สตรีผมสองสีเอ่ยจบก็จ้องมองไปยังหลานทั้งสามทีละคน ทุกคนล้วนหลบสายตาเมื่อถูกมอง เหยาหวังเหว่ยเห็นท่าทางลำบากใจของพี่น้องจึงได้เอ่ยแก้ต่างให้
“เสด็จย่าพี่ใหญ่กับน้องสามเพิ่งกลับมา ถึงเมื่อคืนจะมีสตรีโฉมงามมากมายแล้วอย่างไร พวกนางจะเป็นคนรู้ใจของพี่ใหญ่กับน้องสามได้เช่นไรในเมื่อยังไม่ได้พูดคุยกันเลย เช่นนั้นให้เวลาพวกเขาหน่อยเถอะ” เขารู้ดีว่าต่อให้เขาไม่แก้ต่างให้เหยาลี่เซียน ก็ไม่มีใครอยากบังคับนางให้แต่งงานออกเรือนแบบจริงจังสักคน เพราะทุกคนยังตัดใจให้นางแต่งงานออกไปไม่ได้ ยกเว้นแต่บุรุษผู้นั้นจะแต่งเข้ามา
“เช่นนั้นก็ได้ แต่พวกเจ้าก็รีบกันหน่อย อย่าปล่อยให้ยายแก่เช่นข้าต้องกังวลกับพวกเจ้า เข้าใจหรือไม่” เพียงสตรีวัยชราเอ่ยจบ องค์หญิงและองค์ชายทั้งสองก็เอ่ยตอบรับพร้อมกันทันที
หลังจากที่ทั้งหมดร่วมกันทานอาหารจนเสร็จแล้ว ก็ได้อยู่เพื่อพูดคุยกันต่ออีกพักใหญ่ ๆ ก่อนที่ไทเฮาจะเอ่ยขอตัวกลับเข้าไปพักผ่อน แต่ก่อนที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้นั้น นางได้ใช้สายตามองไปยังบุตรชายเจ้าของบัลลังก์
เฉิงเฟิงฮ่องเต้เพียงเห็นสายตาของมารดาก็รีบลุกขึ้นมาเพื่อพยุงม
เมื่อเหยาหวังเหว่ยเห็นสตรีทั้งสอง ก็ย้อนนึกถึงเรื่องในอดีต ลี่อินใจเย็นอ่อนโยน มักตามใจฟางหนิงหลิน ส่วนลี่จินใจร้อนวู่วามไม่ยอมคนพูดจาโผงผางตรงไปตรงมาเปิดเผย และที่สำคัญลี่จินมักมีปากเสียงกับเหยาซิงอีน้องชายของเขาทุกคราที่ได้เจอหน้ากัน เพราะน้องชายของเขามักพูดจาต่อว่าฟางหนิงหลินอยู่เป็นประจำ จึงไม่แปลกที่ลี่จินจะออกปากปกป้องคุณหนูของนางเหยาหวังเหว่ยรู้ดีว่าลี่อินและลี่จินเป็นคนที่ฟางหนิงหลินสนิทสนมราวกับพี่น้อง ‘เช่นนั้นครั้งนี้มิสู่ข้าทำให้เจ้าสมปรารถนา วันหน้าเจ้าจะได้เอ่ยสนับสนุนข้าต่อหน้านาง” เขายิ้มแฝงความเจ้าเล่ห์ขณะคิดแผนร้าย เหยาหวังเหว่ยหันไปส่งสายตาให้องครักษ์คนสนิท ก่อนที่จะเอ่ย“ครั้นข้าจะสั่งโบยคุณหนูเช่นพวกเจ้า ก็ดูเหมือนพวกเจ้าจะรับไม่ไหว ในเมื่อปากของพวกเจ้าสร้างปัญหา เช่นนั้นมิสู้ถูกตบสักหน่อยจะได้ไม่กล้าปากมากอีก” เขาเอ่ยเสียงราบเรียบ แต่แววตากับสีหน้านั้นราวกับปรารถนาอยากเห็นเลือดคุณหนูทั้งสามราวร่างกายหมดแรง จากที่คุกเข่าอยู่กลายเป็นนั่งราบไปกับพื้น ใบหน้าจากที่มีเพียงเม็ดเหงื่อบัดนี้กลายเป็นมีสายน้ำสองสายไหลอาบแก้ม
“ขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างมาก เพียงแต่ข้ายังมีเรื่องที่ต้องพูดให้ชัดเจน เพราะหนิงหลินเป็นคนใจกว้างมักไม่ถือสาคำนินทาที่ผู้คนใส่ความนางมาโดยตลอด แต่ต่อไปนางคือชายาของข้า เรื่องในอดีตข้าอาจไม่สนใจได้ ทว่านับตั้งแต่วันนี้ไม่เหมือนกัน ใครกล้าว่านางเท่ากับมันผู้นั้นว่าข้า หากเป็นเช่นนั้นจะเกิดอันใดขึ้นกับคนผู้นั้น คงไม่จำเป็นให้ข้าต้องเอ่ยถึงพวกท่านก็น่าจะพอนึกภาพออกใช่หรือไม่” เสียงของเขาหนักแน่นและเฉียบขาดคนในร้านพากันเงียบกริบได้เพียงแต่กลืนน้ำลายลงคอใบหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินคำขู่ เพราะทุกคนล้วนเคยกล่าวถึงคุณหนูสกุลฟางในทางที่ไม่ดีมาก่อน“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน” จางซวงซวงรีบขอตัวกลับเมื่อได้ยินว่าชินอ๋องจะไม่เอาความกับเรื่องเก่าก่อน เพราะนางกลัวว่าหากอยู่ต่อเหยาหวังเหว่ยจะกลับใจเอาความกับนาง“เดี๋ยวก่อน จริงอยู่ที่ข้าให้โอกาสผู้ที่เคยว่าร้ายว่าที่ชายาของข้า แต่การกระทำของเจ้าในวันนี้ข้าไม่อาจให้อภัยได้ ผู้อื่นนินทาลับหลังยังพอทน แต่ใครกันให้ความกล้าเจ้าต่อว่านางเช่นนี้ สตรีไร้ยางอายอย่างนั้นหรือ หากเป็นเพราะเรื่อ
ทุกคนในโรงน้ำชามัวแต่สนใจคำพูดของคุณหนูสกุลจางจนไม่สังเกตเห็นแขกอีกคนที่มาเยือนโรงน้ำชาไป่เหอแห่งนี้ เขายืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับองครักษ์คนสนิท บุรุษตัวสูงท่าทางสง่ามาทันได้ยินคำกล่าวของจางซวงซวงทุกประโยค ดวงตาของเขาฉายแววอาฆาต ใบหน้าบ่งบอกถึงความกระหายอยากฆ่า แม้แต่องครักษ์ข้างกายที่ติดตามมาด้วยได้เห็นใบหน้าของผู้เป็นนายก็ยังรู้สึกกลัวจนขนหลังลุกชันเหยาหวังเหว่ยก้าวเท้าเข้าไปหมายจะจัดการสตรีปากมากที่กล้าเอ่ยวาจาว่าร้ายชายาของเขา แต่ไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าอีกข้างเสียงฝ่ามือกระทบกับแก้มนิ่มก็ดังขึ้น เขาถึงกับชะงักไม่ก้าวเท้าต่อ ไม่เพียงแต่เหยาหวังเหว่ยและซูโม่อี้ที่ตกตะลึง แต่คนในโรงน้ำชาทุกคนก็ล้วนงงงันจนพูดไม่ออก พวกเขาล้วนแต่อ้าปากพะงาบ ๆ พร้อมเอามือทาบอกจางซวงซวงใบหน้าชาวาบ นางเงยหน้าขึ้นมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาเปี่ยมไอสังหาร ในใจของนางทั้งโกรธแค้นทั้งอับอาย“โกรธข้าสินะ แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้” พูดจบฟางหนิงหลินก็ง้างฝ่ามือตบเข้าไปอีกฉาก โดยที่จางซวงซวงไม่ทันตั้งตัวเพราะนางไม่คิดว่าจะโดนตบซ้ำอีกคราใบหน้าของคุณหนูสกุลจางหันไปตามแรงมือ แต่คราน
ถึงงานนี้เหยาหวังเหว่ยไม่ได้เต็มใจจะจัดขึ้นมา แต่เขาก็ตั้งตารอสตรีผู้หนึ่งให้มาร่วมงาน เมื่อเขาเห็นแม่ทัพใหญ่ฟางมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย แต่เพียงชั่ววูบเดียวใบหน้าของเขาก็ฉายแววความผิดหวังขึ้นมา ยังไม่ทันที่ฟางรั่วซานจะเอ่ยอวยพร ชินอ๋องเหยาหวังเหว่ยก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“หนิงหลินไม่มาอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ยเสียงแข็งพาบรรยากาศเปลี่ยนไปในทันทีคำพูดของชินอ๋องเหยาหวังเหว่ยทำให้ฟางรั่วซานนึกสังสัย เพราะเจ้าของตำหนักแห่งนี้ไม่น่าจะเอ่ยถามถึงบุตรสาวของเขา อีกทั้งยังเรียกชื่อบุตรสาวของเขาราวกับสนิทสนมกัน ไม่เหมือนแต่ก่อนที่จะเรียกว่าคุณหนูฟาง ไม่เพียงแค่แม่ทัพใหญ่ฟางที่นึกแปลกใจ แต่สวีจื้อซานและเสิ่นหลิวหยางเองก็ประหลาดใจจนต้องหันขวับมามองเจ้าของตำหนักแห่งนี้ เพราะนึกว่าหูของพวกเขาฟังผิดเพี้ยนไป“บุตรสาวของกระหม่อมไม่ค่อยสบาย จึงไม่ได้มาขอท่านอ๋องโปรดอภัย” ฟางรั่วซานไม่รู้จะตอบเช่นไรจึงได้เอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างเอาตัวรอดไปก่อนเพียงเหยาหวังเหว่ยได้ยินคำตอบก็ลุกขึ้นทันที ทุกคนพลันมีสีหน้าตกตะลึง องค์ชายสามที่นั่งอยู่เมื่อตั้งสติได้จึงเอ่ยถ
