หวังฉีหลิน อายุ 25 ปีสาวเจ้าหน้าที่การเกษตรและพ่วงมาด้วยเจ้าของสวนสมุนไพรรายใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวพักผ่อนและเธอได้เก็บเอาก้อนหินสีรุ้งมาจากพระราชวังโปตาลามาได้เพียงสามเดือน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะเธอเองเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนกระทั่งมีอายุได้ 18ปี ถึงได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนนี้เธอ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย เฮ้อ ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น อายุ25 แฟนไม่เคยมี สามียังอยากได้ ไหนจะลูกๆที่ฝันอยากจะมีอีก คงต้องหยุดความหวังและความฝันเอาไว้เท่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด ตายแล้วตายเลยจะไม่ว่า แต่ดันตื่นขึ้นมาในร่างหญิงชาวนายากจน ชื่อหวังฉีหลินเช่นเดียวกับเธอพ่วงมาด้วยภาระชิ้นใหญ่ อย่างสามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายฝาแฝดทั้งสอง แถมยังมีภาระชิ้นใหญ่ม๊ากกกมาก กอไกล่ล้านตัวอย่างพ่อแม่สามีและน้องๆของสามี ที่โดนบ้านสายหลักกดขี่ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบและบังคับแยกบ้านหลังจากที่สามีของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่หวังฉีหลินต้องมาตายไปนั้นเพราะโดนลูกสะใภ้บ้านสายหลักผลักตกเขาระหว่างที่กำลังยื้อแย่งโสมคนที่ขุดมาได้
View Moreหวังฉีหลินสาวสวยอายุ 25 ปี ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการทำงาน เหตุเพราะเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เมื่ออายุครบ 18 ทุกคนต้องออกไปใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้
ฉีหลินทำงานทุกอย่างด้วยความขยันหมั่นเพียรและส่งเสียให้ตัวเองเรียนไปด้วย ฉีหลินเลือกเรียนเกี่ยวกับการเกษตร เพราะมีความฝันอยากจะทำสวนสมุนไพรและมีสวนสมุนไพรเป็นของตัวเอง
หลังจากเรียนจบและเข้าทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเกษตร ฉีหลินเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง เธอจึงนำไปซื้อที่ดินเล็ก ๆ เพียง 2 ไร่ ทำสวนสมุนไพรในฝันของตัวเอง
มีเพื่อน ๆ ที่ทำงานเคยถามฉีหลินว่าเธอเป็นคนจีนหรือ ทำไมถึงชื่อไม่เหมือนคนอื่นทั้ง ๆ ที่อยู่ในส่วนเหนือสุดของประเทศไทย ฉีหลินได้แต่ตอบว่าเธอเองก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน
ในตอนที่เธอยังเป็นเด็กอยู่นั้นเธอได้ถามเจ้าหน้าที่ที่ดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธออาศัยอยู่ ได้คำตอบว่าตอนที่พบเธอมีป้ายติดอยู่ที่ข้อมือซึ่งก็คือชื่อของเธอในตอนนี้ คงจะเป็นอย่างเดียวที่ผู้เป็นพ่อและแม่ของเธอทิ้งเอาไว้ให้
ฉีหลินเองไม่เคยอยากตามหาพ่อแม่ของตัวเอง เธอเพียงแค่คิดว่าหากพ่อแม่ต้องการเธอคงไม่เอาเธอมาทิ้งเอาไว้ในสถานที่แห่งนี้ และหากว่าพวกเขาต้องการเธอจริง ๆ คงออกตามหาเธอนานแล้วคงไม่ปล่อยเธอเอาไว้อย่างนี้
