“ในเมื่อคดีลักลอบสับเปลี่ยนอาวุธที่หอสังคีตเจียวลู่จัดการเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องสังหารเจียงจี้ต๋า เพราะข้าได้สืบมาอย่างละเอียดแล้วว่าเขาไม่ได้มีใจคิดทรยศบิดาของเจ้า แต่ทำไปเพราะถูกบุตรสาวและเจียงฮูหยินบีบคั้นให้ทำ ในเมื่อเขาเป็นลูกน้องที่จงรักภักดีต่อบิดาของเจ้าข้าจึงยังไว้ชีวิต ส่วนเรื่องของเจียงเจียวซินไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ข้าก็ไม่เคยมีใจให้นาง ข้าเห็นนางเป็นเพียงสหายร่วมเรียนของเซียนเอ๋อร์เท่านั้น” เหยาหวังเหว่ยยังไม่ทันเอ่ยจบสตรีเจ้าของห้องนอนก็เอ่ยค้านขึ้นมาเสียก่อน
“ท่านอ๋องเห็นว่าหม่อมฉันโง่มากใช่หรือไม่ หม่อมฉันมอบของตั้งมากมายให้แก่ท่านอ๋อง โดยเฉพาะเสื้อคลุมที่หม่อมฉันใช้เวลาตั้งนานในการเย็บปัก แต่มิเคยเห็นท่านอ๋องมอบสิ่งใดตอบแทนหม่อมฉันเลย ไม่เหมือนกับเจียวซินที่แม้จะไม่เคยมอบสิ่งใดให้ท่านอ๋อง แต่กลับได้พระเมตตาจากพระองค์ ทั้งขนมและเครื่องประดับมีมาให้ไม่เคยขาด แล้วแบบนี้ยังจะมาบอกว่าไม่คิดอันใดอีก” นางเอ่ยน้ำเสียงประชดประชัน
ตอนแรกที่ฟางหนิงหลินรู้นางก็คิดที่จะตัดใจ แต่เมื่อนางเห็นว่าเสิ่นหลิวหยางและองค์ชายเหยาซีฮันก็ม
หลังจากนั่งไตร่ตรองถึงผลได้ผลเสียแล้วในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ เหยาหวังเหว่ยจึงจูบหน้าผากของสตรีที่อยู่ในอ้อมแขนแทนคำบอกลา เพราะเขาต้องออกจากจวนหลังนี้ก่อนที่ฟ้าจะสาง มิเช่นนั้นคงไม่มีมุมมืดใดในจวนให้เขาหลบซ่อนเพื่อแอบออกไปได้เป็นแน่ในระหว่างทางกลับตำหนักนอกวัง เหยาหวังเหว่ยบังเอิญเห็นรถม้าของสวีจื้อซานวิ่งไปคนละทางกับจวนตระกูลสวีจึงนึกแปลกใจ ด้วยความสงสัยเขาจึงได้แอบตามไปอย่างลับ ๆ แน่นอนว่าในยามนี้มิใช่ใครจะมาเพ่นพ่านไปมาได้ตามใจ แต่เมื่อทหารเวรยามเห็นรถม้าของหัวหน้าองครักษ์ตำหนักบูรพาย่อมต้องรู้สึกเกร็งกลัวอยู่บ้าง จึงได้ปล่อยผ่านไปแต่โดยดีเหยาหวังเหว่ยตามไปถึงจวนตระกูลเจียงจึงรู้ว่าคนที่อยู่ในรถม้านั้นมิใช่สหายร่วมเรียนของเขาแต่เป็นคุณหนูตระกูลเจียง ถึงยามที่นางเดินออกมาจากรถม้าจะใช้เสื้อคลุมตัวใหญ่ที่ลายดูคุ้นตาคลุมศีรษะเอาไว้ แต่กำไลหยกที่ข้อมือของนางก็ทำให้เขาจำได้ทันทีบุรุษชุดดำที่ซ่อนเร้นกายอยู่นั้นถึงกับขมวดคิ้วสงสัยว่าเหตุใดเจียงเจียวซินถึงได้นั่งรถม้าของสวีจื้อซานกลับมา อีกทั้งยังเอาผ้าคลุมขององครักษ์สวีคลุมอำพรางตัวมาอีกด้วย เพราะที่เขารู้มาในบรรด
“เช่นนั้นก็ดี แค่ครั้งเดียวก็หวังว่าจะเป็นบทเรียนให้เจ้าได้ เพียงแต่ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้หน่อย หากวันหน้าเจ้าคิดแค้นอยากเอาคืนมาคิดบัญชีที่ข้า แต่อย่าได้คิดจะไปลงกับหลินเอ๋อร์ เพราะอย่างไรเสียหากเจ้าไม่คิดใช้แผนการชั่วช้าเช่นวันนี้ เจ้าก็คงไม่ลงเอ่ยเช่นนี้อย่างแน่นอน” สวีจื้อซานกล่าวเสียงแข็ง สีหน้าจริงจังถึงส่วนล่างของเขาจะยังต้องการเชยชมกลีบบุปผางาม แต่เขาก็มิอาจเสียหน้ารั้งสตรีตัวน้อยเอาไว้ จึงต้องกล่าวกับนางให้ชัดเจนก่อนที่จะแยกย้ายกันไป“อย่าเป็นห่วงเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านหัวหน้าองครักษ์กุมความลับของข้าน้อยเอาไว้ ไหนเลยข้าน้อยจะกล้าลองดี” หญิงสาวซ่อนแววตาโศกไว้ใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มหากเป็นแต่ก่อนนางคงโมโหเลือดขึ้นหน้าที่ได้ยินคนเอ่ยปกป้องฟางหนิงหลิน และรู้สึกอิจฉานางที่ไม่ว่าผู้ใดก็มักชอบสหายของนางผู้นี้มากกว่านางเสมอ แต่ตอนนี้นางกลับไม่รู้สึกอิจฉาแต่กลับเสียใจที่นางมัวแต่อยากเอาชนะฟางหนิงหลินจนทำลายชีวิตตนเอง หากนางคบฟางหนิงหลินอย่างจริงใจ ป่านี้นางคงมองคุณชายตระกูลใหญ่ที่มาตามจีบและเลือกสักคนมาเป็นคู่ชีวิตไปนานแล้วเมื่อได้ยินคำ
“เจ้าอ่านนิยายมากเกินไปแล้วกระมัง หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าจะติดใจเจ้าจนต้องทำเช่นนั้นเลยหรือ ข้าเพียงกลัวหากเจ้ากลับบ้านไปเดินขาสั่นก้าวขาไม่ออก มารดาของเจ้าคงจะรีบให้ข้าไปสู่ขอเป็นแน่”เจียงเจียวซินเพียงได้ฟังคำพูดของบุรุษตัวสูงกว่าสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา นางถึงกับหุบยิ้มอย่างรวดเร็วดวงตาเศร้าสลดก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเจือความน้อยใจ“เช่นนี้นี่เอง มิต้องห่วงเจ้าค่ะ ขอแค่ท่านหัวหน้าองครักษ์ไม่แพร่งพรายเรื่องที่ข้าน้อยทำ ข้าน้อยก็มิคิดฝืนใจให้ท่านรับข้าน้อยเข้าจวนหรอกเจ้าค่ะ”สวีจื้อซานเพียงได้ยินคำพูดและน้ำเสียงของนาง ความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้ามาในใจ ความคิดในหัวของเขาเริ่มตีกันเอง เพราะใจหนึ่งเขาก็คิดว่านางเป็นเพียงสตรีคนนึงเท่านั้น คำพูดของเขาก่อนหน้าจึงดูจะรุนแรงเกินไป อีกใจเขาก็คิดว่าในเมื่อนางกล้าทำเช่นนี้ แล้วนางจะน้อยใจหรือเสียใจอันใดกับแค่คำพูดของเขา หรือนางกำลังเสแสร้งให้เขาสงสารเหมือนที่แสดงให้บุรุษคนอื่น ๆ เห็นอย่างเช่นที่ผ่านมาเพียงแค่สวีจื้อซานคิดว่าเขากำลังถูกเจียงเจียวซินปั่นหัวให้หลงเชื่อในการแสดง ว่านางเป็
ไม่เพียงสวีจื้อซานเท่านั้นที่กอดรัดสตรีตรงหน้า แต่สตรีตัวน้อยก็ตอบสนองลูบไล้กอดบุรุษตัวโตกลับเช่นกัน ทั้งสองขยับเปลี่ยนมุมปากเพื่อให้จูบกันได้ลึกซึ้งขึ้น ส่วนร่างกายก็ขยับเสียดสีกันไปมา จูบอันเร่าร้อนบวกกับการลูบไล้กอดรัดของทั้งสองกระตุ้นความกำหนัดในตัวของทั้งคู่ให้พุ่งสูงขึ้น ราวกับต่างฝ่ายต่างเติมเต็มเชื้อเพลิงราคะให้กันและกันหญิงสาวยกสะโพกขึ้นลงอย่างช้า ๆ ถึงจะยังรู้สึกเจ็บจนมีน้ำใส ๆ ไหลออกจากหางตา แต่เมื่อนางสัมผัสได้ว่าแท่งร้อนด้านในกระตุกคล้ายบอกให้นางรับรู้ถึงความต้องการของบุรุษตัวโต นางจึงตอบสนองเพื่อให้เขาพอใจบุรุษตัวโตผละปากออกเพื่อให้นางได้พักหายใจ แต่กลับเหลือบไปเห็นน้ำใส ๆ ที่หางตางาม เขาจึงจูบซับหยาดน้ำตาของนาง ทำให้หัวใจของหญิงสาวรับรู้ถึงไออุ่นจากบุรุษตรงหน้า ทั้งสองจับจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยตัณหาสตรีที่อยู่ด้านบนขยับสะโพกโยกขึ้นลงตามใจ จากเนิบช้าก็เริ่มเร่งจังหวะขึ้น จนในที่สุดความเสียวซ่านก็เข้ามาแทนที่ความเจ็บ นางรัวสะโพกถี่ขึ้นจนเกิดเสียงดังตับ ๆ เป็นจังหวะ บุรุษใต้ร่างถึงกับเงยหน้าขึ้นซูดปากด้วยความเสียว นางยกสะโพกขึ้นสูงก่อนที่จะกดลงจนมิดแท่ง
“เช่นนั้นนอกจากอาหารและสุราบนโต๊ะนั้น เจ้าเตรียมอันใดมาอีก” เขาเอ่ยต่อทั้งที่มือยังลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังหญิงงาม เขาเลื่อนฝ่ามือร้อนไล่ลงมายังสะโพกผายก่อนจะคลึงเคล้าอย่างหนักมือเพื่อกระตุ้นอารมณ์หญิงสาวบนตักหญิงสาวยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย แน่นอนว่าตั้งแต่นางได้รับจดหมายตอบกลับเมื่อวานนี้ นางก็ได้นำตำราวสันต์ และตำราที่มารดาของนางอุตส่าห์ให้คนไปหาซื้อมาให้ นั้นก็คือตำราที่เหล่าแม่เล้าในหอนางโลมใช้ในการสอนนางโลมโคมเขียวเพื่อเอาไว้เอาใจแขกที่มา ถึงตอนแรกนางจะอายอยู่บ้างที่เปิดอ่าน แต่เพื่อทำให้องค์รัชทายาทหลงใหลในตัวของนาง นางจึงต้องศึกษาเอาไว้นางดึงเชือกคาดเอวของบุรุษตรงออกพร้อมลุกขึ้นนั่งคร่อมฝ่ายตรงข้าม หญิงสาวแหวกอกเสื้อออกกว้างพร้อมใช้ฝ่ามือเรียวเล็กลูบไปตามแผงอกแกร่งกำยำอย่างมีจริต ก่อนที่จะใช้ปลายนิ้วดันคางของอีกฝ่ายขึ้นเล็กน้อย ปากเล็กไล่จูบพรมตั้งแต่ต้นคอลงมาเรื่อย ๆ ส่วนมือทั้งสองก็ลูบไล้ไปตามกล้ามเนื้อแกร่งพร้อมไล่ถอดอาภรณ์ที่บุรุษใส่อยู่ ไม่ว่าปลายนิ้วหรือลิ้นของนางลากผ่านเรือนร่างของเขาตรงไหน ตรงจุดนั้นก็ร้อนผ่าวราวมีไฟลุกขึ้นมาทันทีเพียงพริบตาเดียวบุรุษตัวสูงกว่าก็เหลือเพียงกางเ
“กิน” น้ำเสียงเด็ดขาดของเขาทำให้อีกฝ่ายที่กำลังกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่รีบคีบอาหารเข้าปากตนเองทันทีนางไม่เพียงกินอาหารทุกอย่างที่เตรียมมา แม้แต่สุราที่นางนั้นขโมยของบิดามาเพื่อมอมเมาเหยาซีฮันนางเองก็ดื่มเข้าไปหลายจอก ก่อนที่จะหันมาเอ่ยกับบุรุษตรงหน้า“ท่านหัวหน้าองครักษ์สวีพอใจแล้วหรือไม่ เช่นนั้นเชิญท่านดื่มกินตามรับสั่งขององค์รัชทายาทได้เลยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพร้อมผายมือเชิญบุรุษตรงหน้าดวงตาสองคู่สบกันนิ่งแต่แววตานั้นมิใช่แสดงความรักที่พวกเขามีต่อกันแต่เป็นความรู้สึกเกลียดชังที่มีให้อีกฝ่าย แน่นอนว่าเมื่อสตรีเจ้าของอาหารเอาคำขององค์รัชทายาทมาอ้าง เขาเองก็มิอาจปฏิเสธได้อีกคนยอมกินอาหารของสตรีตรงหน้าทั้งที่รู้ว่ามียาอะไรผสมอยู่ เพียงเพื่อคิดจะกำจัดสตรีผู้นี้ไม่ให้มีอำนาจเหนือสตรีที่ตนเองมีใจรัก ส่วนสตรีเจ้าของอาหารนั้นกลับถูกบังคับให้กินของที่ตนนั้นเตรียมมาเพื่อเอาชีวิตรอด ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าหากกินเข้าไปแล้วจะเป็นเช่นไร แต่จะให้ทำอย่างไรได้ระหว่างตัวนางกับชีวิตของคนทั้งตระกูล มิต้องคำนวณนางก็เลือกได้ทันทีทั้งคู่ต่างคีบอาหารเข้าปากพร้อมดื่มสุรา สตรีรินสุราที่ตนเตรียมมาให้บุรุษเจ้าของเ