ข้าไม่ได้ออกไปนอกจวนหลายวันแล้ว วันนี้พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ พวกเจ้าช่วยข้าแต่งตัวที” นางเอ่ยจบก็ลุกไปยืนหน้ากระจกบานใหญ่ที่สูงและกว้างพอที่จะส่องตัวนางได้ทั้งตัว“คุณหนูแน่ใจแล้วหรือเจ้าคะที่จะออกไปข้างนอกตอนนี้ เมื่อครู่คุณหนูเพิ่งปฏิเสธไม่ไปตำหนักท่านอ๋อง แต่บัดนี้กลับจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก” ลี่อินเอ่ย เพราะกลัวว่าคุณหนูของนางจะถูกนายท่านตำหนิ“เจ้ากลัวอันใด ท่านอ๋องเชิญเหล่าขุนนางและครอบครัวปากเปล่าหาได้มีเทียบเชิญอย่างเป็นพิธีการ ยิ่งกว่านั้นไม่ได้เจาะจงเชิญข้าเสียหน่อย ข้าจะไปหรือไม่ไปก็หาได้สำคัญ” นางเอ่ยพร้อมหันหน้าซ้ายขวาเพื่อดูใบหน้าของตนเองในกระจก“จริงด้วย ปกติท่านอ๋องก็ไม่เคยใส่ใจคุณหนูของพวกเราอยู่แล้ว ท่านพี่ก็อย่าได้คิดมากไปเลย” ลี่จินเอ่ยลี่อินหันไปมองน้องสาวพร้อมใช้สายตาตำหนิ แต่ทว่าลี่จินกลับเบือนหน้าหนี ใบหน้าของนางยังคงแสดงถึงความหงุดหงิดที่ยังค้างอยู่ในใจ แต่มือของนางก็ยังคงช่วยฟางหนิงหลินแต่งตัวตามคำสั่ง“ข้าเพียงแค่กลัวว่าหากท่านอ๋องตำหนินายท่านมา คุณหนูอาจจะโดนหางเลขไปด
“หัวหน้าองครักษ์ไป๋ ในเมื่อท่านเป็นคนดูแลองครักษ์ทั้งหมดในวัง เช่นนั้นวันนี้ข้าต้องรบกวนท่านแล้ว ข้าจะให้องครักษ์สวีเป็นผู้เลือกองครักษ์ทั้งหมดที่จะมาอยู่ที่ตำหนักบูรพา หวังว่าจะไม่ทำให้ท่านต้องลำบากใจ” เจ้าของตำหนักบูรพาเอ่ยเสียงราบเรียบ“องค์รัชทายาทอย่าได้เกรงใจ ในเมื่อฝ่าบาททรงอนุญาตแล้ว เช่นนั้นเชิญองค์รัชทายาทเลือกได้ตามสบาย” หัวหน้าองครักษ์ไป๋ตอบกลับน้ำเสียงหนักแน่นเหยาซีฮันยกยิ้มอย่างพอใจ เพราะที่ผ่านมาองครักษ์ข้างกายของเขาก็มักจะเป็นคนของหลัวฮองเฮาที่ส่งมาจับตาดูเขา ถึงคนเหล่านั้นจะจงรักภักดีต่อเขา แต่จงรักภักดีต่อมารดาของเขามากกว่า จนเขาต้องเปลี่ยนองครักษ์อยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งก็จะถูกมารดาของเขาซื้อตัวไปจนได้ครานี้เขาจึงได้ตัดสินใจเอ่ยเรื่องนี้ในท้องพระโรงเพื่อจะดึงสหายสนิทมาเป็นองครักษ์ข้างกาย ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เขาไม่คิด เพียงแต่ไม่อยากทำให้สหายต้องลำบากใจ แต่ยามนี้ไม่เหมือนกันในเมื่อเขาได้เผยความลับของหลัวฮองเฮาที่เขาซ่อนเอาไว้ออกมาแล้ว อีกทั้งตอนนี้เขาก็มีอำนาจเป็นรองเพียงเสด็จพ่อเท่านั้น คำสั่งเขาย่อมมีน้ำหนักกว่าฮองเฮาที่ปกครองวังหลัง เขาจะไม่ให้มารดาของเขาสอดมือเข้