เพียงแต่เรื่องส่วนตัวเหล่านี้ไม่ควรนำมาพูดบนโต๊ะอาหารมิเช่นนี้หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ก็ไม่รู้ว่าประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นทางการเหล่านั้นจะถูกเขียนออกมาว่าอย่างไร แล้วอาณาประชาราษฎร์จะตัดสินพวกเขาแบบไหน“ไม่มีปัญหาแน่นอน” ในเวลานี้นิ้วมือของมู่หรงอวี้สั่นระริก เขาพยายามข่มความโกรธไว้ “ข้าแค่เป็นคนรักสะอาดนิดหน่อยก็เท่านั้น”เมื่อตระหนักได้ว่าเป็ดย่างจานนั้นมียาพิษ อีกทั้งตนได้กินเข้าไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะอาเจียนออกมา แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าพิษนั้นได้เข้าสู่ร่างกายแล้วหรือไม่เวลานี้มู่หรงอวี้ถึงกับนั่งไม่ติด และทนไม่ไหวอีกต่อไป“จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกไม่สบายตัว พวกเจ้ากินกันไปก่อน ข้าขอตัว”กล่าวจบเขาก็พรวดลุกขึ้นและเดินออกไปทันที เมื่อเดินมาถึงลานด้านหลังเขารีบล้มตัวลงนอนบนเตียง“รีบไปตามเซียนแพทย์น้อยมาให้ข้าเร็วเข้า บอกว่าข้ากินยาพิษของนาง!”ภายในเรือนตะวันออก ทันทีที่มู่หรงอวี้ออกไป ซูจิ่งสิงก็รีบหันไปมองกู้หว่านเยว่“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ เป็ดย่างวางยาพิษเหล่านั้นเจ้ากินมันลงไปได้อย่างไร?”เขารู้ว่ากู้หว่านเยว่มีความสามารถ แต่ถึงอย่างไรร่างกายของมนุษย์ก็มีเลือดเนื้อ จะทนต่อพิษเ
“ครั้งนี้กู้หว่านเยว่ต้องตายสถานเดียว”นางหลิวกล่าวอย่างลำพองใจ “คนของราชวงศ์ไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่”“โชคดีที่พวกเราไม่ได้คืนดีกับบ้านสาม พวกเราจึงไม่โดนหางเร่ไปด้วย”ฮูหยินผู้เฒ่าซูถอนหายใจอย่างโล่งอกเดิมทีนางอยากบากหน้าไปขอคืนดีกับบ้านสาม แต่ปรากฏว่ากู้หว่านเยว่โหดร้ายเกินไป นางจึงไม่กล้าเสนอหน้าหรือนี่อาจจะเป็นความบังเอิญก็ได้ก็ดี ที่นางประกาศตัดความสัมพันธ์กับบ้านสามในตอนแรกนั้นถูกแล้วนางจินและซูหรานหร่านสบตากัน โดยที่ทั้งสองคนไม่ได้กล่าวสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นบ้านสามหรือสกุลซู พวกเขาก็ไม่เคยคิดอยากเกี่ยวข้องด้วยนัยน์ตาของซูจื่อชิงเย็นเยือก “ทุกคนคือสกุลซูเหมือนกัน พี่ใหญ่และพี่สะใภ้เกิดเรื่อง พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะรอดอย่างนั้นหรือ?”ทำไมก่อนหน้านั้นถึงดูไม่ออกว่าท่านยายโง่เขลาเช่นนี้“สกุลเดียวกันอะไร พวกเราตัดขาดกันไปแล้ว”นางหลิวกล่าวเสียงดัง นางกลัวว่าผู้คุ้มกันของมู่หรงอวี้จะไม่ได้ยิน“ไอหยา ข้าพูดกับจิ่นเอ๋อร์ เจ้าว่าพี่ใหญ่และพี่สะใภ้จะกลับเข้ามาแบบเดินเข้ามาหรือถูกหามเข้ามา?”“เจ้าหุบปากไปเลย !” ซูจิ่นเอ๋อร์โกรธจนปากสั่นไปหมด สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องไปที่ประตู
