกรณ์การเกษตรได้ยังไงนี่มันยุคโบราณนะ เฮ้อ! คงต้องใช้แรงอีกแล้วนะสิเอาว่ะอย่างไรก็ต้องทำมาถึงขั้นนี้แล้วท้อไม่ได้’ จิ้นหยางถอดหายใจเฮือกใหญ่จ้องมองจอบที่อยู่ในมือของเจียวซิ่ง
“พี่จิ้นหยางตกอะไรหรือ แต่ก่อนเราก็ใช้เพียงจอบเท่านั้นนะ”
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไรงั้นเราลงมือจัดการกับดินที่จะปลูกแตงกวากันเถอะ ส่วนท่านมิต้องออกมาช่วยข้านะขอรับ ขออยู่ในเรือนเถิด” จิ้นหยางตอบเจียวซิ่งก่อนจะหันมาบอกมารดา
“เจ้าเองก็อย่าหักโหมเกินไปนะจิ้นหยางร่างกายของเจ้าเองยังไม่ค่อยแข็งแรงช่วงนี้เหมือนสมองของเจ้ากระทบกระเทือนคำพูดคำจาของเจ้าไม่เหมือนเช่นเคย ข้าละเป็นห่วงเจ้าจริง ๆ หากข้ามีเงินมากพอจะพาเจ้าไปรักษากับท่านหมอในเมืองหลวงแต่ข้ามันจนไม่มีวาสนาพาเจ้าไปรักษาด้วยซ้ำ” มารดาที่เห็นท่าทางของบุตรชายเปลี่ยนไปเข้าใจว่าเขานั้นได้รับกระทบกระเทือนหลังจากการตกน้ำ จ้องมองบุตรชายด้วยความเป็นห่วง
“ท่านแม่ข้าไม่ได้ไม่สบายตรงใด หากข้ามีบางอย่างเปลี่ยนไปจากเดิมแต่ข้าก็ยังเป็นบุตรชายของท่านเช่ยเคยท่านแม่มิต้องกังวลใจไปขอรับ” มารดาของจิ้นหยางพยักหน้าให้แก่เขาก่อนที่เขาจะเดินไปที่แปลงผักจัดการขุดเตรียมดินกับเจียวซิ่ง สองวันแรกร่างกายของจิ้นหยางเจ็บปวดแทบไม่อยากจะขยับกายมือของเขาเริ่มแตกบวมแดงเมื่อจับจอบเป็นเวลานาน แต่ความโชคดีคือเขามีเจียวซิ่งคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด จนกระทั่งวันนี้เมล็ดของแตงกวาได้ทำการนำลงดิน รอยยิ้มของจิ้นหยางปรากฏขึ้นเฝ้ารอคอยวันที่แตงกวาจะงอกขึ้นมา
“ในที่สุดข้าก็ปลูกแตงกวาได้แล้ว”
“พี่จิ้นหยางดีใจขนาดนั้นเลยหรือขอรับ เราพึ่งจะเอาเมล็ดลงดินเองนะขอรับ ต้องรอให้มันงอกขึ้นมาออกดอกมีผลก่อนสิถึงเรียกว่าสำเร็จ”
“เจ้านี่ช่างดับฝันข้าเสียจริง เพียงเท่านี้ข้าก็ดีใจแล้ว เอาล่ะวันนี้เราทั้งสองเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ตอนนี้ก็ยังไม่มืดค่ำ เจ้าช่วยพาข้าเดินเล่นในหมู่บ้านได้หรือไม่เผื่อข้าเห็นอะไรน่ากินจะได้ซื้อมากินเย็นนี้”
“ท่านพูดอย่างกับท่านร่ำรวยอย่างไรอย่างนั้น”
“เจ้านับถือข้าจริงหรือไม่? จะไปไม่ไปหากไม่ไปข้าไปผู้เดียวก็ได้”
“ไปสิ! ข้าจะพาท่านไปเองจริงสิวันนี้ข้าได้ยินท่านแม่เอ่ยตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะออกจากเรือนมา เห็นว่าวันนี้มีท่านเจ้าเมืองย้ายมาใหม่จัดพิธีต้อนรับและฉลองกันครึกครื้นเราไปที่นั้นดีหรือไม่ขอรับ อาหารน่าจะมีมากมายแถมยังมีสุราให้ดื่มอีกด้วย”
“เฮ้อ! คนรวยสินะแล้วเขาจะให้เราเข้าไปกินของเขาได้อย่างไรเล่า คนล่ะระดับชั้นกันอย่างนี้”
