ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ

ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ

last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-06-28
โดย:  yourcaffeine ยังไม่จบ
ภาษา: Thai
goodnovel18goodnovel
คะแนนไม่เพียงพอ
9บท
176views
อ่าน
เพิ่มลงในห้องสมุด

แชร์:  

รายงาน
ภาพรวม
แค็ตตาล็อก
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป

เธอเป็นหมอจากยุคปัจจุบัน ตายแล้วฟื้นในร่างสตรีไร้ค่าผู้ไม่เป็นที่ต้องการของคนในตระกูล มิหน่ำซ้ำยังถูกจับแต่งงานแทนพี่สาว โดยเจ้าบ่าวคืออ๋องพิการขาเป๋

ดูเพิ่มเติม

บทที่ 1

บทที่ 1

สายฝนพรำลงมาไม่ขาดสาย สาดซัดม่านน้ำสีเทาหม่นคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลวงต้าจิง หลังคาดินเผาสีเข้มของหมู่ตึกระฟ้าและจวนขุนนางชั้นสูงสะท้อนเงาของเมฆฝนที่ลอยต่ำ กลืนกินสีสันสดใสของวันวานจนหมดสิ้น เสียงหยาดฝนกระทบกระเบื้องมุงหลังคาดังเป็นจังหวะที่ไม่สม่ำเสมอ คล้ายเสียงถอนหายใจอันยาวนานของแผ่นดินที่กำลังเหนื่อยล้า

บนถนนหินฉิงสือที่เปียกลื่น ผู้คนเดินขวักไขว่บางตากว่าปกติ พ่อค้าหาบเร่ต่างรีบเก็บแผงลอยของตนหลบเข้าชายคา รถม้าของขุนนางผู้มั่งคั่งเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทิ้งรอยล้อเปื้อนโคลนไว้เบื้องหลัง บรรยากาศของเมืองหลวงที่เคยคึกคักและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับดูซบเซาและแฝงเร้นไว้ด้วยความตึงเครียดบางอย่างที่มองไม่เห็น

ความตึงเครียดนี้ไม่ได้มาจากเมฆฝนเพียงอย่างเดียว แต่มันซึมลึกอยู่ในอากาศที่ผู้คนหายใจเข้าไป เป็นเงาที่ทอดทับอยู่เหนือทุกการสนทนาในโรงเตี๊ยมและร้านน้ำชา ข่าวลือเรื่องศึกสายเลือดที่กำลังก่อตัวขึ้นในวังหลวงระหว่างองค์รัชทายาทผู้เปี่ยมบารมี กับเหล่าท่านอ๋องผู้เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แพร่สะพัดไปราวน้ำป่าไหลหลาก และในบรรดาชื่อของท่านอ๋องทั้งหลาย ไม่มีชื่อใดที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกซับซ้อนได้เท่ากับชื่อของ "ฉินอ๋อง"

บ้างก็เอ่ยถึงเขาด้วยความหวาดกลัว เล่าลือถึงความเหี้ยมโหดในสนามรบเมื่อครั้งอดีต บ้างก็เอ่นถึงด้วยความสมเพชเวทนา ถึงชะตากรรมที่ทำให้แม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรต้องกลายเป็นคนพิการขาเป๋ อารมณ์แปรปรวนร้ายกาจ เก็บตัวเงียบอยู่ในจวนอ๋องอันโอ่อ่าแต่กลับวังเวงราวกับป่าช้า และบ้างก็เอ่ยถึงด้วยความดูแคลน กล่าวว่าเขาคือพยัคฆ์สิ้นลายที่รอวันตายอย่างไร้ค่า

สายฝนไม่ได้ชะล้างความตึงเครียดนี้ให้จางหายไป ตรงกันข้าม มันกลับขับเน้นให้ทุกสิ่งเด่นชัดขึ้น ราวกับหยดน้ำที่เกาะบนใยแมงมุม เผยให้เห็นโครงสร้างอันซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ และในจวนของเสนาบดีฝ่ายขวา จ้าวหยวนซาน ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนถนนสายหลักของเมืองหลวง ใยแมงมุมแห่งโชคชะตาก็กำลังถักทอเส้นใยที่เปราะบางที่สุดเส้นหนึ่งอย่างเงียบงัน

จวนเสนาบดีฝ่ายขวาใหญ่โตและงดงามสมฐานะ กำแพงสูงตระหง่านสีขาวตัดกับหลังคาสีเทาเข้ม ประตูไม้สีแดงบานใหญ่สลักลวดลายมงคลปิดสนิทแน่นหนา สวนภายในได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ต้นไม้ทุกต้นถูกตัดแต่งอย่างประณีตราวกับภาพวาด ก้อนหินทุกก้อนถูกจัดวางตามหลักฮวงจุ้ยอย่างไม่มีที่ติ ทว่าความสมบูรณ์แบบนี้กลับให้ความรู้สึกเย็นชาและไร้ชีวิตชีวา คล้ายกับความงามของบุปผาในฤดูหนาวที่น่าชื่นชมแต่ไม่อาจเข้าใกล้

