เขาแยกแยะอยู่นาน นี่ถึงสามารถจำคนได้“จิ่นเอ๋อร์? เหตุใดเจ้าร้องไห้จนกลายเป็นเช่นนี้?”ซูจิ่นเอ๋อร์ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านไข้สูงตลอดทั้งคืน เกือบตายไปแล้ว ข้าสามารถไม่ร้องไห้ได้หรือ?”ฟู่หลานเหิงนี่ถึงนึกขึ้นได้ เมื่อวานเขาอ่านหนังสือราชการจบก็นอนสะลึมสะลือบนเตียง ไม่รู้เหตุใดเปลือกตาหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาก็ทำอันใดไม่ได้อีกที่แท้ก็ไข้สูง มิน่าเล่าตอนนี้จึงปวดตัวนัก“เจ้า เจ้าออกไปก่อน ประเดี๋ยวจะติดเอาได้” ฟู่หลานเหิงนึกถึงอาการของตน รีบพูดขึ้นซูจิ่นเอ๋อร์กลับส่ายหน้า สบมองเขาสายตาหนักแน่น “ข้าไม่ออกไป ข้าจะอยู่ดูแลท่านที่นี่ เมื่อวานก็เป็นข้าดูแลท่าน”ฟู่หลานเหิงยังอยากพูดอะไร ก็ได้ยินซูจิ่นเอ๋อร์พูดทั้งน้ำตา “เมื่อวานท่านเพิ่งกลับจากประตูวิญญาณมาได้เที่ยวหนึ่ง ข้าคิดตกหลายเรื่องนักใต้เท้าฟู่ ฟู่หลานเหิง ท่านโปรดตอบข้า ท่านไม่ชอบข้าจริงหรือ?”“ข้า...”ฟู่หลานเหิงอยากพูดว่าไม่ แต่เขากลับรู้ชัดภายในใจ เขาชอบสบมองดวงตาจริงใจคู่นั้นของซูจิ่นเอ๋อร์ ตอนนี้เขาจะหลอกหัวใจของตนได้เยี่ยงไร“จิ่นเอ๋อร์ ข้าแก่กว่าเจ้ามากนัก” ฟู่หลานเหิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง“นั่นแล้วอย่างไร?” ซูจ
“ได้”ถ้อยคำนี้นับว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ซูจิ่งสิงไม่มีอะไรให้พูดอีกบังเอิญคือซูจิ้งและนางหยางกำลังนั่งรถม้ามาหาพวกเขาที่เมืองอวี้พอดีระยะนี้สองผู้เฒ่าอยู่ที่บ้านไม่มีอะไรทำ ว่างก็ว่างจริงนั่นล่ะ วางแผนทำกิจการเพาะเลี้ยง“พวกเราวางแผนเลี้ยงหมู”“พรวด!”กู้หว่านเยว่เกือบพ่นน้ำชาออกมา เห็นว่าผ่านไปหลายเดือนผิวพรรณขาวขึ้นไม่น้อย แม้ว่าคล้ายฮูหยินสูงศักดิ์ในอดีต นางหยางกลับไม่ใส่ใจรักษาความสูงศักดิ์อีก นางเอ่ยถามออกไป“ท่านแม่ ท่านแน่ใจหรือ? ท่านจะเลี้ยงหมู?!”แม้แต่ซูจิ่งสิงเองก็ตกใจ หลังสงบลงแล้วจึงเอ่ยถาม “เหตุใดพวกท่านอยากเลี้ยงหมูเล่า?”นางหยางพูดว่า “นี่มิใช่ที่ว่าการอำเภอพูดว่ากิจการเพาะเลี้ยงได้รับการสนับสนุนหรอกหรือ ข้าและพ่อเจ้าอยู่ที่บ้านว่างงานไม่มีอะไรทำ มิสู้ไปลองดูสักหน่อย”เอ่ยถึงกิจการเพาะเลี้ยงนี้ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ากู้หว่านเยว่เพราะนางเป็นคนให้ที่ว่าการอำเภอประกาศสนับสนุนกิจการเพาะเลี้ยงนี้ ยังตีพิมพ์ตำราสอนการเพาะเลี้ยงอีกไม่น้อย วางไว้ที่ที่ว่าการอำเภอเพื่อมอบให้คนนำไปศึกษาเป้าหมายสำคัญก็เพื่อความร่ำรวย ทำให้เกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์ของเจดีย์หนิงกู่ พ