“ไม่ยากเลยขอรับ ตามข้ามาเถิด หึ หึ” ใบหน้าของเจียวซิ่งยิ้มชั่วร้ายคล้ายมีแผน จิ้นหยางชั่งใจจะตามไปดีหรือไม่ทำไมจู่ ๆ รู้สึกใจหายวาบอย่างนี้แต่ถ้าหากมีอาหารอย่างที่เจียวซิ่งกล่าวมาก็น่าลองไปดูเช่นกัน วันนี้เขากับแม่จะได้อิ่มไปอีกวัน
“นำไปสิ” เจียวซิ่งดีดนิ้วเปาะหนึ่งเดินนำหน้าจิ้นหยางไปยังจวนของท่านเจ้าเมืองที่ย้านมาใหม่ทันที
บทที่ 30 ฮูหยินของท่านเจ้าเมืองรุ่งเช้าวันต่อมา เจียวซิ่งรู้ว่าเรือนของจิ้นหยางถูกวางเพลิงจนไม่เหลือแม้กระทั่งเสาเรือนรีบเดินทางมาที่เรือนของท่านเจ้าเมืองเพื่อกับจิ้นหยาง และเมื่อจิ้นหยางได้ยินรีบไปดูเรือนด้วยความเสียใจ เรือนทั้งหลังมีเพียงขี้เถ้าเท่านั้นและเขาเองก็รู้ดีว่าต้องเป็นฝีมือของใต้เท้ามู่จึงรีบเดินทางไปหาใต้เท้ามู่ที่เรือนเรื่องในครั้งนี้เขาจะไม่น้อยอยู่นิ่งเฉยอีกต่อไป แม้ตายก็ไม่กลัวแต่ทว่าเมื่อมาที่เรือนของใต้เท้ามู่กลับไม่อยู่และรู้มาว่าท่านเจ้าเมืองได้จัดการจับกุมใต้เท้ามู่ไปยังวังหลวงเพื่อรับโทษ จิ้นหยางครุ่นคิดก็นึกออกว่าที่เขาไม่ให้ตนเองไปหาเมื่อคืนนี้เพราะต้องออกมาจัดการใต้เท้ามู่ทำให้จิ้นหยางทราบซึ้งน้ำใจของเขายิ่งนัก กลับเรือนท่านเจ้าเมืองเพื่อรอเขากลับจากวังหลวง ยิ่งเขาทำดีด้วยเท่าไหร่หัวใจของจิ้นหยางยิ่งเจ็บปวดที่ต้องคอยอาศัยท่านเจ้าเมืองอยู่เรื่อย แม้จะไม่มีเรือนให้อยู่แต่ว่าวันนี้เขาจะใช้หนี้ท่านเจ้าเมืองและพาท่านแม่ออกไปอยู่ที่อื่น หากอยู่ที่นี่ต่อมีแต่หัวใจของจิ้นหยางที่ต้องเจ็บปวดเพียงผู้เดียว เรื่องของท่านใต้เท้ามู่ถูกฝ่าบาทตัดสินความผิดให้ค
บทที่ 29 จัดการใต้เท้ามู่ ฝั่งด้านบ่าวรับใช้ของใต้เท้ามู่ที่เตรียมการเดินทางมายังเรือนของจิ้นหยางเพื่อมาทำลายแปลงผักพร้อมเผาเรือนตามคำสั่งของใต้เท้ามู่เมื่อเห็นว่าดวงตะวันตกดินถึงเวลาที่พวกเขาต้องลงมือจัดการจึงพากันเดินทางมาจัดการตามคำสั่งทันที แต่ทว่าเมื่อมาถึงกลับพบว่าแตงกวาของจิ้นหยางถูกเก็บเกี่ยวไปหมดแล้วมีเพียงเรือนที่เงียบสนิท“ทำไมเรือนถึงได้ไร้แสงไฟอย่างนี้นะ ! ” ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งได้เอ่ยขึ้น อีกคนจึงแย้งขึ้นมา“ในเรือนมีเพียงหญิงชรากับบุตรชายไม่ใช่หรือ ? คงเป็นเพราะเก็บแตงเหน็ดเหนื่อยพากันพักผ่อนเร็วล่ะมั่ง รีบจัดการตามคำสั่งของท่านใต้เท้าเถิดจะได้รีบกลับกันหากผู้อื่นมาเห็นเขาจะเป็นเรื่องใหญ่”“นี่เจ้าจะกลัวอันใด ! ในหมู่บ้านนี้ไม่มีผู้ใดไม่เกรงกลัวใต้เท้ามู่หรอกและไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายอำนาจของท่านหรอกนะ เช่นนั้นเจ้านำไฟนี่ไปโยนใส่หลังคาเรือนสิจะได้รีบกลับ” ชายคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมยื่นโคมไฟให้แก่เขาเพื่อโยนใส่หลังคาที่ทำด้วยฟางเท่านั้น หากโดนไฟเพียงเล็กน้อยก็ลุกไหม้ทันที“ก็ได้จะได้รีบกลับไปพัก” ชายอีกคนคว้าจับโคมไฟโยนใส่กระท่อมของจิ้นหยางเปลวไฟลุกขึ้นโหมกระหน่ำภายในพริบ
บทที่ 28 ข้ารักบุตรชายของท่าน ฝั่งด้านใต้เท้ามู่เมื่อกลับถึงเรือนเขาร้อนใจโมโหโกรธเกรี้ยวที่ถูกท่านเจ้าเมืองชี้ดาบมาหาตนเช่นนี้อีกทั้งยังช่วยเหลือจิ้นหยางที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เขาเสียทั้งเงินทั้งผลประโยชน์ใต้เท้ามู่ไม่อาจจะอยู่นิ่งอีกต่อไป จึงสั่งการให้คนของตนไปจัดการกับเรือนของจิ้นหยางและหาทางกำจัดเจ้าเมืองหลี่ว์ไม่ให้อยู่ที่นี่ได้"เป็นเพียงท่านเจ้าเมืองคิดว่าข้าจะเกรงกลัวหรือไง ไม่ว่ากี่คนต่อกี่คนข้าก็ไม่กลัวและข้าจะทำให้ได้รู้ว่าเข้ามายุ่งกับข้าจะเจอดีอย่างไรน่าเจ็บใจนักที่ข้าไม่ได้แตงกวาของเจ้าจิ้นหยาง ในเมื่อข้าไม่ได้ผู้อื่นจะต้องไม่ได้เช่นกัน ผู้ใดอยู่ข้างนอกเข้ามาหาข้าเดี๋ยวนี้"“ขอรับท่านใต้เท้ามีเรื่องอะไรหรือขอรับ”“ข้ามีเรื่องให้เจ้าไปทำเมื่อท้องฟ้าไร้แสงดวงอาทิตย์เมื่อไหร่พาบ่าวรับใช้ไปจัดการแปลงผักของจิ้นหยางให้เสียหายให้หมดและจัดการเผาไฟในเรือนของจิ้นหยางด้วย ข้าเคยเตือนแล้วว่าอย่าได้แข็งข้อกับข้า เมื่อไม่เกรงกลัวจะต้องเจอบทลงโทษเช่นนี้ ”“ได้ขอรับแต่ว่าในเรือนมีหญิงชราอยู่ด้วย จะไม่เป็นอะไรหรือขอรับ ”“ก็ดีนะสิ ! ให้พวกนั้นตายให้หมดล้วนเป็นเรื่องที่ดีต่อข
บทที่ 27 มาช่วยไว้ทันเสียงของอวิ้นหลี่ว์ดังกึกก้องควบม้ามาด้วยความรวดเร็วดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองจิ้นหยางด้วยความเป็นห่วงก่อนจะหันมามองใต้เท้ามู่ด้วยสายตาเกรี้ยวกราด กระโดดลงจากม้าชักดาบชี้ไปยังหน้าของใต้เท้ามู่อย่างไม่เกรงกลัว โดยมีหลวนเหยาตามมาคอยอารักขาอีกคน เมื่อจิ้นหยางเห็นท่านเจ้าเมืองหลี่ว์ความหวาดกลัวภายในใจหายไปทันที“อะไรกัน ! ท่านเจ้าเมืองท่านกล้าหันปลายดาบมาทางข้าอย่างนั้นหรือ ? ข้าเพียงแค่สั่งสอนชาวบ้านที่โกงคนอื่นเท่านั้นเอง” ใต้เท้ามู่ใบหน้าถอดสีแต่ก็ไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวอะไรเลยแม้แต่น้อยแถมยังเอ่ยถามอวิ้นหลี่ว์อย่างไม่ร้อนตัวอีกด้วยซ้ำ“ไม่จริง! ข้าไม่เคยไปโกงอะไรท่านสักอย่าง มีแต่ท่านที่โกงชาวบ้าน ขู่เข็นทำร้ายร่างกาย” จิ้นหยางผลักร่างของบ่าวรับใช้ให้ออกห่างตนเพราะยามนี้มีทั้งอวิ้นหลี่ว์ที่คอยปกป้องยังมีหลวนเหยาอีกคน"ใต้เท้าสิ่งที่ท่านทำอยู่มิใช่สั่งสอนแล้วกระมั่ง เพราะเมื่อครู่ข้าได้ยินคำพูดของท่านทั้งหมดแล้ว " อวิ้นหลี่ว์เอ่ยน้ำเสียงทุ่มต่ำต่อว่าใต้เท้ามู่"ท่านเจ้าเมืองหลี่ว์ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับท่านสักนิด อย่าได้มาใส่ใจเลยขอรับกลับไปใช้ชีวิตเป็นท่านเจ้าเม
บทที่ 26 ยอมตายดีกว่าผ่านมาหลายวันฝั่งด้านลี่อินเมื่อกลับเรือนวันนั้นได้ไปถามท่านพ่อเกี่ยวกับจิ้นหยางจึงได้รู้ว่าตอนนี้จิ้นหยางไม่ได้เป็นหนี้ท่านพ่อแล้ว จึงไม่รู้จะเข้าหาจิ้นหยางเช่นไรเลย วัน ๆ เอาแต่นั่งถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายจนใต้เท้ามู่เดินผ่านมาเห็น“ช่วงนี้เจ้าเป็นอะไรไปไม่เห็นจะออกไปเที่ยวเล่นเหมือนอย่างแต่ก่อน แล้วเจ้าไปพบท่านเจ้าเมืองเป็นเช่นไรบ้างถูกใจเจ้าหรือไม่ ?”“ข้าเบื่อเจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านเจ้าเมืองหลี่ว์ก็หล่อเหลาดีแต่ข้าไม่ชอบเขาเจ้าค่ะ ”“ทำไมล่ะในเมื่อเขาเองก็หล่อเหลาแถมยังมีฐานะเป็นถึงท่านเจ้าเมืองข้าว่าคู่ควรกับเจ้ามากที่สุดในย่านนี้แล้ว ”“ไม่เจ้าค่ะ ข้ามีบุรุษที่หมายตาเอาไว้แล้ว” ใบหน้าของจิ้นหยางโผล่เข้ามาในความคิดของลี่อินนางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พร้อมบอกกับบิดาว่ายามนี้ใจของนางมีคนที่หมายเอาไว้แล้ว“ห่ะ! ว่าอะไรนะแล้วเป็นบุตรชายเรือนใต้เท้าผู้ใดกัน หากร่ำรวยพอ ๆ กับตระกูลเราข้าเองก็เห็นด้วย เจ้าลองเอ่ยมา”“จิ้นหยางเจ้าค่ะบุรุษที่ข้าถูกชะตาแม้เขาจะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้เป็นหนี้ท่านพ่อ แถมยังขยันกตัญญูต่อมารดาเพียงเท่านี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ”“เฮ้อ ! ข้าจะเป็นล
บทที่ 25 ประกายพลุช่างงดงามอวิ้นหลี่ว์ลุกขึ้นเดิมตามจิ้นหยางมายืนอยู่ชานของเรือที่สามารถยืนมองบรรยากาศด้านนอกได้อย่างชัดเจน อวิ้นหลี่ว์เดินเข้าไปสวมกอดจากด้านหลังฝังจมูกเข้าซอกคอของจิ้นหยางพลางชื่นชม“วันนี้อากาศดีเสียจริง ไม่ว่าจะมองไปที่ใดช่างงดงามไปหมด เจ้าว่าอย่างนั้นหรือไม่?”“ไม่เลยขอรับ วันนี้เป็นวันที่อากาศร้อนและมองไปทางใดมีเพียงแสงไฟ ข้าชอบมองดวงจันทร์เสียมากกว่าอีกอย่างท่านเจ้าเมืองหลี่ว์ปล่อยข้าได้หรือไม่ ? ข้าไม่ชอบที่ท่านมาโอบกอดข้าราวกับคู่รักเช่นนี้ และที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ข้าจะปรนนิบัติท่านได้”“ไม่ข้าไม่ปล่อยเจ้าจะทำไม ข้าแค่อยากกอดเจ้าเช่นนี้นาน ๆ ไม่ได้หรือ? มองไปบนท้องฟ้ายามนี้น่าจะถึงยามที่เขาจะจุดพลุแล้ว เจ้าคงไม่มีเวลามาเที่ยวเพราะต้องทำงานเลี้ยงมารดารู้หรือไม่ว่าข้าเช่าเรือลำนี้เพราะเจ้าเลยนะ ข้าทำเพียงนี้เจ้ายังไม่รู้ใจข้าอีกหรือ ” จิ้นหยางใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้ยินว่าท่านเจ้าเมืองทำเพื่อตนแม้จะไม่อยากคิดไปไกลแต่คำพูดของเขายิ่งตอกย้ำทำให้จิ้นหยางคิดเข้าข้างตนเองไม่สนอะไรอีกต่อไป เขาหันกลับมาจ้องมองใบหน้าของอวิ้นหลี่ว์สายตาจ้องตาก่อนจะโอบกอดเขาแน่น จู่ ๆ ก็รู้สึกได