ลึกเข้าไปในเขตจวนด้านหลังสุด ที่ซึ่งความโอ่อ่าของตัวอาคารหลักเริ่มจางหายไป มีลานเล็กๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่อย่างหลบเร้นและเงียบเชียบ ที่นี่คือ เรือนซิงอวิ๋น หรือเรือนเมฆาเดียวดาย ชื่อของมันช่างเหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงอย่างน่าใจหาย เรือนไม้หลังเล็กดูทรุดโทรมกว่าส่วนอื่นๆ ของจวน สีที่เคยสดใสบนเสาและขื่อคานบัดนี้ซีดจางและหลุดล่อน กำแพงรอบลานมีรอยคราบตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะจับอยู่ทั่วไป พื้นหินที่ปูทางเดินมีวัชพืชแทรกขึ้นมาตามร่อง บ่งบอกถึงการขาดการดูแลเอาใจใส่มาเป็นเวลานาน

ที่นี่คือที่พำนักของคุณหนูสามแห่งจวนเสนาบดี จ้าวลี่อิง

สาวใช้สองนางกำลังเดินกางร่มกระดาษน้ำมันฝ่าสายฝนมาตามทางเดินแคบๆ ที่มุ่งหน้าสู่เรือนซิงอวิ๋น นางหนึ่งถือถาดอาหารที่ดูจืดชืด ส่วนอีกนางหนึ่งประคองถาดใส่ถ้วยยาที่ส่งกลิ่นขมเหม็นเขียวคละคลุ้งออกมา

“เร็วหน่อยเถอะน่า เสี่ยวชุ่ย ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆ หรอกนะ ยิ่งฝนตกแบบนี้ยิ่งรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูก” สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวหลิงบ่นอุบ พลางขยับร่มให้กันฝนได้มากขึ้น ใบหน้าของนางบิดเบ้เล็กน้อยเมื่อเหลือบมองไปยังเรือนซิงอวิ๋นที่อยู่เบื้องหน้า

“ใจเย็นๆน่าพี่หลิง” เสี่ยวชุ่ยตอบกลับ แม้จะพูดปลอบแต่สีหน้าของนางก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน “ก็แค่เอาของมาส่ง เดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว ดีซะอีกที่มาเรือนนี้ ไม่ต้องคอยระวังตัวเหมือนตอนรับใช้คุณหนูใหญ่”

“หึ ก็จริงของเจ้า” เสี่ยวหลิงแค่นเสียง “รับใช้คุณหนูสามนี่มันง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดอะไรผิดหู เพราะถึงพูดไปนางก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี”

บทสนทนาของพวกนางไม่ได้มีการลดเสียงลงแม้แต่น้อย ราวกับไม่เกรงว่าเจ้าของเรือนจะได้ยิน หรืออาจจะเป็นเพราะพวกนางไม่ใส่ใจเลยต่างหากว่าเจ้าของเรือนจะได้ยินหรือไม่

“ข้ายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฮูหยินกับท่านเสนาบดีจะตัดสินใจเช่นนี้จริงๆ” เสี่ยวชุ่ยลดเสียงลงเล็กน้อย แต่ก็ยังดังพอที่จะได้ยินชัดเจนท่ามกลางเสียงฝน “ให้คุณหนูสามแต่งเข้าจวนฉินอ๋อง... นี่มัน... นี่มันผลักนางลงไปในกองไฟชัดๆ ไม่สิ ต้องเรียกว่าโยนขยะไปรวมกับกองขยะมากกว่า”

“ชู่ววว! พูดจาให้มันน้อยๆ หน่อย” เสี่ยวหลิงปราม แต่ดวงตากลับเป็นประกายอย่างคนที่ชอบฟังเรื่องซุบซิบนินทา “ถึงจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ แต่เจ้าก็รู้ว่าฉินอ๋องผู้นั้นเป็นอย่างไร พิการขาเป๋ อารมณ์ร้ายกาจ ว่ากันว่าพระชายาคนก่อนก็ตรอมใจตายเพราะทนความโหดร้ายของเขามิไหว ส่วนคุณหนูสามของเรา... เฮ้อ...” นางถอนหายใจยาว “ร่างกายอ่อนแอ สติปัญญาทึบ นอกจากใบหน้าที่พอจะดูได้อยู่บ้างแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง การแต่งงานครั้งนี้ก็คงเหมือนการเอาแกะป่วยๆ ไปส่งให้หมาป่ากินนั่นล่ะ”

“ข้าได้ยินพวกพี่ๆ ในครัวคุยกันว่า ท่านเสนาบดีโมโหมากที่องค์รัชทายาทไม่ได้เลือกคุณหนูใหญ่เป็นพระชายารอง แต่กลับมีราชโองการประทานสมรสระหว่างจวนเรากับจวนฉินอ๋องมาแทน ท่านเสนาบดีคงเห็นว่าไหนๆ ก็ต้องส่งลูกสาวไปคนหนึ่งแล้ว ก็เลยส่งคนที่ไร้ค่าที่สุดไปเสีย จะได้ไม่เสียดาย”

“ก็คงเป็นเช่นนั้นแหละ” เสี่ยวหลิงสรุป “นับเป็นบุญคุณหนาหนักแล้วที่จวนเราเลี้ยงดูนางมาจนป่านนี้ อย่างน้อยก่อนจะหมดประโยชน์ ก็ยังใช้เป็นเครื่องมือเชื่อมสัมพันธ์ทางการเมืองได้อีกครั้งหนึ่ง ถือว่าไม่เสียข้าวสุกที่เลี้ยงมา”

พวกนางหัวเราะคิกคักกับความคิดของตนเอง ก่อนจะเดินมาถึงหน้าประตูเรือนซิงอวิ๋น เสี่ยวหลิงใช้เท้าถีบประตูที่ปิดไม่สนิทให้เปิดออกเบาๆ อย่างไม่ให้เกียรติ แล้ววางถาดอาหารลงบนโต๊ะเตี้ยๆ กลางห้องอย่างแรงจนถ้วยชามกระทบกันเสียงดัง เผยให้เห็นข้าวสวยที่เย็นชืดกับผัดผักสีซีๆ และแกงจืดหนึ่งถ้วยที่แทบไม่มีเนื้อสัตว์

“คุณหนูใหญ่ พวกข้านำอาหารกับยามาให้แล้ว” เสี่ยวชุ่ยตะโกนเรียกเข้าไปยังห้องนอนด้านในอย่างไร้อารยธรรม “รีบออกมาทานตอนที่มันยังอุ่นๆ เถอะเจ้าค่ะ... อ้อ ไม่สิ มันเย็นหมดแล้วนี่นา” นางพูดแล้วก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง

ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน มีเพียงเสียงไอแค่กๆ ที่ดังออกมาเบาๆ เป็นระยะ

มุมมองของบ่าวรับใช้เป็นเพียงภาพสะท้อนที่เล็กที่สุดของสถานะของจ้าวลี่อิงในจวนแห่งนี้ สำหรับคนในครอบครัวแล้ว นางเป็นยิ่งกว่าตัวตนที่ถูกลืมเลือน... นางคือความผิดพลาด คือรอยด่างพร้อย คือความอัปยศที่ต้องซุกซ่อนไว้

สำหรับ จ้าวหยวนซาน ผู้เป็นบิดาและเสนาบดีฝ่ายขวาผู้ทรงอำนาจ จ้าวลี่อิงคือความผิดหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา นางคือบุตรสาวที่เกิดจากฮูหยินเอกคนแรกที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ในตอนแรกเกิดนางยังดูปกติเหมือนทารกทั่วไป แต่เมื่อเติบโตขึ้น ความเชื่องช้าและทึบตันทางสติปัญญาก็ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ เขาเคยทุ่มเงินจ้างอาจารย์ที่ดีที่สุดมาสอนนาง แต่ทุกคนต่างส่ายหน้าและถอนตัวไปในเวลาไม่นาน พวกเขากล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณหนูสามนั้นสุดจะเยียวยา

ในโลกของขุนนางที่ทุกย่างก้าวคือการแข่งขัน การมีบุตรสาวที่โง่เขลาคือภาระอันหนักอึ้ง เขาไม่สามารถพานางไปออกงานสังคมใดๆ ได้ นางไม่สามารถสร้างเครือข่ายหรือส่งเสริมบารมีให้ตระกูลได้เหมือนบุตรสาวของขุนนางคนอื่นๆ ทุกครั้งที่มองเห็นนาง เขาก็รู้สึกถึงความล้มเหลวของตนเอง ความรักฉันบิดาที่มีต่อนางเหือดแห้งไปนานแล้ว เหลือเพียงความรำคาญใจและความรู้สึกว่าเป็นภาระ ราชโองการประทานสมรสกับฉินอ๋องจึงเปรียบเสมือนโอกาสสุดท้ายที่เขาจะรีดเค้นประโยชน์จากบุตรสาวที่ไร้ค่าคนนี้ได้ มันคือการแลกเปลี่ยนทางการเมืองที่เจ็บปวดแต่จำเป็น เขามองว่าการส่งนางไปให้ฉินอ๋อง ก็ไม่ต่างจากการทิ้งหินถ่วงน้ำหนักที่ผูกติดขาเขามานานหลายปี

สำหรับ จ้าวฮูหยิน หรือฮูหยินรองที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ในจวน นางมองจ้าวลี่อิงด้วยสายตาที่เย็นชายิ่งกว่าผู้เป็นบิดาเสียอีก จ้าวลี่อิงคือหนามที่ทิ่มแทงใจนางอยู่เสมอ คือเครื่องเตือนใจที่มีชีวิตว่านางไม่ใช่ภรรยาคนแรกของจ้าวหยวนซาน ความเกลียดชังที่นางมีต่อฮูหยินเอกผู้ล่วงลับถูกส่งผ่านมายังบุตรสาวของนางอย่างครบถ้วน นางไม่เคยทุบตีหรือดุด่าจ้าวลี่อิงอย่างโจ่งแจ้ง เพราะนั่นจะทำลายภาพลักษณ์ "ฮูหยินผู้เปี่ยมเมตตา" ของนางจนหมดสิ้น แต่นางเลือกที่จะใช้ความเย็นชาและการเพิกเฉยเป็นอาวุธ สั่งให้บ่าวรับใช้ลดปริมาณอาหารและเสื้อผ้าของจ้าวลี่อิงลงทีละน้อย ย้ายนางไปอยู่ที่เรือนซิงอวิ๋นอันห่างไกลและทรุดโทรม และทำราวกับว่าจวนแห่งนี้ไม่มีคุณหนูใหญ่อยู่เลย การที่จ้าวลี่อิงต้องแต่งออกไปให้ฉินอ๋อง ยิ่งทำให้นางรู้สึกยินดีปรีดาเป็นที่สุด เพราะนอกจากจะกำจัดเสี้ยนหนามชิ้นนี้ไปให้พ้นตาแล้ว ยังเป็นการเปิดทางให้บุตรสาวในสายเลืิอดของนางได้มีโอกาสที่ดีกว่าในอนาคต

