โรส หญิงสาววัย 24 ปี ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคโควิด 19 หญิงสาวพึ่งจะเรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ยังไม่มีงานทำเลยด้วยซ้ำก็ต้องมาจบชีวิตลง ตอนยังมีชีวิตอยู่เธอชอบอ่านนิยายแนวนางเอกทะลุมิติไปในยุคของจีนโบราณ ดังนั้นเธอก็ลองขอพรกับยมทูตไว้ก่อนตายว่า ‘ขอเกิดในยุคจีนโบราณ’ แต่ไม่คิดว่ายมทูตจะส่งเธอไปจริง ๆ พออายุได้ 3 ขวบเธอเริ่มพูดได้จึงพาครอบครัวของเธอสร้างธุรกิจร้านอาหารที่ชื่อว่าเหลาอาหารฮว๋าหง และเปิดร้านขายถ่านอย่างลับ ๆ อีกด้วย และเธอยังมีชาติกำเนิดที่คลุมเครือว่าที่แท้แล้วท่านพ่อของเธอเป็นใครกันแน่ …
View Moreโรส หญิงสาววัย 24 ปีเป็นลูกครึ่งไทย-จีน พ่อของเธอนั้นเป็นคนจีน แม่เป็นคนไทยอาศัยอยู่จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากเป็นลูกครึ่งไทยจีนเธอจำต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างไทยกับจีนตลอด
เมื่อปี 25x3 เกิดโรคระบาดที่ชื่อว่า โควิด 19 ระบาดอยู่ที่อู่หั่น ซึ่งตอนนั้นโรสได้ไปเที่ยวอยู่ที่นั่นพอดี แต่ไม่ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ประจวบเหมาะกับเธอดันหนีกลับไทยมาก่อนจะระบาดหนัก แต่แล้วเมื่อกลับไทยได้ไม่นานก็มีอาการไข้ขึ้นสูง พร้อมกับอาการไออย่างหนักกอปรกับเธอเคยเดินทางไปอู่หั่น ทำให้เธอลองไปตรวจที่โรงพยาบาลในตัวเมือง ผลปรากฏว่าเธอติดโควิด 19 เธอได้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในตัวเมืองจังหวัดอุบลราชธานีจนกว่าจะหายดี ด้วยเนื่องจากโรคระบาดยังไม่มีวัคซีน ทำให้โรสนอนอยู่โรงพยาบาลประมาณเดือนกว่าจึงเสียชีวิตลงด้วยโควิด19 ในวัย 24 ปี ท่ามกลางความเศร้าโศกของครอบครัวของเธอ ตายญาติไม่สามารถมาทำศพได้ เธอต้องตายอย่างโดดเดี่ยวไม่เห็นหน้าครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย นับว่าน่าเวทนาชีวิตไม่น้อยเลยทีเดียว ก่อนตายโรสผู้ชื่นชอบการอ่านนิยายย้อนยุคเป็นชีวิตจิตใจ ในห้วงภวังค์ก่อนจะสิ้นใจนึกย้อนไปว่าถ้าเธอได้ย้อนเวลาไปเกิดใหม่ในยุคจีนโบราณเช่นนางเอกในนิยายทะลุมิติคงจะดี แต่แล้วคงได้เพียงเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้นเพราะเธอไม่รู้ว่าโลกหลังความตายเป็นเช่นไร ไม่มีผู้ใดที่ตายแล้วมาเล่าสู่กันฟังเลยสักนิด จึงไม่รู้ว่าเธอจะล่องลอยไปในทิศทางใดในปรโลกนี้ “ในที่สุดฉันก็ตายแล้ว ยังไม่มีสามี และยังมีอะไรอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำ พ่อกับแม่ลูกคนนี้อกตัญญูไม่ได้ตอบแทนบุญคุณท่าน ต้องลาจากกันไปไกลเสียแล้ว” เสียงวิญญาณของโรสซึ่งกำลังสิ้นใจ เหม่อมองร่างที่ไร้วิญญาณของตน ร้องไห้พร่ำพรรณนาถึงเรื่องราวของตนทั้งยังไม่ได้กระทำอีกมากมายในชีวิต นึกถึงพ่อกับแม่ที่เลี้ยงดูมาตลอดระยะเวลา 24 ปีแล้วทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ โรสในวัย 24ปี จบจากคณะนิเทศศาสตร์ เพิ่งจบมาหมาด ๆ ยังไม่มีงานทำต้องจบชีวิตลงด้วยโรคระบาด ซึ่งลามไปเกือบทั่วโลกแล้ว ชายชราผมขาวลูบเคราที่ยืดยาวของตน พลางอ่านประวัติ การทำความดีความชั่วก่อนตายในโลกเดิม ความเป็นมาของวิญญาณดวงใหม่นับว่าใช้ชีวิตไม่คุ้มค่าเท่าใดนัก “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” เสียงของชายชราเอ่ยขึ้น เมื่อได้อ่านเรื่องราวของวิญญาณตนนี้นับว่าอเนจอนาถไปไม่น้อยกว่าผู้ใดเลย “แม่นางท่านนี้ หยุดร้องไห้ก่อน แล้วปล่อยวางจากโลกเดิมเถิด” ชายชราเห็นวิญญาณตนนี้ร้องไห้จึงบอกให้นางหยุดและปล่อยวาง “คุณตาเรียกหนูเหรอคะ ฮึก ๆ” หลังจากร้องไห้มาเนิ่นนาน เธอจึงหันไปมองเสียงดังแว่วเข้ามา ปรากฏว่าเป็นชายชราผมขาวหนวดยาว ยืนลูบเคราสีขาวของตนอยู่รัศมีรอบกายสว่างไสวไปทั่วร่าง ดูสูงส่งอย่างมาก “ใช่ เจ้านั่นแหละ แม่นางข้ามารับวิญญาณเจ้าไปเกิดใหม่” ชายชราลูบเคราของตนพร้อมกับถึงกล่าววัตถุประสงค์ของการมาในครั้งนี้ “หนูเลือกเกิดได้ไหมคะ” เธอนึกถึงยุคจีนโบราณในนิยายดังนั้นจึงลองขอพรดู “เจ้าลองว่ามาก่อน” ชายชราลูบเคราพร้อมครุ่นคิด ว่าขอในสิ่งที่ให้ได้เถิดนะ "หนูอยากไปเกิดในยุคจีนโบราณค่ะ" เธอตอบออกไปในทันที สิ่งที่เธอหวังว่าจะไปในโลกใบใหม่ "ได้ ตกลง เอาล่ะ หลับตานะแม่นางข้าขอให้เจ้าโชคดี หึ หึ" ชายชราทบทวนคำขอก็พบว่าไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงที่เขาสามารถทำได้จึงพยักหน้าลูบเคราของตนไปด้วย "เย้" เธอดีใจอย่างมากที่ได้ไปเกิดใหม่ในยุคจีนโบราณที่ใฝ่ฝัน อีกไม่นานภาพตรงหน้าพลันดับมืดลงไปหลังจากครอบครัวหลินทำการค้าขายไปแล้ว 7 วัน วันนี้ครอบครัวขอปิดร้าน 2 วัน พบปัญหาว่าจำนวนลูกค้ามากขึ้นทุกวันจึงตัดสินใจไปหาโรงเตี๊ยมที่เปิดให้เช่า ความจริงซื้อเป็นของตัวเองจะดีกว่า เนื่องจากตอนนี้เงินที่หามายังไม่เพียงพอที่จะซื้อโรงเตี๊ยมได้ยามเฉิน (07.00 – 08.59 น.) ฮุ่ยเหมยและครอบครัวเข้าเมืองไปหาเช่าโรงเตี๊ยม โดยนั่งเกวียนลุงหานเข้าเมืองเช่นเดิม