การใช้ชีวิตคนเดียวไร้ซึ่งคนสนับสนุน กว่าเธอจะผ่านมันมาได้ก็ลำบากมาก แต่เธอยังโชคดี นอกจากจะได้งานที่ดี คนรอบข้างของเธอยังเป็นคนดีคอยช่วยเหลือสนับสนุน สวนสมุนไพรจากน้ำพักน้ำแรงของเธอนับว่าประสบความสำเร็จมากและทำกำไรให้เธอมากเช่นเดียวกัน
ฉีหลินและเพื่อนที่ทำงานได้ไปเที่ยวที่พระราชวังโปตาลามาเมื่อสามเดือนที่แล้ว ไม่รู้ว่าเพราะชื่อเธอเหมือนคนจีนหรือไม่ ฉีหลินมีความชอบประเทศจีน อาหารจีน สมุนไพรจีน หรือแม้แต่วัฒนธรรมการกิน เธอเองก็ศึกษาค้นคว้าเอาไว้ประดับสมองบ้าง
วันนี้ฉีหลินไปทำงานดังเช่นทุกวัน และที่สวนสมุนไพรฉีหลินได้จ้างลุงกับป้าชาวบ้านสองคนช่วยดูแล หลังจากที่ฉีหลินไปแอบเก็บหินสีรุ้งกลับมาเธอชอบมันมาก และได้นำไปเจาะรูและนำมาร้อยทำเป็นสร้อยข้อมือเธอสวมติดข้อมือตลอดเวลาไม่เคยถอดเลยสักครั้งแม้กระทั่งตอนอาบน้ำ
“หลิน วันนี้จะเข้าสวนหรือเปล่า” นิดาเพื่อนร่วมงานของฉีหลินถามออกมา
“ไม่เข้านะนิดา เธอมีอะไรหรือเปล่าหรืออยากให้เราช่วยอะไรหรือเปล่า บอกมาได้เลยนะ”
“ไม่มีอะไรหรอก เราจะชวนเธอไปหาอะไรกินน่ะ เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้ว เราเห็นเธอยุ่ง ๆ ก็เลยไม่กล้าชวนน่ะ”
“อ๋อ ได้สิ ก็ดีเหมือนกันนะ เพื่อน ๆ คนอื่นไปด้วยหรือเปล่า ไปกันหลาย ๆ คนสนุกดี”
“มี รฐา กับพี่เหมียวน่ะ รวมเราสองคนด้วยก็ 4 คน คนอื่น ๆ เราชวนแล้วบอกว่านัดกับแฟนเอาไว้แล้วน่ะ”
“เหรอ น่าอิจฉาจังน๊า พวกมีแฟนเนี่ย ทำไมเราไม่เห็นมีใครมาจีบเลยล่ะ"
“ไม่มีหรือเธอไม่สนใจกันแน่ วัน ๆ มัวแต่เอาเวลาไปทำสวนหมด เงินเดือนเธอออกจะเยอะ ภาระต้องส่งเสียที่บ้านก็ไม่มี จะหาเงินไปทำไมนักหนา หาความสุขให้ตัวเองบ้างเถอะ”
“ทำสวนสมุนไพรไง นั่นก็เป็นความสุขของเราเหมือนกัน”
“โอ๊ย เราหมายถึงว่าให้เธอหาแฟน สร้างครอบครัวได้แล้ว ปากบ่นอยากมีแฟน อยากมีลูก แต่ไม่เคยมีเวลาชายตาแลใคร แล้วแบบนี้เธอจะสมหวังได้ยังไง”
“ก็เรายังไม่พร้อมนี่ อีกอย่างเรายังมีหลายอย่างที่อยากทำอยู่ด้วย อีกอย่างเธอก็รู้ไม่ใช่เหรอ เราไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติ เราเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอคิดว่าจะมีคนชอบเราจริง ๆ เหรอ นิดา”
“เราว่าไม่เห็นจะเกี่ยวกันนะ ถ้าคนที่มาชอบเธอเป็นคนดี และรักเธอจริง ๆ จะเอาเรื่องแบบนี้มาตัดสินก็ไม่ถูกนะ คนเราเลือกเกิดได้หรือไงล่ะ สำหรับเราการที่มีแฟนที่ดี เป็นคนดี จิตใจดีก็พอแล้ว”
“นี่มันความคิดของผู้หญิงอย่างพวกเราไง แต่พวกผู้ชายจะมีคนคิดแบบนั้นหรือเปล่ายังไม่รู้ อาจจะมีแต่ก็คงน้อยและคงไม่เหลือถึงเราหรอก นิดาว่าป่ะ”
“ช่างเรื่องผู้ชายก่อนเถอะ สร้อยข้อมือสวยมาก ซื้อจากร้านไหนเหรอหินสีรุ้งนี้สวยจริง ๆ”
“ป่าวซื้อมาหรอก เราเก็บมาจากพระราชวังโปตาลา ตอนที่ไปเที่ยวกันไง”
“ห๊ะ นี่เธอกล้าเก็บมาด้วยเหรอ โห ไม่กลัวโดนข้อหาลักทรัพย์ข้ามชาติเหรอ”