สำหรับพี่น้องร่วมบิดา ความรู้สึกก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย

จ้าวลี่เฟิ่ง คุณหนูรองผู้เป็นความภาคภูมิใจของตระกูล นางงดงามปราดเปรื่อง มีความสามารถทั้งด้านดนตรี หมากล้อม และบทกวี นางมองจ้าวลี่อิงราวกับมองเศษธุลีดินที่ติดอยู่บนชายกระโปรงผ้าไหมราคาแพงของนาง การมีพี่สาวเช่นนี้คือความอัปยศอดสู นางไม่เคยเรียกจ้าวลี่อิงว่า ‘ท่านพี่’ แม้แต่ครั้งเดียว ในสายตาของนาง จ้าวลี่อิงไม่มีค่าพอที่จะให้เสียเวลาแม้เพียงครู่เดียวเพื่อจะนึกถึง

จ้าวเหวินเทา คุณชายใหญ่ผู้ทะเยอทะยานและกำลังไต่เต้าในราชสำนัก ยิ่งกว่าเพิกเฉยเสียอีก เขาลบจ้าวลี่อิงออกไปจากสมการชีวิตโดยสิ้นเชิง ทำราวกับว่าตนเองมีน้องสาวเพียงคนเดียวคือจ้าวลี่เฟิ่ง การแต่งงานของจ้าวลี่อิงกับฉินอ๋องสำหรับเขาแล้วไม่มีความหมายใด ๆ เลย ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันก็เป็นเพียงเรื่องของคนที่ไม่มีตัวตนในสายตาเขาเท่านั้น

และทั้งหมดนั้น คือโลกที่จ้าวลี่อิงอาศัยอยู่... โลกที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าและความเย็นชา

ภายในห้องนอนที่อับชื้นและมีเพียงแสงสลัวจากหน้าต่างบานเล็ก ร่างผอมบางของหญิงสาวคนหนึ่งนอนขดตัวอยู่บนเตียงแข็งๆ นางไอแค่กๆ จนตัวโยน ร่างกายสั่นสะท้านจากความหนาวเย็นของอากาศและความอ่อนแอของร่างกาย ผมยาวสีดำสนิทของนางยุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ริมฝีปากแห้งแตก ดวงตาคู่สวยที่ควรจะสดใสกลับดูเหม่อลอยและว่างเปล่า นี่คือจ้าวลี่อิงในวัยสิบแปดปี นางดูเปราะบางราวกับตุ๊กตากระเบื้องที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ

นางได้ยินเสียงของสาวใช้ที่หน้าห้อง ได้ยินทุกถ้อยคำดูแคลนที่พวกนางเอ่ยออกมา แต่นางไม่มีแรงแม้แต่จะรู้สึกโกรธหรือเสียใจ ความเจ็บปวดจากการถูกกระทำเช่นนี้มันด้านชาไปหมดแล้ว มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นเสียงประกอบฉากที่นางได้ยินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

นางไม่ใช่คนปัญญาอ่อนอย่างที่ใครตราหน้า นางเข้าใจทุกอย่าง ทั้งสายตาเย็นชาของบิดา เข้าใจรอยยิ้มเสแสร้งของแม่เลี้ยง เข้าใจความรังเกียจเดียดฉันท์ของน้องสาว และเข้าใจการเพิกเฉยของน้องชาย แต่การถูกทอดทิ้งและทำร้ายจิตใจมาตั้งแต่จำความได้ ได้กัดกร่อนความมั่นใจและความคิดของนางจนแทบไม่เหลือชิ้นดี นางเรียนรู้ที่จะเงียบ เรียนรู้ที่จะทำตัวให้เล็กที่สุดราวกับไม่มีตัวตน เพราะทุกครั้งที่นางพยายามจะพูดหรือทำอะไร มันมักจะจบลงด้วยการถูกดุด่าและเยาะเย้ยว่า "โง่เง่า" เสมอ

นางจึงเลือกที่จะขังตัวเองอยู่ในโลกใบเล็กๆ ของนาง โลกที่ไม่มีใครสนใจ และไม่มีใครทำร้ายนางได้... อย่างน้อยก็ไม่มากไปกว่าที่เป็นอยู่

แต่แล้ว ราชโองการประทานสมรสก็ทำลายกำแพงที่เปราะบางของนางลงจนหมดสิ้น

ฉินอ๋อง

นางเคยได้ยินเรื่องราวของเขาจากปากของสาวใช้ที่ลอบนินทากัน ชายผู้ถูกขนานนามว่าเป็นปีศาจร้ายในร่างมนุษย์ คนที่แม้แต่บิดาของนางซึ่งเป็นถึงเสนาบดียังต้องเกรงใจอยู่หลายส่วน ครอบครัวกำลังจะส่งนางจากขุมนรกหนึ่ง ไปยังขุมนรกที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า

นางค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า ร่างกายที่อ่อนแอปวดร้าวไปทุกส่วน นางมองไปยังถาดอาหารและถ้วยยาที่วางอยู่บนโต๊ะ อาหารที่เย็นชืดและยาที่ขมปี๋ มันคือทั้งหมดที่จวนแห่งนี้มอบให้นาง