“หา?” นางหยางเกือบผุดลุกจากเก้าอี้ ข่าวนี้กะทันหันเกินไป“เจ้าเด็กคนนี้ นี่เรื่องเมื่อใดกัน เหตุใดกะทันหันเพียงนี้...”นางหยางยังจำครั้งก่อนฟู่หลานเหิงปฏิเสธลูกสาวของตนได้ สรุปคือทำให้นางเสียใจไปหลายวัน สำหรับคนรุ่นหลังอย่างฟู่หลานเหิง นางชมชอบอย่างมากแต่เป็นลูกเขย นางต้องดูให้ดีฟู่หลานเหิงทำให้จิ่นเอ๋อร์เสียใจไม่รู้มากน้อยกี่ครั้งแล้ว?“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าค่อยๆ พูดกับท่าน”กู้หว่านเยว่เห็นนางหยางใกล้หลุดคำปฏิเสธออกมาเต็มที รีบห้ามคนไว้ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ให้นางฟังหนึ่งรอบทีแรกนางหยางยังมีโทสะ ได้ยินว่าฟู่หลานเหิงถึงขั้นเป็นกาฬโรคเพื่อซูจิ่นเอ๋อร์ ความโมโหจึงหายไปครึ่งใหญ่จนกระทั่งได้ยินว่าซูจิ่นเอ๋อร์เกือบร้องไห้จนหมดสติเพราะฟู่หลานเหิง หัวคิ้วขมวดชนกันแน่นจิ่นเอ๋อร์ เป็นก้อนเนื้อที่หลุดออกจากร่างกายนางนางรู้อุปนิสัยดีที่สุดที่ผ่านมาเอาแต่ใจ ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ หลังถูกเนรเทศก็ดื้อรั้นมากยิ่งขึ้นไม่น้อยคนที่เด็กคนนี้เลือก ไม่มีวันเปลี่ยนอย่างง่ายดายนางหยางไม่ต่อต้านแล้ว หันมองซูจิ้งซูจิ้งกลับเป็นคนยอมรับได้อย่างว่องไวคนหนึ่ง หยิบกระดา
พริบตาต่อมาก็ถึงวันที่สิบห้าเดือนสามแล้ววันนี้ถูกกำหนดไว้ชั่วคราว แม้ว่าเร่งรีบไปบ้าง แต่ขั้นตอนที่พึงมีก็จะขาดไปไม่ได้สามหนังสือหกพิธี ฟู่หลานเหิงเตรียมการครบถ้วนสมบูรณ์ บิดามารดาสกุลฟู่เองก็ใจกว้าง ทั้งหมดล้วนทำตามความนัยของลูกชายวันแต่งงาน ซูจิ่นเอ๋อร์สวมชุดเจ้าสาวสีแดงตั้งแต่เช้า นั่งหน้าคันฉ่อง ราวกับกำลังฝันไปกู้หว่านเยว่กุมมือเล็กของนางไว้ ใส่กำไลทองหนักๆ หนึ่งวง เปล่งเสียงนุ่มนวล“ข้าและพี่ใหญ่เจ้าเตรียมคฤหาสน์ไว้ให้เจ้าที่เมืองอวี้และเมืองตะวันไม่ตกดินแห่งละหนึ่งหลัง โฉนดใส่ไว้ในสินเดิมของเจ้าแล้ว เส้นทางในภายภาคหน้า เจ้าต้องเดินด้วยตนเอง”“พี่สะใภ้ใหญ่” ซูจิ่นเอ๋อร์สะอื้นเบาๆ ใบหน้าเล็กถูกทาชาดไว้เผยความอ่อนเยาว์อย่างชัดเจน“เพิ่งสิบสี่ปี อิงตามหลักการแล้ว ยังต้องรออีกสองปี เพียงแต่ข้ารู้เจ้ากังวลร่างกายของใต้เท้าฟู่ ต้องการไปดูแลเขาโดยเร็ว พี่สะใภ้ใหญ่ก็ทำให้เจ้าสมปรารถนาแล้ว”กู้หว่านเยว่ช่วยซูจิ่นเอ๋อร์ปัดผมบนหน้าผาก ซูจิ่นเอ๋อร์ซาบซึ้งอย่างสุดจิตสุดใจ โผเข้าหาอ้อมกอดนางทั้งน้ำตา“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่ทำให้สมปรารถนา จิ่นเอ๋อร์มีวันนี้ได้ ล้วนได้รับการสั่งสอนจา