“โอ๊ย ไปกันใหญ่แล้ว แค่หินก้อนเดียวไหม จะมาลักทรัพย์ข้ามชาติอะไร ดูหนังหรืออ่านนิยายมากไปป่ะเนี่ย”
“จะไปรู้เหรอ เราก็คิดเอาไว้ก่อนไง ว่าแต่ว่าเย็นนี้ไปร้านไหนดี หลินอยากกินอะไรเป็นพิเศษป่ะ”
“ไม่มีนะ อะไรก็ได้ จะว่าไปอยากกินหม้อไฟเนอะ ”
“อากาศร้อนจะตาย ยังจะกินหม้อไฟ ไม่ไหวมั้ง เอาเป็นไปกินร้านประจำก็แล้วกัน หรือเธอว่าไง”
“เรายังไงก็ได้ ไปเลยหรือเปล่า เราขอเก็บของสักครู่ นี่ก็เลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว มัวแต่คุยกันเพลินลืมดูเวลาเดี๋ยวออกไปช้า พี่เหมียวได้บ่นหูชาแน่”
ทั้งสองคนรีบเก็บของและออกไปหาอีกสองคนที่นัดกันเอาไว้ทันที ระหว่างทางที่เดินออกจากออฟฟิศ ฉีหลินหลบพนักงานคนอื่นที่เริ่มทยอยออกจากที่ทำงาน
ในตอนที่รอลิฟต์อยู่นั้นแม่บ้านที่เดินถือแจกันดอกไม้เดินมาชนเธอเข้าพอดี ทำให้ข้อมือด้านที่สวมสร้อยหินสีรุ้งอยู่โดนหนามกุหลาบข่วนเป็นแผลถลอกมีเลือดออกนิดหน่อย
เลือดที่ไหลไปโดนก้อนหินสีรุ้งทันใดนั้นเกิดแสงสว่างเพียงชั่วพริบตาที่ก้อนหินโดยที่ไม่มีใครเห็นและฉีหลินเองก็ไม่ทันได้รู้สึกตัวเพราะมัวจดจ่อคุยกับเพื่อนข้าง ๆ
“ลงมาได้กันสักทีนะยะ รอนานมากรากจะงอกแล้วเนี่ย”
“โห พี่เหมียวพี่ก็พูดเกินไปนะคะ เพิ่งจะเลิกงานเอง พี่อย่าบอกนะว่าพี่ลงมาก่อนเวลาน่ะ”
“จะบ้าเหรอ ใครจะกล้าลงมาก่อน ขืนทำแบบนั้นหัวหน้าได้ตัดเงินเดือนพอดี”
“อ้าว จะไปรู้เหรอ ก็เห็นพี่บอกว่ารอนานแล้ว อ่ะ ริดาก็นึกว่าพี่หนีออกมาก่อนน่ะสิ”
“อย่ามาใส่ร้ายกันนะ รีบ ๆ ไปกันเถอะ หิวแล้วเนี่ย อ้าวแล้วยัยรฐาไปไหน เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้เลย”
“มาแล้ว ๆ พอดี ลืมมือถืออยู่ที่โต๊ะน่ะ ไปกันเถอะ ขอโทษที่ให้รอนะทุกคน”
“เชอะ ลืมมือถือหรือว่าลืมให้เบอร์กับพ่อหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่กันแน่ อย่ามาแถเลย”
“ลืมมือถือจริงๆ พี่เหมียวนี่ก็พูดอะไรไม่รู้”
ทั้งสี่คนมาถึงร้านอาหารที่มักจะมากันเป็นประจำ หลังจากสั่งอาหารแล้ว ทั้งสี่คนในตอนที่นั่งรออาหารก็มีการพูดคุยหยอกเย้ากันสนุกสนาน เมื่ออาหารที่สั่งมาครบแล้วก็ลงมือกินด้วยความหิวโหยทันที
“วันหยุดยาวที่จะถึงนี้ไปเที่ยวไหนกันหรือ” รฐา
“เราจะกลับบ้านน่ะ ไม่ได้กลับไปนานแล้ว” นิดา
“พี่ก็คงจะกลับบ้านเหมือนกัน ไม่ได้กลับไปนานแล้ว แล้วหลินล่ะ มีแพลนจะไปไหนรึเปล่า ถ้าไม่มีไปเที่ยวบ้านพี่ด้วยกันไหม”
“หลินว่าจะเข้าสวนน่ะค่ะ พอดีมีต้นกล้าสมุนไพรชนิดใหม่มาส่ง เลยต้องเข้าไปดูด้วยตัวเอง เอาไว้ครั้งหน้านะคะหลินไปแน่นอน ขอบคุณพี่เหมียวมากค่ะที่ชวน”
“พี่กลัวว่าเราจะเหงาน่ะ หยุดหลายวันเลย ถ้ามีธุระที่ต้องทำก็ไม่เป็นไรจ้ะ”
หลังจากที่แยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อนแล้ว ฉีหลินกลับมาถึงห้องก็เริ่มเก็บกระเป๋าเพื่อที่จะไปนอนที่สวนสมุนไพรในวันรุ่งขึ้น และคืนนี้ฉีหลินฝันถึงสถานที่ห่างไกลไม่รู้แน่ชัดว่าที่ไหน