หยดน้ำตาหยดหนึ่งไหลรินลงมาจากหางตาที่เหม่อลอย มันไม่ใช่หยดน้ำตาแห่งความเสียใจ แต่เป็นหยดน้ำตาแห่งความเหนื่อยล้า เหนื่อยเกินกว่าจะหายใจต่อไป เหนื่อยเกินกว่าจะแบกรับความเจ็บปวดใดๆ ได้อีกแล้ว

นางยื่นมืออันสั่นเทาออกไปหยิบถ้วยยาขึ้นมา กลิ่นฉุนของมันลอยเข้าจมูกทำให้นางรู้สึกคลื่นเหียน ของเหลวสีดำสนิทในถ้วยดูคล้ายกับหมึกพิษที่พร้อมจะดับแสงสว่างสุดท้ายในชีวิตของนาง

นางรู้ดีว่าในยานี้ไม่ได้มีเพียงสมุนไพรบำรุงร่างกาย มันถูกผสมด้วยยาพิษอ่อนๆ ทีละน้อยมานานหลายเดือนแล้วโดยคำสั่งลับๆ ของจ้าวฮูหยิน มันคือยาที่กัดกร่อนร่างกายและจิตใจของนางอย่างช้าๆ ทำให้นางอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนดูเหมือนคนป่วยใกล้ตาย เป็นวิธีที่แยบยลในการกำจัดนางให้พ้นทางโดยไม่มีใครสงสัย

แต่วันนี้... นางไม่คิดจะหลีกเลี่ยงมันอีกต่อไปแล้ว

การแต่งงานกับฉินอ๋อง... กับการดื่มยาพิษถ้วยนี้ให้หมดสิ้น... บางทีอย่างหลังอาจจะเป็นความเมตตาที่แท้จริงก็ได้

นางยกถ้วยยาขึ้นจรดริมฝีปากที่แห้งผาก ดวงตาที่ว่างเปล่าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงม่านฝนสีเทาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก โลกทั้งใบดูเหมือนจะร้องไห้ไปกับชะตากรรมของนาง

ในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่ของเหลวสีดำจะไหลผ่านลำคอลงไป ภาพความทรงจำอันเลือนรางแวบเข้ามาในหัว... ภาพของสตรีงดงามผู้หนึ่งที่น่าจะเป็นมารดาผู้ล่วงลับ กำลังโอบกอดนางไว้พร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่นที่สุดในโลก

“อิงเอ๋อร์ เจ้าคือสมบัติล้ำค่าที่สุดของแม่นะ”

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบสองแก้มที่ซูบตอบ นางหลับตาลง

...และดื่มยาพิษในถ้วยจนหมดสิ้น

ความขมปร่าบาดลึกลงไปในลำคอ ตามมาด้วยความเจ็บปวดที่บิดมวนในช่องท้องอย่างรุนแรง สติของนางเริ่มเลือนหายไป ความมืดมิดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจากทุกทิศทาง ร่างของนางล้มฟุบลงบนพื้นไม้ที่เย็นเฉียบ

เสียงฝนด้านนอกยังคงดังต่อไป... แต่เสียงไอและเสียงลมหายใจที่รวยรินภายในเรือนซิงอวิ๋น... ได้เงียบหายไปตลอดกาล

ในจวนเสนาบดีที่ยิ่งใหญ่... เถ้าธุลีชิ้นหนึ่งได้สลายไปในสายฝนอย่างเงียบงัน โดยไม่มีผู้ใดรับรู้หรือใส่ใจ

แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ในเถ้าธุลีที่ดับสูญนั้น ประกายไฟดวงใหม่จากอีกโลกหนึ่ง กำลังจะถูกจุดขึ้นมาแทนที่

