แม้ว่าจะถึงคราวสิ้นอายุขัย ก็ต้องไม่ใช่มาจากการที่พวกเขาไม่มีแม้แต่ความสามารถจะยื้อท่านผู้ชราให้อยู่ได้นานอีกหน่อย ต้องลาจากกันแค่เพียงเพราะไร้ความสามารถช่างน่าอดสูเหลือเกิน
ต่อให้มารดาคัดค้านเรื่องนี้ จางอวี๋จิงก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ กระท่อมหลังน้อยที่อาศัยกันอยู่อย่างแออัดเงียบเชียบอย่างที่ไม่เคยเป็น บรรยากาศอึมครึมแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณบ้านจนน่าหดหู่
เหออิงเห็นบุตรสาวกลับมาแล้วก็รีบเข้าไปถามไถ่
จางอวี๋จิงอธิบายให้ครอบครัวฟังอย่างใจเย็น“ท่านพี่ไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลย” น้องชายของนางไม่พอใจมาก แต่ก็ค้านอะไรไม่ได้ ซึ่งตอกย้ำความไร้สามารถของตน
บิดามารดารู้สึกผิดต่อบุตรสาวจนไม่กล้ามองหน้าลูก พวกเขาต้องอับจนหนทางขนาดไหนกันถึงบีบให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ต้องสละตนเองถึงขนาดนี้
“โธ่ ลูกแม่ เจ้าไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย” เหออิงลูบแก้มบุตรสาวทั้งน้ำตา
นางเข้าใจว่ามารดาเป็นห่วง อีกทั้งตัดสินใจกะทันหันแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชมอะไร แต่ความมุ่งมั่นของนางไม่สั่นคลอนง่าย ๆ หรอก นางจะไม่เปลี่ยนใจหรือขอร้องฮูหยินท่านให้ยกเลิกข้อตกลงด้วย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้นได้โปรดอย่าคิดโทษตัวเองเลย และข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คิดกลับคำ ดังนั้นช่วยยินดีกับข้าเถอะนะ”
จางอวี๋จิงยิ้มให้ทุกคนคลายกังวลนางต้องปลอบครอบครัวอยู่นานกว่าจะสงบลง
พอทำใจได้เล็กน้อยก็เริ่มมีสติรู้ตัวว่า มีเรื่องต้องจัดการ แม้จะไม่ได้มากมายพอจะเรียกว่าสมบัติได้ แต่ทั้งสองคนก็เตรียมสินเดิมตามธรรมเนียมให้ลูก ถึงจางอวี๋จิงปฏิเสธ แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ยอม น้องชายก็ไม่ยอม กระทั่งนางเป็นฝ่ายใจอ่อนเสียเองการกระทำหุนหันของนางทำให้พวกเขาตกใจมาก หญิงสาวจึงไม่ค่อยกล้าค้านสักเท่าไร
เช้าวันต่อมาเหออิงกับจางชิงผิงก็ไปพบหงเสวียนซู่โดยไม่ได้บอกบุตรสาว ทั้งไปขออภัยที่ลูกมาหาโดยไม่บอกกล่าวเจ้าของบ้านล่วงหน้า ทั้งฝากฝังความดูแลและขอร้องให้เมตตาบุตรสาวของตนบ้าง
หงเสวียนซู่ต้อนรับตามมารยาทและไม่ได้รับปากสิ่งใดอย่างชัดเจน แค่ท่าทีไม่ได้มุ่งร้ายหรือจงเกลียดจงชังว่าที่สะใภ้ออกนอกหน้า คนเป็นพ่อแม่ก็วางใจได้เล็กน้อย