ในฝันเธอเห็นครอบครัวครอบครัวหนึ่งสองสามีภรรยาร้องไห้มีเด็กวัยรุ่นหญิงชายและยังมีเด็กเล็ก ๆ อีกสองคน ร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง ในฝันฉีหลินเห็นลูกชายของเขาตายไปหลังจากที่บาดเจ็บกลับมาและไม่ได้รับการรักษาที่ดี
จะเรียกว่าไม่ได้รับการรักษาก็ไม่ใช่ ต้องเรียกว่าไม่ยอมให้หมอมารักษาเพราะกลัวว่าจะต้องเสียเงินค่ารักษาเสียมากกว่า และลูกสะใภ้ของพวกเขาก็ต้องมาตายไปอีกคนเพราะถูกผลักให้ตกเขาจากญาติของสามี
ฉีหลินรู้สึกสงสารครอบครัวนี้มากโดยเฉพาะเด็กน้อยฝาแฝดทั้งสองคนที่เป็นลูกของผู้ชายและผู้หญิงที่ตายไป ในฝันฉีหลินได้รู้มาว่าครอบครัวนี้ผู้นำครอบครัวมีพี่ชายอยู่หนึ่งคนและถูกครอบครัวของพี่ชายเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงสารพัด
ครอบครัวของพี่ชายจะเก็บเงินเอาไว้ทั้งหมดและคนที่ทำงานมากที่สุดกลับเป็นครอบครัวของน้องชายแต่ไม่เคยได้รับอะไรดี ๆ กลับมาเลย ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเสื้อผ้า เงินที่ลูกชายคนโตได้จากการทำงานก็เก็บเอาไปจนหมดเพราะถือว่ายังไม่ได้แยกบ้านกัน
ฉีหลินยืนดูเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยความโมโห หากเป็นเธออย่าหวังว่าจะมารังแกกันได้ง่าย ๆ ครอบครัวของพี่ชายก็มีแต่คนร้ายกาจ พี่ชายเองก็เห็นแก่ตัวไม่ยินยอมให้น้องชายแยกครอบครัวไปอยู่ด้วยตัวเอง
หากว่ายินยอมให้แยกออกไปนั่นย่อมหมายถึงที่ดินทำกินจะต้องโดนแบ่งออกไปด้วย และจะขาดแรงงานในการทำงานความเห็นแก่ตัวที่น่ารังเกียจนี้ฉีหลินได้เห็นผ่านความฝันยิ่งทำให้เธอโมโหและเผลอคิดไปว่าหากเป็นเธอแล้วล่ะก็เธอจะตอบแทนให้สาสมเลย
ฉีหลินไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เธอเห็นในความฝันนั้นมันจะเกิดขึ้นกับเธอจริง ๆ ในอนาคตข้างหน้า หลังจากนั้นมาฉีหลินก็ไม่ได้ฝันอะไรอีก แต่เธอกับค้นพบความลับบางอย่างของหินสีรุ้งที่เธอสวมติดข้อมือเอาไว้ตลอดเวลาในเช้าวันหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้นฉีหลินเดินทางไปที่สวนสมุนไพรของเธอและได้ลงมือปลูกสมุนไพรด้วยตัวเอง จากนั้นจึงปล่อยหน้าที่ดูแลให้เป็นของคนงานที่มีเพียงสองคนและทั้งสองคนเป็นสามีภรรยาที่ไม่มีลูก ๆ มาดูแล ฉีหลินสงสารจึงจ้างทั้งสองคนให้มาช่วยทำสวนให้เธอ
ในตอนที่ประมุขมารได้ตายไปพร้อมกับดวงจิตที่แตกสลาย แต่ทว่ากลับไม่ได้แตกสลายไปทั้งหมด ยังมีดวงจิตอีกเสี้ยวได้หลุดลอยไปเกิดใหม่ในอีกภพชาติหนึ่ง เกิดใหม่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถระลึกชาติได้ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เพียงใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ประมุขมารร่ำร้องขอความเมตตาจากสวรรค์ก่อนที่เข้าจะแหลกสลายไปหวังฉีหลินและเฟยเทียนกลับถึงหมู่บ้านป่าหมอก ทุกอย่างนางไม่คิดว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ในที่สุดประมุขมารก็คิดได้เสียที และหวังว่าพรที่นางและสามีร้องขอกับท่านมหาเทพนั้นจะทำให้ประมุขมารไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี มีความสุขและมีภรรยาที่รักเขามากแล้วก็ขอให้ทั้งสองคนเป็นคู่ด้ายแดงทุกภพทุกชาติไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางและสามีทำได้หลังจากที่หมดปัญหา หมดสงคราม ทุกคนก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข แคว้นหลงอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี และข่าวการกลับมาขององค์ชายแปดผู้หายสาบสูญ ตอนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ที่ดินศักดินาหมู่บ้านป่าหมอกและหมู่บ้านใกล้เคียงอีกสามหมู่บ้าน หวังฉีหลินทิ้งงานให้ลูกชายทั้งหลายแล้วหนีไปท่องเที่ยวกับสามี ทั้งสองคนออกไปท่องโลกกว้าง และมักจะนำผลไม้หรือพืช
หลังจากที่ประมุขมารได้รับสารท้ารบจากเฟยเทียน ทำให้เขาได้รู้ว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนบุรุษผู้กระหายสงครามและพร้อมจะทำลายศัตรูตรงหน้าให้ย่อยยับได้ทุกเมื่ออย่างแม่ทัพสวรรค์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยถึงแม้ในชาติภพนี้เขาจะลงมาจุติในดินแดนของมนุษย์แต่ความสามารถของเขายังติดตัวมานั่นไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้มหาเทพจะไม่ค่อยชอบหน้าลูกเขยสักเท่าไหร่ แต่มหาเทพผู้รักลูกสาวยิ่งกว่าสิ่งใดย่อมไม่มีทางให้นางลำบากส่วนมารอย่างตัวเขาเล่าทำอันใดได้บ้าง เป็นเขาเองที่ไปตกหลุมรักนางข้างเดียว เป็นเขาเองที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเขาเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง เขารู้ตัวเองดีด้วยพลังของตัวเขาเองยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด ต่อให้สู้จนตัวตายก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองได้ถึงแม้จะเอาชนะแม่ทัพสวรรค์ได้แล้วธิดามหาเทพจะชายตาแลเขาหรือก็ไม่ นางไม่เพียงไม่ชายตาแลหากแต่นางคงแก้แค้นเขาที่ทำให้สามีของนางต้องมีอันเป็นไป นอกจากจะไม่ได้ความรักแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือความเกลียดชังต่างหากที่นางจะหยิบยื่นให้เขาแล้วเหตุใดเขาถึงได้หน้ามืดตามัวเช่นนี้อยู่ถึงแสนปี ประชาชนเผ่ามารล้วนล้มตายไปตั้งเท่าไหร่ น้องชายคนเดียวของเขาที่เฝ้าเตือนสติเขาอยู่ตลอด
เวลาผ่านไปแล้วนับเดือน ตอนนี้กองกำลังที่ฉีหลินฝึกฝนขึ้นมาก็ออกจากด่านกักตนกันทุกคนแล้ว เวลานี้ฉีหลินกับสามีพร้อมด้วยเหล่าสัตว์เทพพร้อมไปเยือนเผ่ามารแล้วเฟยเทียนเองก็เห็นสมควรว่าไม่ควรปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ หลังจากจบปัญหานี้ได้เท่ากับภารกิจของภรรยาได้เสร็จสิ้นลงเช่นกัน ต่อจากนี้ไปพวกเขาสามีภรรยาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียทีหลังจากกำหนดวันเคลื่อนพลได้แล้วฉีหลินก็ให้ทุกคนได้พักผ่อนให้เต็มที่ และเตรียมข้าวของที่จำเป็นใส่ลงในแหวนมิติให้เรียบร้อย ทั้งอาหารการกิน ยารักษาต่าง ๆ ทุกคนต่างเตรียมไปให้พร้อมสรรพ ด้วยศึกครั้งนี้อีกฝ่ายคือเผ่ามารไม่รู้ว่าจะมีฝีมือร้ายกาจขนาดไหน แต่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนายท่านและนายหญิงว่าจะนำพาพวกเขากลับบ้านมาอย่างปลอดภัยเฟยจิน เฮ่ออี และฮั่นเหวินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการรบในครั้งนี้ ลูก ๆ ของเฟยเทียนทุกคนก็เช่นเดียวกัน ส่วนสัตว์เทพที่คอยดูแลความปลอดภัยที่หมู่บ้านป่าหมอกมีเพียงต้าเซี่ยกับเสี่ยวเสวียนอู่เพียงสองตัวเท่านั้นส่วนเสี่ยวหลาง เสี่ยวหู่ เสี่ยวเฮย เสี่ยวรุ่ยจื่อ และพี่ใหญ่อย่างจินหลงล้วนเข้าร่วมการรบในครั้งนี้ คนที่กระตือรือร้นมากที่สุดคื
ไป๋อี้ถังผู้โสดสนิท ครองตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ประหนึ่งนักพรตผู้ทรงศีล อีกทั้งรังเกียจสตรีมากเล่ห์ หลังจากออกจากด่านกักตนมา เขาก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนัก ไม่มีภรรยาและบุตรให้ดูแล เวลาทั้งหมดที่มีนอกจากฝึกฝนพลังปราณแล้ว เวลาส่วนที่เหลือเขาจึงเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ในสำนักศึกษาด้วยความเข้มงวดในเวลาต่อมา อาจารย์ใหญ่ไป๋อี้ถังจึงมีฉายาว่า อาจารย์ใหญ่จอมโหด หากใครไม่ทำการบ้านมาส่งก็จะโดนลงโทษให้ไปวิ่งรอบสถานศึกษา อีกทั้งยังจะต้องทำการบ้านในครั้งหน้ามากกว่าคนอื่นสองเท่าเท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องเขียนจดหมายสำนึกผิดอีก 100 จบ และไปเก็บมูลทำความสะอาดคอกของสือเอ้อร์กับสืออีแทนคนงานในไร่ แถมยังต้องถูกเจ้าสือเอ้อร์กับสืออีกลั่นแกล้งจนหน้าทิ่มกองอึอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไม่ทำการบ้านอีกเลยวันนี้เป็นวันที่ไป๋อี้ถังว่างมาก มากที่สุด วันนี้เป็นวันหยุดของสถานศึกษา ไป๋อี้ถังจึงคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมือง และหาซื้อพู่กันกับแท่นฝนหมึกเพิ่มเพราะเท่าที่เขามีอยู่ตอนนี้ใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้วจากนั้นเขาตั้งใจว่าจะชวนสหายทั้งสามของเขาไปด้วยกัน แต่กลับไม่มีใครไปเพราะแต่ละคนต้องการอยู่กับภรรยาแ
หลังจากที่เฟยเทียนกับฉีหลินเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านป่าหมอกพร้อมลูกชายและเหล่าสหาย หนึ่งเดือนให้หลังเฟยจินก็กลับมาพร้อมกับฮั่นเหวินและเฮ่ออี หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้และรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน รวมถึงส่งรายชื่อหนอนให้กับเบื้องบนแล้ว ตัวเขาเองก็หมดหน้าที่ ตอนนี้สงครามสงบลงแล้ว ทั้งสามจึงได้ยื่นหนังสือขอลาพักกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมบิดามารดาไป๋อี้ถังและสหายทั้งสามจะเข้าด่านกักตนเพื่อฝึกฝนในอีก 3 วันข้างหน้า โดยผู้ที่จะรับหน้าที่สั่งสอนศิษย์ในสถานศึกษาก็คือราชครูไป๋หย่งเต๋อที่เดินทางตามหลังเฟยจินได้เพียง 7 วันนอกจากไป๋หย่งเต๋อแล้วยังมีไป๋เจิ้นกั๋วเจ้ากรมอาญา