แสดง
บทถัดไป
ดาวน์โหลด

บทล่าสุด

บทอื่นๆ

ความคิดเห็น

ไม่มีความคิดเห็น
9
บทที่ 1
สายฝนพรำลงมาไม่ขาดสาย สาดซัดม่านน้ำสีเทาหม่นคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลวงต้าจิง หลังคาดินเผาสีเข้มของหมู่ตึกระฟ้าและจวนขุนนางชั้นสูงสะท้อนเงาของเมฆฝนที่ลอยต่ำ กลืนกินสีสันสดใสของวันวานจนหมดสิ้น เสียงหยาดฝนกระทบกระเบื้องมุงหลังคาดังเป็นจังหวะที่ไม่สม่ำเสมอ คล้ายเสียงถอนหายใจอันยาวนานของแผ่นดินที่กำลังเหนื่อยล้าบนถนนหินฉิงสือที่เปียกลื่น ผู้คนเดินขวักไขว่บางตากว่าปกติ พ่อค้าหาบเร่ต่างรีบเก็บแผงลอยของตนหลบเข้าชายคา รถม้าของขุนนางผู้มั่งคั่งเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทิ้งรอยล้อเปื้อนโคลนไว้เบื้องหลัง บรรยากาศของเมืองหลวงที่เคยคึกคักและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับดูซบเซาและแฝงเร้นไว้ด้วยความตึงเครียดบางอย่างที่มองไม่เห็นความตึงเครียดนี้ไม่ได้มาจากเมฆฝนเพียงอย่างเดียว แต่มันซึมลึกอยู่ในอากาศที่ผู้คนหายใจเข้าไป เป็นเงาที่ทอดทับอยู่เหนือทุกการสนทนาในโรงเตี๊ยมและร้านน้ำชา ข่าวลือเรื่องศึกสายเลือดที่กำลังก่อตัวขึ้นในวังหลวงระหว่างองค์รัชทายาทผู้เปี่ยมบารมี กับเหล่าท่านอ๋องผู้เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แพร่สะพัดไปราวน้ำป่าไหลหลาก และในบรรดาชื่อของท่านอ๋องทั้งหลาย ไม่มีชื่อใดที่จะทำให้ผู้ค
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-06-23
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 2
มืดจังมันไม่ใช่ความมืดใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท หรือความมืดในห้องที่ไร้แสงเทียน มันคือความมืดอันเป็นนิรันดร์ เป็นสุญญากาศที่ไร้ขอบเขต ไร้กาลเวลา และไร้ตัวตนความรู้สึกสุดท้ายของ ‘น้ำหวาน’ หรือ แพทย์หญิงจุฬา ศิริวัฒนกุล คือความร้อนระอุที่แผดเผาผิวหนัง เสียงแก้วแตกละเอียดดุจเสียงอสุนีบาตฟาดผ่านกลางห้องปฏิบัติการ กลิ่นสารเคมีที่คุ้นเคยแปรเปลี่ยนเป็นไอพิษมรณะ และภาพสุดท้ายคือเปลวไฟสีส้มแดงที่ลามเลียเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงสู่ความว่างเปล่าอันสมบูรณ์นางควรจะตายแล้วแน่ ใช่ นางมั่นใจว่าตนเองตายแล้ว การระเบิดในห้องแล็บนิติวิทยาศาสตร์ระดับนั้นไม่เหลือโอกาสให้ใครรอดชีวิตแต่ในความมืดมิดอันเป็นอนันต์นี้ กลับมีบางสิ่งเคลื่อนไหวมันไม่ใช่ภาพ ไม่ใช่เสียง แต่เป็น ‘ความรู้สึก’ ที่ไหลบ่าเข้ามาในมโนสำนึกที่ไร้รูปร่างของนาง ความรู้สึกเย็นเยียบของการถูกทอดทิ้ง ความขมขื่นของหยดน้ำตาที่ไม่มีใครเห็น เสียงกระซิบเยาะเย้ยที่ก้องอยู่ในหัวราวกับเสียงสะท้อนในถ้ำลึก ความอบอุ่นจางๆ ของอ้อมกอดหนึ่งที่เลือนรางจนแทบจับต้องไม่ได้ และรสขมปร่าของยาพิษที่แผดเผาตั้งแต่ปลายลิ้นจรดช่องท้องข้อมูลมหาศาลที่ไม
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-06-23
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 3
กาลเวลาในเรือนซิงอวิ๋นคล้ายกับหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงหยาดฝนที่แปรเปลี่ยนจากเสียงสาดซัดรุนแรงมาเป็นเสียงพรำๆ แผ่วเบาที่ยังคงบ่งบอกว่าโลกภายนอกยังคงหมุนต่อไป น้ำหวาน—หรือตอนนี้คือจ้าวลี่อิง ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้แข็งกระด้าง ร่างกายอ่อนล้าจนแทบไม่รู้สึกถึงความแข็งของมันอีกต่อไป แต่สมองของนางกลับทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนหลังจากที่สาวใช้ทั้งสองวิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก ทิ้งนางไว้กับความเงียบอีกครั้ง จ้าวลี่อิงก็เริ่มทำในสิ่งที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพึงกระทำเมื่อเผชิญหน้ากับเคสผู้ป่วยที่ซับซ้อน... นั่นคือการประเมินสภาพร่างกายอย่างละเอียดและเป็นระบบที่สุดเท่าที่จะทำได้นางเริ่มต้นจากระบบที่สำคัญที่สุดในตอนนี้: ระบบหัวใจและหลอดเลือด‘การเต้นของหัวใจ...’ นางหลับตาลง เพ่งสมาธิไปที่จังหวะการเต้นในอก กลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น แต่ยังคงมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นระยะ ๆ จังหวะจะเร็วขึ้น สลับกับช่วงที่เต้นช้าลงและมีจังหวะที่ขาดหายไป นี่คือผลกระทบโดยตรงจากพิษกลุ่มคาร์ดิโอไกลโคไซด์ที่ยังตกค้างอยู่ในระบบ แม้จะขับพิษส่วนใหญ่ออกไปแล้ว แต่กล้ามเนื้อหัวใจได้รับความเสียหายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ในโลกเดิมคงต้อง
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-06-28
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 4