จากนั้นนางก็หยิบหน้ากากขึ้นมาใส่ และแวบออกจากห้องไปทันทีนางไม่ลืมว่าตนก็มีเรื่องต้องทำ ในเมื่อจวนหลังนี้เป็นอาณาเขตของมู่หรงอวี้ ก็อย่ามาโทษว่านางไม่เกรงใจก็แล้วกัน!ทันทีที่เข้าไปในห้องใต้ดิน กู้หว่านเยว่ก็ได้เห็นอาวุธและเสบียงมากมาย นางจึงรีบกอบโกยกลับอย่างไม่เกรงใจจากนั้นนางก็เข้าไปในครัวและทำการขนอาหารพร้อมทั้งม้าที่อยู่ในคอกออกไปพร้อมกัน“เหอะ ๆ ข้าชักอยากเห็นแล้วสิว่าหากท่านไม่มีม้า ท่านจะไปจากจวนแห่งนี้ได้อย่างไร”กู้หว่านเยว่หัวเราะด้วยความสะใจ ก่อนจะหายตัวไปโผล่ในพื้นที่นอกหน้าตาห้องของมู่หรงอวี้และใช้นิ้วเจาะรูหน้าต่างที่ทำจากกระดาษ และมองเข้าไปข้างใน“เจ็บ เจ็บจะตายอยู่แล้ว ขาของข้าเหมือนมีมดเป็นร้อยตัวรุมกัดอย่างไรอย่างนั้น”มู่หรงอวี้นอนอยู่บนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง ทั้งยังคร่ำครวญไม่หยุด“ทำไมเซียนแพทย์น้อยถึงยังไม่มาอีก?”“กราบทูลท่านอ๋อง เซียนแพทย์น้อยมาแล้ว เซียนแพทย์น้อยมาแล้ว!”เด็กสาวในชุดสีขาวคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามาจากด้านนอก เมื่อถึงข้างเตียงนางก็รีบจับชีพจรของมู่หรงอวี้ทันที“ท่านอ๋อง ท่านโดนยาพิษได้อย่างไร?”“อย่าถาม”เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ มู่หร
ทันใดนั้นฟู่เยียนหรานก็ปิดหน้าร้องไห้เสียงสะอื้น ท่าทางเช่นนี้ยิ่งยืนยันได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสอง“ฮูหยินซู เจ้าอย่าโทษพี่ใหญ่ซูเลย เพราะข้าเทิดทูนเขามากเกินไปถึงกลายเป็นแบบนี้ข้าจะไม่โต้เถียงใด ๆ กับเจ้า เพียงอยากดูแลเรื่องปัจจัยสี่ของพี่ใหญ่ซูอยู่เคียงข้างเขาเท่านั้น”นางห่อไหล่ขาวผุดผ่องอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลพราก ผู้ชายส่วนใหญ่เห็นแล้วก็รู้สึกสงสารไม่แปลกใจที่ได้เป็นพระมเหสีเข้าใจใช้ลูกไม้ใสซื่อเป็นอย่างดี“ซูจิ่งสิง”กู้หว่านเยว่บิดขี้เกียจ นางไม่มีเวลามาคร่ำครวญกับฟู่เยียนหราน“ข้าง่วงแล้ว ท่านช่วยอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยเร็ว”ในน้ำเสียงแฝงความรำคาญใจซูจิ่งสิงกังวลว่ากู้หว่านเยว่จะเข้าใจผิด เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรีบอธิบาย“ข้าได้ยินเสียงความวุ่นวายจึงตื่นขึ้นมา พบว่านางยืนอยู่ที่หัวเตียง กำลังเปลื้องผ้าอยู่พอข้าตวาดไล่นางไป เจ้าก็ผลักประตูเข้ามาแล้ว ข้าไม่ได้แตะต้องนางเลย”กู้หว่านเยว่ชำเลืองมองเตียงที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ด้วยความเข้าใจในตัวซูจิ่งสิงของนาง ย่อมรู้ว่าเขาไม่นอกลู่นอกทางแน่หลังจากได้ฟังคำอธิบายด้วยหูตัวเอง ก็ยิ่งไม่มีอะไรให้สงสัยอีก