“เกิดอันใดขึ้น?”ซูจิ่งสิงส่งซูจิ่นเอ๋อร์ขึ้นเกี้ยว กวาดมองบรรยากาศเจือกลิ่นอายมีความสุข เป่าปี่ตีกลองเสียงดังมาก ทั้งสองเดินมาที่ฝั่งหนึ่งกู้หว่านเยว่กระซิบข้างโสตเขา “หร่านถิงส่งรายงานลับมา คืนนี้เถาเอ๋อร์ต้องการสั่งให้คนเผายุ้งฉางทุกแห่งเจ้าค่ะ”นางโมโหคันเขี้ยวแผนโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนักเพื่อดูแลผู้ลี้ภัย กู้หว่านเยว่สร้างยุ้งฉางไว้ทุกอำเภอภายในยุ้งฉางล้วนเป็นนางใช้มิติย้ายเข้าไปทุกยุ้งฉาง อย่างน้อยใส่เสบียงอาหารนับตันหากถูกเผาจริง เช่นนั้นนางก็เจ็บเนื้อแล้วยิ่งไปกว่านั้นเถาเอ๋อร์ไม่เสียดายเสบียงอาหารเลยแม้แต่น้อย ไม่ใส่ใจความเป็นตายของราษฎร์“ผู้ลี้ภัยของเจดีย์หนิงกู่มีหลายหมื่นคน เสบียงอาหารถูกเผา ผู้ลี้ภัยไม่มีเสบียงอาหาร เจดีย์หนิงกู่ต้องชุลมุนวุ่นวายเป็นแน่”ซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว จิตสังหารวูบไหวภายในก้นบึ้งของสายตาเถาเอ๋อร์คนนี้ อำมหิต!“นางมิใช่ต้องการเผายุ้งฉางหรือ เช่นนั้นก็ให้นางได้รับผลกรรมเองเถอะ”กู้หว่านเยว่แสยะยิ้มชั่วร้ายใช้แนวทางของฝ่ายตรงข้ามตอบโต้กลับไป นางเชี่ยวชาญที่สุดแล้ว“ความนัยของเจ้าคือ...”ซูจิ่งสิงชะงัก ก็เห็นกู้หว่านเยว่เขย่งเท้า ก
ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เดินเข้ามา เอ่ยถามสถานการณ์ ชิวจู๋รีบตอบ“ล้วนเป็นความผิดของบ่าว น้ำร้อนเดือดนี้ บ่าวไม่ถือให้ดี ราดใส่ตัวคุณชายรองแล้ว”ซูจื่อชิงกัดฟันอธิบาย “ไม่โทษนาง เป็นข้าเดินไม่ดูทาง เข้าไปชนนาง”ชิวจู๋ตกตะลึง มองซูจื่อชิงสายตาซาบซึ้ง“ไปที่เรือนส่วนในถอดเสื้อผ้าออก ใช้น้ำเย็นอาบ”กู้หว่านเยว่เอ่ยกำชับ น้ำร้อนนี้อุณหภูมิสูงมาก เพียงไม่ทันระวังก็ทิ้งแผลเป็นได้“ขอรับ”ครู่ต่อมาซูจื่อชิงมองทางเมี่ยชิงหว่าน เห็นว่าสายตาอีกฝ่ายหันมองทางอื่น มิมองเขา อารมณ์หม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด“พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไปเรือนส่วนในก่อนแล้ว”ซูจื่อชิงวิ่งไปยังเรือนส่วนในอย่างว่องไวปานเหินบิน“เจ้าเองก็เบิกยาทาแผลถูกลวกที่คลังมาเล็กน้อย เป็นเด็กผู้หญิงอย่าได้ทิ้งแผลเป็นไว้บนตัว”กู้หว่านเยว่สบมองชิวจู๋สายตาอ่อนโยน สาวใช้คนนี้ไม่คุ้นหน้าอยู่บ้าง อาจเป็นหลี่เฉินอันส่งมาช่วยเหลือกระมัง“ขอบคณฮูหยิน” ชิวจู๋หางตาแดงเรื่อ รีบขอบคุณและออกไป“จื่อชิงถูกลวกรุนแรงนัก ข้าไปดูหน่อย” กู้หว่านเยว่หันหน้าไปเอ่ยกับซูจิ่งสิง“ได้ ให้ชิงเหลียนประคองเจ้าไป”วันนี้มีคนมาก ซูจิ่งสิงเองก็ไม่อยากให