เงาแห่งราตรีทอดตัวยาวเหยียด กลืนกินทุกสรรพสิ่งไว้ในอ้อมกอดอันเยียบเย็น รัตติกาลคืบคลานเข้าสู่จวนเสนาบดีอย่างเงียบงัน ลบเลือนเส้นสายลายสลักและสีสันอันโอ่อ่าให้เหลือเพียงโครงร่างสีดำทะมึนภายใต้แสงจันทร์นวลจาง ในห้องพักของคุณหนูสาม บรรยากาศหนักอึ้งและสงบเยือกเย็น มีเพียงแสงเทียนที่วูบไหวบนเชิงเทียนทองเหลืองเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหว ประหนึ่งลมหายใจของห้องที่กำลังจะดับสูญจ้าวลี่อิงยังคงนั่งสงบอยู่บนเตียง ท่วงท่าของนางสงบนิ่งดุจผิวน้ำไร้ริ้วคลื่น แต่ภายใต้ความเรียบสนิทนั้นคือกระแสความคิดที่เชี่ยวกราก ประสาทสัมผัสทุกส่วนของนางตื่นตัวและแผ่ขยายออกไปในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหวที่อยู่นอกบานประตูกระทั่งเสียงจิ้งหรีดที่เคยกรีดร้องระงมเริ่มแผ่วเบาลง สรรพสำเนียงแห่งชีวิตในยามค่ำคืนได้จมลึกลงสู่การหลับใหลอย่างแท้จริง นางจึงขยับกายอย่างนุ่มนวล ทุกย่างก้าวที่เท้าเปล่าสัมผัสพื้นไม้เย็นเฉียบนั้นไร้สุ้มเสียง แฝงไว้ด้วยความหมายและความมุ่งมั่นที่แตกต่างจากคุณหนูสามผู้ป่วยไข้โดยสิ้นเชิง นางไปถึงบานประตู ใช้วัตถุเล็กๆ ขัดมันไว้กับวงกบ เป็นกลไกเตือนภัยอันเรียบง่ายทว่าเปี่ยมประสิทธิภาพเมื่อแน่ใจในปราก
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-06-28
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 5
อรุณรุ่งของวันใหม่ทอแสงแรกจับขอบฟ้า ปลุกสรรพชีวิตในจวนเสนาบดีให้ตื่นจากนิทราอันยาวนาน ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว นางไม่ได้หลับใหลเลยทั้งราตรี จิตวิญญาณของนางตื่นโพลงอยู่ในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหว ทบทวนทุกร่องรอยแห่งความจริงที่เพิ่งค้นพบ โลกที่นางเห็นในยามนี้มิได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกรอยยิ้มที่เคยดูอบอุ่นอาจซ่อนใบมีดไว้เบื้องหลัง ทุกถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยอาจเคลือบไว้ด้วยยาพิษเมื่อเสี่ยวชุ่ยประคองชามยาถ้วยใหม่เข้ามาในยามเช้า สีหน้าของนางยังคงเปี่ยมด้วยความห่วงใยอันบริสุทธิ์ ช่างแตกต่างจากบรรยากาศอันหลอกลวงที่อบอวลอยู่ทั่วจวนแห่งนี้ จ้าวลี่อิงมองของเหลวสีนิลในชามนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มันไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความตายอีกต่อไป แต่บัดนี้มันคือเครื่องมือ คือบททดสอบ และคือเวทีที่นางต้องร่ายรำไปตามบทบาทที่ตนเป็นผู้กำกับนางตระหนักดีว่าการแสร้งทำยาหกหรือปฏิเสธอย่างเด็กๆ นั้นไม่อาจใช้ได้ตลอดไป มันจะสร้างความสงสัยโดยไม่จำเป็น กลยุทธ์ใหม่จึงถูกร่างขึ้นในมโนสำนึกอันเงียบงันของนางอย่างรวดเร็ว มันเป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงอันตราย ทว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวด นั่นคือการควบคุมปริมาณพิษที่เข้าสู่ร
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-06-28
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 6
กาลเวลาในจวนเสนาบดีดูจะบิดเบี้ยวและเชื่องช้าลงนับตั้งแต่วันที่จ้าวลี่อิงได้สนทนากับบิดาในเรือนหนังสือของเขา แต่ในที่สุด วันแห่งพิธีสมรสพระราชทานก็คืบคลานมาถึงราวกับพญามัจจุราชในอาภรณ์สีมงคลจ้าวลี่อิงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำหมึก เหล่านางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่ฮูหยินรองส่งมาต่างกรูกันเข้ามาในห้องของนาง ประหนึ่งฝูงผึ้งที่กำลังรุมล้อมดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรย พวกนางอาบน้ำขัดผิวให้นางด้วยเครื่องประทินผิวชั้นเลิศ อบร่ำร่างกายด้วยเครื่องหอมกำยานราคาแพง แล้วบรรจงสวมทับอาภรณ์สีแดงสดอันเป็นมงคลให้ทีละชั้นๆชุดวิวาห์นั้นงดงามและหนักอึ้งอย่างเหลือเชื่อ ผ้าไหมปักดิ้นทองเป็นลายหงส์คู่มังกรสยายปีก แขนเสื้อยาวลากพื้น ชายกระโปรงซ้อนทับกันถึงเก้าชั้น ทุกฝีเข็มเต็มไปด้วยความประณีต ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนอันงดงามที่กำลังพันธนาการนางให้แน่นหนายิ่งขึ้น ศีรษะของนางถูกประดับด้วยมงกุฎหงส์ทำจากทองคำและไข่มุกจนหนักอึ้ง ใบหน้าถูกแต่งแต้มจนขาวผ่อง ริมฝีปากถูกแต้มด้วยชาดสีแดงสดดุจโลหิตเมื่อการแต่งกายเสร็จสิ้น นางถูกพยุงให้นั่งนิ่งๆ อยู่กลางห้อง รอคอยฤกษ์ยามมงคลเพื่อ
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-06-28
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 7