เมื่อมาถึงตลาดในเมืองผู้คนต่างก็พากันมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันเนืองแน่นเช่นเคย"ท่านแม่ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากกินบะหมี่ร้านนั้นเจ้าค่ะ"เสียงฮุ่ยเหมยเอ่ยขึ้นและชี้ไปที่ร้านของบะหมี่ที่อยู่ข้างทาง คนในร้านแน่นมาก น่าจะอร่อยเพราะคนเข้าร้านเยอะ เมื่อได้ยินเสียงเด็กน้อยเอ่ยขึ้นจึงตัดสินใจเดินตรงไปร้านบะหมี่ทันที"เถ้าแก่ข้าเอาบะหมี่ 4 ชามขอรับ" ท่านพ่อเอ่ยสั่งกับเถ้าแก่ร้านขายบะหมี่"เชิญนั่ง ๆ รอสักครู่นะขอรับ"เสียงเด็กชายวัย 8 หนาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกค้าทั้งสี่เดินเข้าร้านของตน น่าจะเป็นลูกชายของเถ้าแก่เจ้าของร้านเพราะหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกันเป็นอย่างมาก ซึ่งเขากำลังนำบะหมี่ในร้านเสิร์ฟลูกค้าที่แน่นจนเต็มร้านอยู่ในขณะนี้อย่างขยันขันแข็งครอบคร
3 วันผ่านไป กับการเตรียมพร้อมขายของครั้งแรกของครอบครัวหลิน ทุกคนต่างตื่นเต้นกันอย่างมาก ท่านพ่อได้เข้าเมืองติดต่อเช่าร้านค้าเล็ก ๆ ราคา 10 อีแปะต่อวัน ตกลงขาย ยามอู๋ถึงยามโหย่ว (12.00-17.00 น.) การเตรียมตัวมีอะไรบ้าง คือมะละกอดิบ 3 ตะกร้าใหญ่ และเครื่องปรุงรส อาทิเช่น พริก กระเทียม มะนาว เกลือ น้ำตาล กุ้งแห้ง หอยเชอรี่ ผักบุ้งป่าไว้กินกับส้มตำ และข้าวคั่ว ครอบครัวหลินหุงข้าวเหนียวให้ลูกค้าทดลองชิมกับส้มตำไปด้วยขายราคา 5 อีแปะ กุ้งฝอยสด ๆ ไปด้วย 3 ตะกร้าใหญ่ ปลา 50 ตัวนำไปทดลองขายก่อน ถ้าขายดีวันหน้าก็จะไปจับมาเพิ่ม แบ่งหน้าในการทำแต่ละอย่างมีดังนี้ ท่านแม่ตำส้มตำ ท่านพ่อย่างปลาเผา และพี่ชายทำยำกุ้งเต้น ส่วนเธอเป็นหน่วยสนับสนุน นั่นคือเรียกลูกค้าและเก็บเงินนั่นเอง ครอบครัวหลินไปติดต่อขอให้ ท่านลุงหานไปส่งในตัวเมืองโดยเฉพาะ คิดราคาแค่ 5 อีแปะ ใกล้ถึงยามซื่อ (09.00-10.00 น.) ก็ออกเดินทาง ไปถึงก็ยามอู๋พอดี ยามซื่อ ลุงหานขับรถวัวเทียมเกวียนมารับที่บ้านครอบครัวหลิน ทุกคนช่วยกันยกของขึ้นเกวียน เมื่อขนจนหมดแล้วก็ออกเดินทางได้ เสียง กุบกับ กุบกับ ของรถวัวเทียมเกวียนตลอดระยะเวลา 1 ชั่วยา
เสียงไก่ขันเซ็งแซ่ บ่งบอกว่าเป็นเวลาของห้วงวันใหม่ ฮุ่ยเหมยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ พร้อมยกแขนทั้งสองบิดขี้เกียจแล้วค่อย ๆ เดินไปล้างหน้าล้างตา และหยิบชุดในราวมาใส่ วันนี้เด็กน้อยเลือกใส่ชุดสีชมพู และเดินออกไปให้ท่านแม่ทำผมให้เช่นทุกวัน "ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ" เสียงเรียกจากเด็กน้อย ทำให้ทั้งสามคนหันมามอง และยิ้มกว้างให้กับความน่ารัก ยามเหม่า (คือ 05.00 – 06.59 น.) เป็นเวลาที่ท่านพ่อเตรียมตัวขึ้นวัวเทียมเกวียนเข้าเมืองไปขายของป่า โดยสารรถของบ้านลี่จูที่ออกเดินทาง เมื่อเห็นท่านพ่อจะไปเด็กน้อยรีบวิ่งไปออดอ้อน ขอเข้าเมืองไปด้วย ท่านพ่อตอบตกลงและให้ท่านแม่อยู่ที่บ้านคนเดียว "เหมยเอ๋อร์ ต้องอยู่ใกล้ ๆ พ่อตลอดนะลูก" "เจ้าค่ะ ท่านพ่อ" ''ข้าจะดูแลน้องเองขอรับ" และทั้งสามคนก็ออกเดินทางไปขึ้นเกวียน คนแน่นเต็มคันรถ และลี่จูก็โบกมือให้เมื่อพบว่าเด็กน้อยทั้งสองคนจะไปด้วย และคิดว่าตนเองจะมีเพื่อนเที่ยวเล่นแล้ว "อ้าววันนี้ เหมยเอ๋อร์ไปด้วยรึ" ท่านลุงหานเอ่ยทัก พ่อของลี่จูนั่นเอง "คารวะท่านลุงหาน เจ้าค่ะ/ขอรับ" หนิงหลงและฮุ่ยเหมยเอ่ยพร้อมกัน "มา ๆ ขึ้นรถ ข้างในคนเต็มแล้วนั่งข้างหน้ากับลี่จูก็ได้"
หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว ด้วยความสงสัยเด็กน้อยเลยถามแม่ขึ้นในทันที "ท่านแม่เจ้าคะ หอยนั่นมันกินได้นะเจ้าคะ" เธอชี้นิ้วป้อม ๆ ไปที่คนกำลังทิ้งหอยเชอร์รี่อยู่ป่าข้างบ้าน "นั่นมันหอยพิษลูก มันกัดข้าวชาวบ้าน" ลี่หลินเอ่ยบอกกับลูกสาว เมื่อเห็นว่าหอยพวกนั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทำร้ายนาข้าวเสียหายอย่างมาก ที่ตอนนี้แม้แต่ทางการก็ยังหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ "ท่านแม่ไม่เชื่อลูกหรือเจ้าคะ" ฮุ่ยเหมยกะพริบตาปริบๆ ที่มีน้ำตาคลอมองท่านแม่ เมื่อมองไปที่ดวงตากลมโตของเด็กน้อยแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ "มันกินได้จริงหรือ?" เสียงท่านพ่อเอ่ยถามด้วยความสงสัย และทำสีหน้าหวาดกลัว เจ้าหอยพวกนี้ไม่นิยมนำมารับประทาน ไม่มีใครนำมากินเลยต่างหาก กลัวว่ามันจะกัดกินร่างกายของคนเราเหมือนต้นข้าว!! "จริงเจ้าค่ะ ข้าจะทำให้กิน" ฮุ่ยเหมยบอกด้วยความแน่วแน่ ท่าทางเอาจริงเอาจัง และยืนขึ้นกำหมัดน้อย ๆ "ข้าจะช่วยน้องทำเองขอรับ" หนิงหลงคิดในใจเชื่อว่า ‘น้องสาวต้องมีอาหารอร่อยๆ ให้ตนกินอีกแน่ ฮิ ฮิ ฮิ’ "ท่านแม่เชื่อลูกเถอะนะเจ้าคะ" เธอเขย่าแขนท่านแม่อย่างอ้อนวอน "นะนะๆ ท่านแม่" ลี่หลินทนลูกอ้อนของลูกสาวไม่ไ
"แอ้ แอ้ แอ้" เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็พบกับแสงสว่างและผนังผุพังมีรูรั่วอยู่ และคนที่แต่งตัวจีนโบราณเต็มไปหมด และพอมองไปที่แขนของเธอทำไมเล็กอย่างนี้อย่าบอกนะว่าส่งเธอมาเกิดใหม่จริง ๆ "ลูก ลูก แม่" เสียงผู้หญิงอายุประมาณ 20 หนาวหน้าตาซีดเซียว เสียงแหบแห้งเพราะว่าเสียแรงในการคลอดลูก "ได้ลูกสาวจ้ะ ลี่หลิน" หมอตำแยเอ่ยบอกพร้อมกับอุ้มเด็กทารกให้กับนาง พอลี่หลินได้เห็นหน้าลูกสักพักก็สลบไปเพราะความอ่อนเพลีย ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ เป็นผู้ชายอายุประมาณ 25 หนาว หน้าตาดี สีผิวเข้ม ดูบึกบึนเนื่องจากทำงานหนัก เดินเข้ามาอุ้มเด็กหญิง "โอ๋ เอ๋ ๆ ลูกพ่อน่ารักมากเลย ไม่ร้องไห้เลย" หลินฟางหรงอุ้มเด็กหญิงขึ้นมามองหน้าตา กลมโตที่ใสซื่อบริสุทธิ์หน้าตาน่ารัก จริง ๆ ลูกสาวของเขา "ใช่ ขอรับท่านพ่อ น้องดูเป็นเด็กรู้เรื่องตั้งแต่เกิดเลยขอรับ" เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กชายอายุ 4 หนาวนามว่า หลินหนิงหลง หลังจากเดินตามหลังท่านพ่อมาเมื่อรู้ว่าคลอดน้องสาวของตนแล้ว "ท่านพ่อจะตั้งชื่อน้องสาวว่าอะไรดีขอรับ" "อืม งั้นชื่อว่า ฮุ่ยเหมยละกันนะลูกพ่อ" หรือที่แปลว่าความเมตตาที่งดงาม เหมาะกับหน้าตาน่าร
โรส หญิงสาววัย 24 ปีเป็นลูกครึ่งไทย-จีน พ่อของเธอนั้นเป็นคนจีน แม่เป็นคนไทยอาศัยอยู่จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากเป็นลูกครึ่งไทยจีนเธอจำต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างไทยกับจีนตลอด เมื่อปี 25x3 เกิดโรคระบาดที่ชื่อว่า โควิด 19 ระบาดอยู่ที่อู่หั่น ซึ่งตอนนั้นโรสได้ไปเที่ยวอยู่ที่นั่นพอดี แต่ไม่ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ประจวบเหมาะกับเธอดันหนีกลับไทยมาก่อนจะระบาดหนัก แต่แล้วเมื่อกลับไทยได้ไม่นานก็มีอาการไข้ขึ้นสูง พร้อมกับอาการไออย่างหนักกอปรกับเธอเคยเดินทางไปอู่หั่น ทำให้เธอลองไปตรวจที่โรงพยาบาลในตัวเมือง ผลปรากฏว่าเธอติดโควิด 19 เธอได้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในตัวเมืองจังหวัดอุบลราชธานีจนกว่าจะหายดี ด้วยเนื่องจากโรคระบาดยังไม่มีวัคซีน ทำให้โรสนอนอยู่โรงพยาบาลประมาณเดือนกว่าจึงเสียชีวิตลงด้วยโควิด19 ในวัย 24 ปี ท่ามกลางความเศร้าโศกของครอบครัวของเธอ ตายญาติไม่สามารถมาทำศพได้ เธอต้องตายอย่างโดดเดี่ยวไม่เห็นหน้าครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย นับว่าน่าเวทนาชีวิตไม่น้อยเลยทีเดียว ก่อนตายโรสผู้ชื่นชอบการอ่านนิยายย้อนยุคเป็นชีวิตจิตใจ ในห้วงภวังค์ก่อนจะสิ้นใจนึกย้อนไปว่าถ้าเธอได้ย้อนเวลาไป
Comments