เดินทางมาพร้อมกับไท่ปิงองครักษ์ประจำตัว นับเป็นการรวมตัวกันระหว่างองครักษ์เลยก็ว่าได้ เซียวหลางตัดสินใจแต่งงานและติดตามไป๋อี้ถัง ม่อถูเองก็เช่นเดียวกัน มีเพียงไท่ปิงเท่านั้นที่มีหน้าที่ดูแลไป๋เจิ้นกั๋วที่เมืองหลวงไท่ปิงเองก็อยากจะมีชีวิตเฉกเช่นสหายทั้งสองบ้าง เขาเองก็คงต้องเร่งฝึกองครักษ์ขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้ทำหน้าที่แทนเขา ส่วนตัวเขาเองจะตามมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านป่าหมอกแห่งนี้ตามสหายทั้งสองคนวันนี้ฉีหลินเรียกประชุมหน่วยลับที่เป
เฟยเทียนพาภรรยามุ่งหน้ากลับหมู่บ้านป่าหมอกทันที หลังจากจัดการทั้งสองแคว้นเรียบร้อยแล้ว และด่านสุดท้ายของภารกิจในครั้งนี้ก็คือจัดการกับเผ่ามารให้เด็ดขาด หากไม่กำจัดประมุขเผ่ามารเสียตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าก็จะเกิดปัญหาเช่นนี้อีก มีเพียงกำจัดประมุขมารให้ได้เท่านั้นทุกคนจะได้ไม่เดือดร้อน ตอนนี้มีข่าวส่งว่าอ๋องมารน้องชายเพียงคนเดียวของประมุขมารได้หนีออกจากเผ่ามารไปตั้งรกรากที่อื่นแต่เดิมอ๋องมารก็ไม่เห็นด้วยกับประมุขมารเรื่องยึดดินแดนมนุษย์ แต่ไหนเลยประมุขมารผู้เป็นพี่ชายจะยอมฟัง ในเมื่อมันเป็นความแค้นใจที่มีต่อธิดามหาเทพและสามี ต่อให้อีกนับล้านปีประมุขมารก็วางความแค้นในใจลงไม่ได้“ไม่รู้ว่าเจ้าสามแสบจะทำเรื่องปวดหัวให้ท่านพ่อกับท่านปู่มากมายเพียงใด โดยเฉพาะลูกสาวของท่านพี่ ป่านนี้ไม่ใช่พี่อี้ถังปวดหัวจนผมขาวหมดหัวแล้วหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า ไม่ขนาดนั้นกระมัง ลูกสาวของเราออกจะน่ารัก อีกอย่างพี่อี้ถังก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือไม่ได้เลยนี่นะ”“ท่านพี่ก็เข้าข้างนางตลอดล่ะเจ้าค่ะ อีกหน่อยนางก็เสียคนพอดี”“ไม่ใช่ว่านางกลัวท่านแม่อย่างเจ้าอยู่หรอกหรือ เอาน่าลูกยังเด็กอยู่ยังไม่รู้ความ มีพวกต้าเซี่ยอย
ในท้องพระโรงตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำคราญของบรรดาองค์หญิงและเหล่าสนมของฮ่องเต้ ส่วนเหล่าองค์ชายนั้นในใจต่างคิดว่าพวกเขาจบเห่แล้วคราวนี้ ยังไม่ทันได้ลงมือช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทแต่เสด็จพ่อกลับทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ ตอนนี้คนของแคว้นหลงบุกมาจัดการพวกเขาถึงในวังหลวงแห่งนี้ เช่นนั้นที่ชายแดนก็คงจะพ่ายแพ้เช่นเดียวกัน“มีอะไรจะพูดหรือไม่ แต่เอาจริง ๆ ไม่ต้องพูดหรอกเสียเวลา ข้าเข้าใจ เสี่ยวเฮยจัดการด้วยล่ะ เอาให้สะอาด” ฉีหลิน“จัดการให้เรียบร้อยจะได้รีบไปจัดการต่อ ข้าอยากกลับบ้านคิดถึงลูก” เฟยเทียนฮ่องเต้แคว้นอู๋มองดูสองสามีภรรยาสั่งงานเจ้าบุรุษชุดดำด้วยความไม่เข้าใจ อะไรคือจัดการให้เรียบร้อย อะไรคือเอาให้สะอาด พูดจาให้คนฟังแล้วไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ แต่ช่วยเห็นหัวเขาหน่อยจะได้หรือไม่“อ้อ เสี่ยวเฮย ช่วยปล่อยฮองเฮากับองค์ชายและองค์หญิงที่เกิดจากพระนางด้วย มีคนต้องการพบพวกเขา”“ได้ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้”“ขอบใจ ท่านพี่ไปกันเถอะเจ้าค่ะ เรายังมีอะไรที่ต้องทำต่อ”“อืม เสี่ยวเฮยจัดการให้เรียบร้อยอย่าให้เล็ดลอดออกไปได้แม้แต่คนเดียวเข้าใจหรือไม่”เฟยเทียนเดินตามหลังภรรยาออกไปจากท้องพระโรง ท่าม