เมื่อบานประตูไม้หนักอึ้งปิดลง เสียงของมันสะท้อนก้องอยู่ในความเงียบงันราวกับเสียงปิดฝาโลงศพ ตัดขาดโลกของห้องหออันโอ่อ่าออกจากทุกสิ่งภายนอกโดยสมบูรณ์ บัดนี้ เหลือเพียงจ้าวลี่อิงและเสี่ยวชุ่ยผู้กำลังตัวสั่นเทาอยู่กลางห้องที่เต็มไปด้วยสีแดงมงคลอันเยียบเย็น"คุณหนู... ฮือ... ที่นี่... ที่นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน" เสี่ยวชุ่ยสะอื้นไห้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดผวา "บ่าวได้ยินพวกเขาพูดกันว่า... พระชายาองค์ก่อนก็สิ้นใจในเรือนหลังนี้ ท่านอ๋องก็ไม่เคยเสด็จมาที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว"จ้าวลี่อิงหันไปมองสาวใช้ผู้ภักดีของนาง นางมิได้เอ่ยวาจาปลอบโยน แต่ยื่นมือไปบีบแขนของเสี่ยวชุ่ยเบาๆ เป็นการส่งผ่านความมั่นคงที่ไร้คำพูด จากนั้นนางจึงหันกลับมาสำรวจสภาพแวดล้อมแห่งใหม่ของนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่ห้องหอสำหรับนาง แต่คือที่เกิดเหตุ คือห้องขัง และอาจเป็น...สุสานของนางในอนาคต หากนางประมาทแม้เพียงนิดเดียวนางค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นถอดมงกุฎหงส์อันหนักอึ้งออกจากศีรษะอย่างช้าๆ แล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างเตียง ความเงียบในห้องหอแห่งนี้ดังกว่าเสียงโห่ร้องใดๆ ที่นางเคยได้ยินมาทั้งชีวิต
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-06-28
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 8
ราตรีนั้นในเรือนจื่อเวยยาวนานกว่าทุกคืนที่ผ่านมา จ้าวลี่อิงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้สลักลายอันวิจิตร ดวงตาของนางเปิดกว้างอยู่ในความมืดมิด ภาพของสาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกดึงขึ้นมาจากบ่อน้ำยังคงฉายชัดอยู่ในมโนสำนึกของนางราวกับถูกตีตราไว้ด้วยเหล็กร้อน...รอยช้ำที่ข้อมือ, รอยแดงที่ลำคอ, และมือที่กำแน่น...ความเงียบของจวนฉินอ๋องที่เคยทำให้นางรู้สึกถึงการถูกคุกคาม บัดนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันคือความเงียบแห่งการสมรู้ร่วมคิด คือความสงบอันน่าสะพรึงกลัวที่ใช้กลบฝังเสียงกรีดร้องของผู้บริสุทธิ์ในฐานะแพทย์ผู้เคยให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะปกป้องชีวิต จิตวิญญาณของนางร่ำร้องโหยหวนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ในฐานะจ้าวลี่อิงผู้ต้องเอาชีวิตรอดในรังอสรพิษแห่งนี้ สัญชาตญาณกลับกรีดร้องให้นางนิ่งเงียบเข้าไว้ การยื่นมือเข้าไปสอดส่องเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่ปากเหวด้วยตนเอง นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกทอดทิ้ง ถูกตราหน้าว่าโง่เขลา ไร้ซึ่งอำนาจและเส้นสายใดๆ ในจวนแห่งนี้ การเปิดโปงฆาตกรคือการท้าทายอำนาจมืดที่หยั่งรากลึกอยู่ ณ ที่แห่งนี้โดยตรง และผลลัพธ์ก็อาจหมายถึงความตายสถานเดียวนางหลับตา
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-06-28
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 9
ราตรีนั้นในเรือนหนังสือของฉินอ๋องเจิ้งหยาง ยาวนานและเงียบงันกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เขามิได้อ่านตำราพิชัยสงครามต่อ แต่กลับนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น ปล่อยให้เปลวเทียนสะท้อนประกายวูบไหวอยู่ในนัยเนตรอันลึกล้ำดุจห้วงเหวไร้ที่สิ้นสุด บรรยากาศรอบกายเขาเยียบเย็นลงจนน่าอึดอัด ประหนึ่งพญามังกรที่กำลังขดตัวนิ่งสงบ ทว่าแท้จริงแล้วภายในกำลังครุ่นคิดถึงพายุที่จะก่อตัวขึ้นคำถามนั้น... ‘เหตุใดคนที่ตกบ่อน้ำจึงไม่มีน้ำอยู่ในปอดเล่าเจ้าคะ’... ยังคงดังก้องอยู่ในมโนสำนึกของเขามันไม่ใช่คำถามธรรมดา มันคือความรู้ คือกุญแจ คือคำใบ้ที่ถูกส่งมาอย่างจงใจในรูปแบบที่วิปลาสที่สุด มันคือเสียงกระซิบจากปัญญาอันคมกริบที่ซ่อนกายอยู่ภายใต้หน้ากากของความโง่เขลาอันสมบูรณ์แบบจ้าวลี่อิง... พระชายาที่เขาได้รับมาดุจสินค้ามีตำหนิ สตรีที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นเพียงหมากทางการเมืองและเป็นที่ดูแคลนของคนทั้งใต้หล้า บัดนี้นางได้เผยตัวตนอีกด้านหนึ่งออกมาอย่างแยบยล...ด้านที่น่าพรั่นพรึงและน่าสนใจในเวลาเดียวกันเขาไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญ และไม่เคยเชื่อว่าความตายในจวนของเขาจะเป็นเพียงอุบัติเหตุ จวนฉินอ๋องคืออาณาจักรของเขา ทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในสา
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-06-28
อ่านเพิ่มเติม
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status