หงเสวียนซู่มีวิธีการและเงื่อนไขในการยอมรับคนของตนเอง เหออิงเห็นว่าฮูหยินบ้านนี้ไม่รักแต่ก็ไม่เกลียดคนที่จะเข้ามาเป็นสะใภ้ก็โล่งใจได้เปลาะหนึ่ง กลับไปก็เน้นย้ำกับบุตรสาวตนว่า หากทนไม่ไหวก็จงกลับบ้าน จะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านก็ช่างประไร นางยอมให้เป็นแบบนั้นมากกว่าให้บุตรสาวต้องทนอยู่ทั้งที่ไม่อยากอยู่ นั่นเป็นเรื่องในอนาคตที่ไม่มีอะไรบอกได้ว่าจะเกิดหรือไม่เกิด แต่นางก็ได้ให้ทางเลือกลูกเอาไว้ล่วงหน้า และไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรถ้าจะกลับมา
ในตอนที่ครอบครัวว่าที่ภรรยามาหา ไป่จวิ้นซ่อมรั้วอยู่ด้านหลัง แต่ก็ได้ยินที่พวกผู้ใหญ่คุยกันแว่ว ๆ ตนเพียงเข้าไปทักทายแล้วออกมาจึงไม่รู้รายละเอียดมากนัก แต่หลังซ่อมรั้วเสร็จก็เข้ามาในบ้านเมื่อเห็นมารดาจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“ท่านแม่จะไม่จัดงาน และไม่มีขบวนรับตัวให้นางหรือขอรับ”
เขาไม่สบายใจกับเรื่องนี้นัก อย่างไรก็จะเป็นภรรยาของเขา ถึงต่างฝ่ายต่างไม่ได้รัก แต่แบบนี้จะไม่ให้เกียรตินางเกินไปหน่อยหรือ
“ไม่จำเป็น แค่ยกน้ำชากับกราบไหว้ฟ้าดินพอเป็นพิธีก็พอแล้ว จะจัดทำไมให้วุ่นวายเล่า”
“แต่ว่า…” ไป่จวิ้นเอ่ยอย่างกังวล อย่างน้อยนางก็เป็นสตรีคนหนึ่งที่คงอยากแต่งงานออกหน้าออกตาให้คนอื่นได้รับรู้ และเป็นการถือว่าให้เกียรติฝ่ายเจ้าสาวด้วย
“นางเป็นคนขอแม่เอง เจ้าจะมาร้องขอแทนหรืออย่างไร” หงเสวี่ยนซู่เอ่ยถามลูกชายอย่างแปลกใจที่เห็นเขาใส่ใจว่าที่ภรรยามากขนาดนี้
“นางร้องขอเองหรือขอรับ?”
“ใช่”
หรืออับอายที่ได้สามีเป็นคนไร้ค่าอย่างข้า เลยไม่อยากให้คนอื่นรับรู้อย่างนั้นหรือ
ไป่จวิ้นคิดไม่ตก นึกสมเพชตัวเองนักหนา นอกจากต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ยังเป็นคนพิการไร้ค่า เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้นางไม่ได้ ก็สมควรแล้วที่นางจะไม่อยากให้คนอื่นรับรู้
หงเสวียนซู่มองบุตรชายที่เงียบไปก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางก็ไม่อยากคาดคั้นลูกให้อึดอัดจึงลุกไปปัดกวาดห้องว่าง
“มัวทำอะไรอยู่เล่า เมียจะมาอยู่ด้วย ไม่จัดที่หลับที่นอนให้นางหรือไง”
ไป่จวิ้นตาเบิกโพลง ไม่ใช่นางจะมาอยู่หลังทำพิธีมงคลหรอกหรือ หากไม่ใช่ เขาก็งานล้นมือแล้ว
“ทำไมท่านแม่ไม่บอกข้าตั้งแต่เมื่อวานล่ะ”
เขาโวยวายพลางเดินกะเผลก ๆ ไปคว้าค้อนคว้าตะปูมาซ่อมพื้นไม้ที่จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ในห้องนอนหงเสวียนซู่ยกตู้ย้ายเตียงมือเป็นระวิง เพราะอยากให้ห้องดูโล่ง ถึงนางจะมาเช้าเย็นกลับ แต่อีกไม่กี่วันก็เข้ามาอยู่ถาวร จัดห้องตั้งแต่วันนี้เลยก็คงไม่ต่างกัน
“ท่านแม่ เดี๋ยว ๆ นั่นตู้หนังสือนะ! ข้าจะยกให้เอง!” ไป่จวิ้นตกใจตาแทบถลนเมื่อมารดาทำท่าจะย้ายตู้นั่นไปมุมอื่น
สามหนังสือหกพิธีการของไป่จวิ้นและจางอวี๋จิง ถูกลดหลั่นขั้นตอนลงไปตามงบประมาณและความสะดวก ดังนั้นอะไรต่อมิอะไรจึงรวดเร็วฉุกละหุกไปหมด นางกับเขาสวมชุดแดนมงคลยืนคู่กัน คำนับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และดวงวิญญาณบรรพบุรุษ บุพการีทั้งสองฝ่ายคำนับให้แก่กัน บ่าวสาวคำนับบิดามารดาและคู่สมรสของตน ตามด้วยลงนามในหนังสือฉบับสุดท้าย เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธีอย่างเรียบง่ายถึงไม่ยิ่งใหญ่เหมือนงานของใคร ๆ แต่ไป่จวิ้นก็หวังว่านางจะดีใจกว่าการขนสัมภาระเข้ามาในบ้านเขาเฉย ๆเพราะมีผ้าคลุมหน้าผืนบางปกปิดจึงไม่อาจคาดเดาสีหน้าของนางได้ ชายหนุ่มจึงได้แต่คาดหวังในใจว่า นางจะยินดี หลังพิธีส่งตัวเข้าหอตามฤกษ์ครอบครัวของพวกเขาก็กินเลี้ยงกันอยู่ในสวนด้านหลังโดยทั่วไปบรรยากาศระหว่างบ่าวสาวในเวลาร่วมหอควรจะเปี่ยมล้นไปด้วยความหวานชื่นราวน้ำผึ้งพระจันทร์ แต่จางอวี๋จิงและไป่จวิ้นไม่ได้รักใคร่ชอบพอกันมาก่อน บรรยากาศจึงดูจริงจังเกินเหตุสตรีผู้หนึ่งปรารถนาให้ตนเองตั้งครรภ์ตามหน้าที่ในฐานะภรรยา แล้วมันก็เป็นเงื่อนไขที่ฮูหยินได้ต่อรองกับนางไว้ ทว่าฝ่ายสามีไม่อยากฝืนใจให้นางร่วมหลับนอน ไป่จวิ้นทำตัวไม่ถูก ได้แต่เดินเก้ ๆ กังๆ วน
เป็นวันสำคัญในชีวิตหญิงสาวที่อาจเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว แต่ว่าที่ภรรยาของเขาเลือกที่จะไม่จัดมัน ทำไมกันล่ะ เพราะแต่งโดยที่ไม่ได้รัก หรือนางไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ จะแบบไหนไป่จวิ้นก็รู้สึกไม่ชอบใจทั้งนั้นหลังจากนอนคิดอยู่ทั้งคืนก็ตัดสินใจคุยกับผู้เป็นแม่สกุลจางสูญเสียครอบครัวไปหลายคนจากภัยแล้ง สกุลไป่ไม่มีเครือญาติใกล้เคียงที่สามารถเชิญมาได้ในระยะเวลาอันสั้น ถึงมีก็มีเพียงหยิบมือเท่านั้น เพราะญาติมิตรได้ตัดขาดไปตั้งแต่รุ่นพ่อแล้ว บิดาของไป่จวิ้นก็ออกจากราชการด้วยเหตุผลเดียวกัน พอเขามาพิการไปอีกคนก็ไม่มีคนนับญาติด้วยโดยสมบูรณ์ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกติดใจในเรื่องนี้มากนัก ถึงจะไม่พอใจกับความตื้นเขินของบุคคล แต่ก็ถือว่าได้ตัดผู้ไม่ประสงค์ดีออกจากชีวิตหงเสวียนซู่บอกกับลูกชายว่านี่เป็นความปรารถนาของนางเอง เขายิ่งไม่เข้าใจใหญ่ว่าเหตุใดต้องเป็นเช่นนั้น“เพราะนางรู้สึกว่าบ้านเราไม่มีเงินหรือขอรับ”“จากที่แม่ไปพูดคุยกับบ้านนั้นมา คิดว่าไม่ใช่หรอก”“แล้วทำไม…”“คงหวาดกลัวถึงขั้นฝังใจกระมัง สกุลจางประสบภัยแล้งตั้งแต่เด็กคนนั้นยังเล็กมาก ประคับประคองอยู่ได้ไม่กี่ปีก็ไม่เหลืออะไรพอที่จะฟื้
“ขาเจ้าเป็นอย่างนั้นจะยกได้อย่างไร แม่ยกเอง!”ไป่จวิ้นนั่งอึ้งอยู่กับพื้น นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขาแม่ลูกกำลังตื่นเต้นเกินไปหรอกหรือ…“นางบอกว่ากลับจากหาของป่าจะมา แต่นี่จะเที่ยงวันแล้วยังไม่เห็นแววเลยท่านแม่”หงเสวียนซู่เหลือบมองบุตรชายที่มานั่งอาบแดดรอจนตัวไหม้ ไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรกับภาพที่เห็นนี้ดี“ไม่เข้าไปรอในบ้านล่ะ”ไป่จวิ้นเหล่มองมารดาทีตัวเองยังเอาเปลนอนมากางนั่งรอ มีสิทธิ์อะไรมาเหน็บข้าล่ะนั่น ตื่นเต้นละสิ ตื่นเต้นใช่ไหม จะได้ลูกสะใภ้แล้วนี่ไม่รู้ความน้อยเนื้อต่ำใจก่อนหน้านี้ที่ฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวหายไปไหนหมด พอได้ยินว่านางจะมาเขาก็ไม่ได้คิดเรื่องอื่นอีกเลยเป็นเอามากชายหนุ่มอดยิ้มแห้งให้กับสภาพตัวเองไม่ได้หากนางบอกว่าไปหาของป่าก็คงอาศัยอยู่แถวหมู่บ้านนายพรานกระมัง ที่นั่นอยู่ใกล้ป่าที่สุด ขึ้นลงเขาสะดวก แต่ก็เสี่ยงถูกสัตว์ป่าโจมตีง่ายเช่นกัน อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็จะเที่ยงวันแล้วแต่นางยังไม่มา เช่นนี้ไม่ใช่ว่าเกิดอะไรขึ้นหรอกหรือบุรุษอาภัพรักอย่างเขายังไม่ทันแต่งงานก็จะเป็นหม้ายเสียแล้ว แบบนี้ไม่ได้สิ ถ้าสุดท้ายจะลงเอยแบบนี้สู้เขาตายไปในสนามรบเลยคงดีกว่าระหว่างกำลังตัดพ้อต่
แม้ว่าจะถึงคราวสิ้นอายุขัย ก็ต้องไม่ใช่มาจากการที่พวกเขาไม่มีแม้แต่ความสามารถจะยื้อท่านผู้ชราให้อยู่ได้นานอีกหน่อย ต้องลาจากกันแค่เพียงเพราะไร้ความสามารถช่างน่าอดสูเหลือเกินต่อให้มารดาคัดค้านเรื่องนี้ จางอวี๋จิงก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ กระท่อมหลังน้อยที่อาศัยกันอยู่อย่างแออัดเงียบเชียบอย่างที่ไม่เคยเป็น บรรยากาศอึมครึมแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณบ้านจนน่าหดหู่เหออิงเห็นบุตรสาวกลับมาแล้วก็รีบเข้าไปถามไถ่ จางอวี๋จิงอธิบายให้ครอบครัวฟังอย่างใจเย็น“ท่านพี่ไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลย” น้องชายของนางไม่พอใจมาก แต่ก็ค้านอะไรไม่ได้ ซึ่งตอกย้ำความไร้สามารถของตนบิดามารดารู้สึกผิดต่อบุตรสาวจนไม่กล้ามองหน้าลูก พวกเขาต้องอับจนหนทางขนาดไหนกันถึงบีบให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ต้องสละตนเองถึงขนาดนี้“โธ่ ลูกแม่ เจ้าไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย” เหออิงลูบแก้มบุตรสาวทั้งน้ำตานางเข้าใจว่ามารดาเป็นห่วง อีกทั้งตัดสินใจกะทันหันแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชมอะไร แต่ความมุ่งมั่นของนางไม่สั่นคลอนง่าย ๆ หรอก นางจะไม่เปลี่ยนใจหรือขอร้องฮูหยินท่านให้ยกเลิกข้อตกลงด้วย“ท่านพ่อ ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้นได้โปรดอย่าคิดโทษต
ความแน่วแน่ของนางส่งผ่านออกมาทางแววตา แต่แค่ลมปากไม่อาจเชื่อได้ ถึงจะมุ่งมั่นตั้งใจอย่างไรก็ไม่มีสิ่งใดยืนยันว่า อนาคตนางจะไม่คิดหักหลังขึ้นมาเห็นหงเสวียนซู่เงียบไปนางก็เริ่มใจเสีย จางอวี๋จิงคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้วจึงได้มาที่นี่ ทั้งที่ฮูหยินก็กำลังตกที่นั่งลำบาก แต่ทำไมถึงได้ลังเลนานนัก หรือเงื่อนไขของสะใภ้บ้านนี้ต้องเป็นสตรีที่คู่ควรด้วยเช่นนั้นจางอวี๋จิงก็เข้าใจแล้วใบหน้าหญิงสาวหมองลงทันตา นางลุกจากเก้าอี้ออกมายืนโค้งลา“ข้าคงรบกวนฮูหยินสินะเจ้าคะ ขออภัยด้วย ข้าไม่ทันได้สังเกตเลย”จางอวี๋จิงเดินก้มหน้าก้มตาออกไปอย่างรีบร้อน หงเสวียนซู่ที่กำลังพิจารณาหลาย ๆ อย่างตกใจจนเอ่ยรั้งนางไว้แทบไม่ทัน ไม่คิดว่าอยู่ ๆ จะพรวดพราดออกไปเลยแบบนี้“เดี๋ยวก่อน! เดี๋ยว! เจ้าจะรีบไปไหนกัน ข้ายังไม่ได้ไล่เจ้าเสียหน่อย”จางอวี๋จิงเอียงศีรษะเล็กน้อยคล้ายไม่เข้าใจ“ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีคุณสมบัติหรือเจ้าคะ?”“คุณสมบัติอะไรกัน”“ก็…อย่างเช่นฐานะควรเสมอหรือไม่ห่างชั้นกันมากน่ะเจ้าค่ะ บ้านไหน ๆ ก็เป็นแบบนี้” ประโยคหลังนางเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่หงเสวียนซู่ก็ได้ยินอยู่ดี“...”ต่อให้คนที่นี่นิยมทำแบบนั้นแ
“ท่านแม่ พอเถอะขอรับ” ไป่จวิ้นบอกมารดาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยไม่ต่างกับคนเป็นแม่“...แม่ขอโทษนะจวิ้นเอ๋อร์” ถ้าหากนางไม่รบเร้าให้ลูกรับราชการตั้งแต่ต้น เรื่องคงไม่กลายเป็นแบบนี้“ไม่ใช่ความผิดท่านแม่เสียหน่อย อย่าโทษตัวเองเลยขอรับ แล้วข้าก็เป็นคนตัดสินใจในท้ายที่สุด ท่านแม่ไม่ได้บังคับข้าเสียหน่อย”หงเสวียนซู่พูดไม่ออก บุตรชายผู้กตัญญูและซื่อสัตย์ของนางต้องมีสภาพเป็นแบบนี้ เพราะมีหัวหน้าไม่ได้ความ กองทหารที่ไป่จวิ้นสังกัดอยู่นั้นมีทหารบาดเจ็บล้มตายและพิการมากเป็นประวัติการณ์ ทั้งที่ไม่ใช่สงครามใหญ่ระดับแคว้น นายกองคนนั้นถูกลงโทษจากความสะเพร่าของตน แต่แล้วอย่างไร บุตรชายของนางได้อะไรกันล่ะไป่จวิ้นรับราชการต่อไม่ได้ ถึงจะมีเงินชดเชยมอบให้ก้อนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มากมายเพราะเป็นเพียงพลทหาร หนำซ้ำยังหาคนแต่งงานด้วยไม่ได้เพราะสภาพร่างกายเช่นนี้ ไม่ว่าไปทาบทามสู่ขอลูกสาวบ้านใดล้วนถูกปฏิเสธสามีของหงเสวียนซู่จากไปแล้ว หน้าที่นี้จึงเป็นนางรับผิดชอบ หากทำไม่สำเร็จคงไม่มีหน้าไปเจอบรรพบุรุษ นางอับจนหนทางต้องยอมอายใช้เงินแลกเปลี่ยนจะไม่มีใครต้องการบุตรชายของนางเป็นสามีจริง ๆ หรือ“เฮ่อ…จวิ้นเอ๋อร์ไป
การสละชีพเพื่อปกป้องดินแดนคือเกียรติยศสำหรับทหารกล้า เพราะเชื่อแบบนั้น ต่อให้ตายจึงคิดว่าไม่เป็นไร การตายของตนจะนำมาซึ่งเกียรติยศและชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูลเป็นแน่ แต่หากกลายเป็นคนไม่สมประกอบขึ้นมา เรื่องมันจะต่างออกไป…“นี่ ได้ยินเรื่องลูกชายบ้านนั้นหรือเปล่า” เสียงซุบซิบจากคนที่ผ่านไปมาหน้ารั้วบ้านดังให้ยิน“น่าสมเพชจริง ๆ ว่าไหม สภาพแบบนั้น”“ได้ยินว่ามารดาเขายอมจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้คนที่จะยอมมาเป็นสะใภ้เลยนี่”“ตายจริง นั่นก็น่าสนใจนะ ข้ามีบุตรสาววัยออกเรือนอยู่ตั้งสองคน”“น่าสนใจอะไรกันล่ะ ลูกต้องได้สามีเป็นคนพิการ ไม่อับอายแย่รึ?”“จริงสิ สภาพแบบนั้นจะรับราชการอีกก็ไม่ได้แล้ว พาลูกข้าไปลำบากเปล่า ๆ “น้ำจากถังไม้ถูกสาดมาโครมใหญ่ หญิงสาววัยกลางคนทั้งสองร้องลั่นด้วยความตกใจ หันไปโวยวายใส่คนที่สาดน้ำใส่ตน“นี่เจ้า!”“ส่งเสียงแว้ด ๆ น่ารำคาญอยู่ได้”“เจ้าเด็กไร้มารยาทนี่”“มาส่งเสียงรบกวนหน้าบ้านคนอื่นมีมารยาทมากอย่างนั้นสิ รีบไสหัวไปเลย ไม่อย่างนั้นถังต่อไปจะเป็นมูลวัวในบ้านข้า!”คำขู่นี้ทำให้พวกนางหวีดเสียงโวยวายอันเสียดหู แต่ก็วิ่งหนีไปอย่างที่จางอวี๋จิงต้องการครอบครัวสกุลจางเค