ในวันที่ฉีหลินกับเฟยเทียนตัดสินใจลักลอบเข้าวังหลวงแคว้นอู๋ ทางชายแดนแม่ทัพแคว้นอู๋ตัดสินใจนำทัพเข้าบุกแคว้นหลงทันทีโดยมีทัพมารเข้ามาแทรกแซงทำให้กำลังทหารของทางฝั่งแคว้นอู๋มีจำนวนเพิ่มมาหลายพันคนในเมื่อเผ่ามารมือยืดมือยาวถึงเพียงนี้ เสี่ยวเฮยเองก็ย่อมลิ้นยืดลิ้นยาวได้เช่นเดียวกัน ในตอนแรกที่เสี่ยวเฮยยังไม่ได้กลับไปอยู่ในร่างของมังกรทมิฬนั้น ย่อมไม่มีใครเกรงกลัวแต่หลังจากเผ่ามารเข้ามาแทรกแซงทำตัวเป็นกำลังเสริมให้กับแคว้นอู๋ เสี่ยวเฮยจึงเห็นว่าไม่ควรจะปิดบังตัวเองอีกต่อไป มันจึงได้กลับร่างเป็นมังกรทมิฬขนาดใหญ่กว่าที่เผ่ามารจะได้รู้ความจริงก็โดยกินไปจนเกือบหมดเสียแล้ว ยิ่งกลืนกินสิ่งชั่วร้ายไปมากเท่าไหร่ขนาดตัวของเสี่ยวเฮยก็ขยายขึ้นใหญ่มากเท่านั้น ตอนนี้ที่กำลังทหารของแคว้นอู๋เห็นเสี่ยวเฮยกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น ก็ตัดสินใจกันแล้วว่าจะหนีเอาตัวรอดถึงแม้ว่าแม่ทัพจะไม่สั่งถอยทัพแต่ใครก็ย่อมกลัวตาย ต่างคนต่างรักชีวิตของตัวเองเมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทิ้งอาวุธออกวิ่งทันทีส่วนเสี่ยวเฮยที่กินเผ่ามารไปแล้วยังรู้สึกว่าไม่อิ่มเท่าไหร่ ต่างจ้องมองไปที่กำลังทหารของแคว้นอู๋ด้วยสายตาวาววั
ในขณะที่ฉีหลินกับเฟยเทียนเข้าไปในแคว้นอู๋อย่างราบรื่น ตอนนี้พวกเขาหาที่พักในเมืองหลวงของแคว้นอู๋ได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนปลอมตัวเป็นตายาย เปิดร้านขายบะหมี่ในตลาดนับว่าเป็นงานที่ท้าทายมากสำหรับเฟยเทียน งานขายบะหมี่นี้เขารับหน้าที่เป็นคนทำบะหมี่ ส่วนภรรยาอย่างฉีหลินนั้นทำหน้าที่เก็บเงิน ส่วนผู้ติดตามทำหน้าที่เสี่ยวเอ้อร์ พวกเขาเช่าร้านบะหมี่ต่อจากเจ้าของเดิมที่เก็บของเตรียมตัวย้ายไปอยู่กับลูกชายที่บ้านเกิดในระหว่างที่ท่านพ่อและท่านแม่ไปทำหน้าที่ทำภารกิจเพื่อความสงบสุข แต่ลูกน้อยทั้งสามคนที่หมู่บ้านป่าหมอกนั้นไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับ 3 คนแก่ที่บ้านสักเท่าไหร่ ไป๋อี้ถังเองยังไม่สามารถรับมือกับหลานน้อยทั้งสามคนได้ เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะอับจนหนทางถึงขนาดนี้ เจ้าสามคนนี่เกิดมาเพื่อสร้างความปั่นป่วนจริง ๆ“ท่านยุงถัง อันนี้ฉือไร” ฟางเซียน“หนังสือวรยุทธ์เบื้องต้น” ไป๋อี้ถัง“ท่านยุงถัง ฉอน เซียนเอ๋อร์ยักเรียน”“ฟางเซียนลุงว่าตอนนี้เจ้าไปนอนกลางวันกับน้องชายทั้งสองของหลานดีหรือไม่ เอาไว้รอให้เจ้าโตกว่านี้ลุงจะสอนให้ทุกอย่างเลย ต้าเซี่ย มาพาคุณหนูของเจ้าไปนอนกลางวันได้แล้ว”“แต่เซียนเอ๋อร์ไม่
Comments