หลังซูจิ่นเอ๋อร์นั่งบนเกี้ยวแล้ว เสียงเป่าตีดังตลอดทางจนมาถึงคฤหาสน์หลังใหม่ของสกุลฟู่นี่คือฟู่หลานเหิงจัดการไว้สำหรับแต่งงาน ย่อมไม่สามารถแต่งงานแล้ว ก็พาภรรยาเข้าไปอยู่ในศาลาว่าการได้หรอกกระมังยิ่งไปกว่านั้นคฤหาสน์หลังนี้อยู่ห่างจากจวนกู้เพียงถนนสองสาย ครั้นเขาติดพันงานราชการ จิ่นเอ๋อร์ก็สามารถกลับไปเที่ยวเล่นที่จวนกู้ได้ทุกเมื่อก่อนนี้ฟู่หลานเหิงคิดมากเกินไป ไม่กล้ารับรักซูจิ่นเอ๋อร์ทว่าเพียงเขายอมรับแล้ว ก็ทำอย่างดีที่สุด อยากจะควักหัวใจออกมามอบให้ซูจิ่นเอ๋อร์ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนต้องมอบของดีที่สุดให้นาง“ใต้เท้า มีสหายร่วมงานมากมายมาแสดงความยินดีกับการแต่งงานของท่าน”“เชิญพวกเขาไปนั่งในงานเถอะ”เกี้ยวผ่านเข้าประตู ฟู่หลานเหิงจูงมือซูจิ่นเอ่อร์ข้ามเตาอั้งโล่ เข้าโถงหลักปูด้วยพรมแดง กราบไหว้ฟ้าดินเสียงคนทำพิธีดังออกไปภายนอก “หนึ่งคำนับฟ้าดินสองคำนับบิดามารดาสามสามีภรรยาคำนับกันและกัน”ซูจิ่นเอ๋อร์ได้ยินว่า “ส่งเข้าห้องหอ” สองสามคำนี้ รอยยิ้มหวานล้ำปรากฏขึ้นในแววตา ปล่อยฟู่หลานเหิงจูงผ้าแพรสีแดงของนางไปอย่างอิสระ ทีละก้าวๆ ส่งนางเข้าห้องใหม่สีแดงภายในกลุ่มคน สองสามคนจ
องครักษ์ข้างหน้ากำลังเดินไป คล้ายสังเกตไม่เห็น เงาดำหลายร่างนั้นกล้ามากขึ้น ลอบออกจากพวกเขา เข้าไปภายในยุ้งฉางห้าหกคนมารวมตัวกันในลาน คนหนึ่งกระซิบเสียงค่อย “ยังคิดว่าองครักษ์เฝ้ายุ้งฉางเข้มงวดมากเสียอีก ลอบเข้ามาได้ง่ายเพียงนี้เชียวรึ”“หุบปาก” คนเป็นหัวหน้ารู้สึกไม่ชอบมาพากล “ทำธุระสำคัญที่สุด”“เหนือใต้ออกตกแยกย้ายไปละคนทิศ ข้าไปใจกลาง ถึงแล้วราดน้ำมันในเต็มทุกพื้นที่ โยนหินเหล็กไฟเข้าไป ไฟติดแล้วก็ไป”“ขอรับ”แผนการเป็นขั้นเป็นตอน หลายคนนั้นต้องการโผล่ศีรษะออกไปภายในมุมหนึ่ง ลู่จิงดีดนิ้วเบาๆ จากนั้นเสียงหอนของหมาป่าก็ดังขึ้น“โบร๋ว”“มารดาเถอะ นี่คือเสียงอะไร ฟังแล้วชวนให้คนขนลุก”“คล้ายเสียงหมาป่า”“เหลวไหล ไฉนเลยจะมีหมาป่าภายในเมืองได้?” คนเป็นหัวหน้าสบถออกมาทีหนึ่ง ลูกน้องยกมือสั่นๆ “ไม่ใช่ พี่ พี่ใหญ่ ข้างหลังท่าน มีหมาป่าจริงๆ”มองเห็นหมาป่าตาเขียวเดินออกมาทีละตัวรอบทิศทาง สายตาจับจ้องพวกเขา“อ๊า!” หลายคนนั้นร้องออกมา หมาป่าถูกกระตุ้น ขาสองข้างย่ำพื้น กระโจนขึ้นมากัดขาหนึ่งในพวกเขา“อ๊า เจ็บจะตายแล้ว ช่วยด้วย!”จากนั้นเสียงร้องโอดครวญก็น่าสงสารมากยิ่งขึ้น หมาป
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้