หลังจากพักหายเหนื่อยได้หนึ่งวัน เหล่านักโทษเนรเทศก็กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง พากันเก็บข้าวของเพื่อออกจากคฤหาสน์หลวงเมื่อมู่หรงอวี้ตั้งสติได้ ลานหลังบ้านก็ว่างเปล่าไร้ผู้คนแล้ว“เจ้าโง่ ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าจับตาดูพวกเขาไว้หรือ?!”เขาถีบพ่อบ้านที่กุลีกุจอเข้ามาอย่างหงุดหงิดพ่อบ้านคุกเข่าพรึ่บลงกับพื้น“ท่านอ๋องอย่าทรงกริ้ว เมื่อเช้าคฤหาสน์หลวงถูกปล้นอย่างกะทันหัน ข้าน้อยไม่มีเวลานึกถึงพวกเขา...”“เจ้ากินอะไรเป็นอาหาร เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ก็จัดการไม่ได้...ช้าก่อน เจ้าบอกว่าคฤหาสน์หลวงถูกปล้นงั้นหรือ?”มู่หรงอวี้ใจหายวาบ เกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาในทันใดเขาหันหน้าเดินไปยังห้องใต้ดินโดยไม่พูดอะไรเมื่อมาถึงทางเข้าห้องใต้ดิน เห็นไข่มุกเรืองแสงราตรีสองเม็ดที่ส่องสว่างตรงประตูถูกหักออก เขาหน้ามืดในทันใด“ท่านอ๋อง อดทนไว้”คนสนิทรีบเข้ามาประคองมู่หรงอวี้“ทนได้ ทนได้...” มู่หรงอวี้ฝืนผลักประตูหินให้เปิดออก เมื่อเห็นสถานการณ์ภายในอย่างชัดเจน ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป“เงินทองของข้า เงินทองของข้า!”น้ำตาไหลรินจากเบ้าตา มู่หรงอวี้ในวัยสามสิบกว่า ๆ ร้องไห้เป็นเด็กทารกห้องใต้ดินแห่งนี้มีทรัพย์ส
“ทุกคนออกไปก่อน!”ซุนอู่ได้ยินเสียงร้องอันเจ็บปวดของสตรีบนรถม้า จึงรีบเข้าไปในวัดเก่าทรุดโทรมโดยที่แทบจะไม่ลังเลใด ๆ สั่งนักการในศาลาว่าการให้พานักโทษเนรเทศออกไปพักข้างนอก“ทั้ง ๆ ที่เรามาถึงวัดเก่าก่อน เหตุใดถึงต้องออกไปด้วย?”เสียงว่ากล่าวของฝูงชนดังไปทั่ว แต่ก็ไม่กล้าขัดคำพูดของนักการในศาลาว่าการ“ไป เราออกไปกันเถอะแม่” ซูจื่อชิงลุกขึ้นยืน“เฮ้อ!” ซูจิ่นเอ๋อร์ยกหม้ออย่างไม่เต็มใจ “ต้องก่อไฟใหม่อีกรอบ”“น้ำคร่ำของแม่นางคนนั้นแตกแล้ว คาดว่าอาจจะต้องคลอดลูกที่วัดเก่า พวกเราออกไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่อธิบายนางใจกว้างกับหญิงตั้งครรภ์มาก การคลอดลูกไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้หญิง“เจ็บ เจ็บเหลือเกิน...”“ฮูหยินน้อย ท่านอดทนอีกนิด ค่อย ๆ นั่งลงบนฟูกก่อน”ระหว่างการสนทนา บ่าวรับใช้สูงอายุสองคนช่วยประคองฮูหยินน้อยให้นั่งลงในมุมหนึ่งซู่จิ่นเอ๋อร์จ้องไปที่น้ำคร่ำที่ไหลนองเต็มพื้น ฟังเสียงกรีดร้องของหญิงสาว ถึงได้รู้ความร้ายแรงของสถานการณ์“กำลังจะคลอดแล้วจริง ๆ ในเมื่อเป็นเรื่องความเป็นความตาย พวกเราก็รีบยกสถานที่ให้นางเถอะ”“อืม”ก่อนจะไป กู้หว่านเยว่ก็ได้ยินเสียงบ่าวรับใช้คนหนึ่
เป็นห่วงว่า หากถึงเวลานั้นแล้วช่วยชีวิตใครไม่ได้ ครอบครัวนี้จะตามราวีกู้หว่านเยว่“อืม”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ตัดสินใจดูสถานการณ์อีกครั้งนางก็ไม่ใช่แม่พระเช่นกัน ไม่สามารถเอาความปลอดภัยของตัวเองเข้าไปเพื่อชีวิตของผู้อื่นได้“แม่นางน้อยกู้”ดูเหมือนว่าซุนอู่จะจับอะไรบางอย่างได้ กำลังจะพูดออกมาจู่ ๆ ฟู่เยียนหรานที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังมาโดยตลอดก็เดินไปหาบ่าวรับใช้สูงอายุนางนั้น แล้วพูดเสียงดังลั่น“แม่นมเฒ่า ในกลุ่มนักโทษเนรเทศทางนั้นมีหมอหญิงอยู่ด้วย พวกเจ้าต้องการหมอไม่ใช่หรือ ไปขอความช่วยเหลือจากนางสิ”ว่าแล้วนางก็ชี้ไปที่กู้หว่านเยว่“เจ้า!”ซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ สตรีนางนี้หาเรื่องให้พี่สะใภ้ใหญ่ได้อย่างไร?ฟู่เยียนหรานยิ้มกล่าวอย่างอ่อนโยน ราวกับว่าไม่เห็นสายตาโกรธเกรี้ยวของพวกเขา“แม่นางน้อยกู้ ทักษะทางการแพทย์ของเจ้าเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนตอนนี้ฮูหยินน้อยนางนั้นและเด็กในท้องจะเป็นตายไม่รู้แน่ เจ้าคงไม่นิ่งดูดายที่จะช่วยเหลือใช่ไหม?”เจ้ามีทักษะการแพทย์ดีมิใช่หรือ?เช่นนั้นก็ไปช่วยชีวิตคนสิ!ฮูหยินน้อยผู้นั้นอยู่ในภาวะคลอดยากอยู่แล้ว ถ้าไม่ช
ไปหามาจากไหน แม่นางน้อยวัยสาวเช่นนี้ ยังไม่เคยคลอดลูกเองเลย แล้วจะเข้าใจการคลอดลูกได้เช่นไร?สายตาของแม่นมหลู่เผยแววดูถูกออกมา“เด็ก ๆ ไล่นางออกไปที”“ไม่ได้ กว่าจะหาหมอมาได้ไม่ง่ายเลย จะปล่อยนางไปไม่ได้”ทั้งสองคนต่างยืนกรานไม่ยอมลดละ แม่นมหลู่ขึ้นเสียงในทันใด“แม่นมฉิน แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้อาวุโสที่อยู่เคียงข้างฮูหยินน้อย แต่ข้าเป็นคนที่พระมเหสีส่งมาดูแลฮูหยินน้อย”“ข้ารู้สึกว่าสตรีนางนี้ไม่น่าเชื่อถือ ไม่อาจปล่อยให้นางมาทำคลอดฮูหยินน้อยได้ เจ้ากล้าไม่ฟังข้าหรือ?”“แต่ตอนนี้หาหมอคนอื่นไม่ได้แล้วนะ...”แม่นมฉินโกรธจนนิ้วมือสั่นเทาระหว่างทางแม่นมหลู่ก็ดึงดันเร่งการเดินทางให้ได้ สร้างความตกใจให้ฮูหยินน้อยจนไปกระตุ้นอาการแพ้ท้องกู้หว่านเยว่ไม่คิดว่าจะมีใครมาโต้เถียงต่อหน้าหญิงตั้งครรภ์ แม่นมหลู่ต้องการอะไร? ดูท่าทางไม่อยากให้การคลอดราบรื่นเพื่อทดสอบอีกฝ่าย นางจึงจงใจพูดว่า “ถ้าพวกเจ้าไม่ไว้ใจข้า ข้าก็ไม่อยากจะรักษา ไปล่ะ”เห็นแม่นมหลู่แอบดีใจตามคาด ในขณะที่แม่นมฉินกำลังจะร้องไห้แล้ว“แม่นางน้อย แม่นางน้อยเจ้าคะ ท่านจะไปไหนไม่ได้ ชะตาของวงศ์ตระกูลและชีวิตของฮูหยินน้อยของพวกข
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป