ซื่อสี่รีบหุบปาก ในขณะที่ซูจื่อชิงพูดว่า “มันเป็นความประมาทของข้าเอง เลยไปเจอหมีเข้า ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น ถ้าพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่อยากโทษก็โทษข้าเถอะ”ว่าแล้วก็หลับตาลง ดูหมดอาลัยตายอยาก ส่งผลให้ซูจิ่งสิงสีหน้าบึ้งตึง“ถ้าเจ้าอยากตายก็ไม่มีใครห้ามเจ้าได้ เป็นลูกผู้ชายแต่แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาให้ใครดู?”“พี่สะใภ้ใหญ่ถามไถ่รายละเอียดของเรื่องราวด้วยความหวังดี แต่เจ้ากลับไม่ยอมให้ซื่อสี่พูด ทำไมหรือ เห็นพวกข้าเป็นคนนอกแล้วหรือ?”ซูจื่อชิงยังคงนิ่งเงียบ หลับตาอันแดงก่ำ ขนตาสั่นไหวเบา ๆ“ท่านพี่!”กู้หว่านเยว่ดึงเขาออกมา นางเข้าใจความเป็นห่วงเป็นใยของซูจิ่งสิงที่มีต่อน้องชาย“จื่อชิงอาจจะไปพบเจออะไรบางอย่าง ท่านพูดไปก็ไม่มีประโยชน์”“อาการบาดเจ็บของเขาเป็นยังไงบ้าง?”ในที่สุดซูจิ่งสิงก็ใจเย็นลง เขาไม่ได้เรียกร้องอะไรจริงจัง แค่ทนเห็นน้องหญิงต้องคับข้องใจไม่ได้ รวมถึงสภาพของน้องชายที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย“ข้าเพิ่งดูคร่าว ๆ ไม่เป็นอะไรมาก ทั้งหมดเป็นบาดแผลภายนอก ถึงจะดูน่ากลัว แต่ก็ไม่ถึงกับบาดเจ็บไปถึงกล้ามเนื้อและกระดูก แค่ดูแลให้ดีก็พอ แต่บนขาต้องมีรอยแผลเป็นแน่นอน”สำหรั
“หงเจา พรุ่งนี้เจ้าเอาผงหยกนารีนี้ไปส่งที่ร้านดอกท้อ”กู้หว่านเยว่กังวลว่าตัวเองจะลืม จึงมอบผงหยกนารีให้หงเจาก่อนเห็นเด็กสาวคนนี้รับผงหยกนารีไปแล้วแต่ก็ยังลังเลที่จะพูด จึงเลิกคิ้วขึ้น “มีอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ เลย”“ฮูหยิน”หงเจามีอะไรจะถามจริง ๆ แต่มันค่อนข้างยากที่จะเอ่ยปากนางรวบรวมความกล้า “ท่านไปที่กระโจมของศัตรู ได้พบกับคุณชายหร่านแล้วหรือยัง?”“ฮูหยินโปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าแค่อยากรู้ว่าเขาตายแล้วหรือยัง...ข้าแค่ถามไปอย่างนั้นเอง...”เสียงของหงเจาเบาลงเรื่อย ๆ ก้มศีรษะต่ำลงเรื่อย ๆกู้หว่านเยว่ชะงักไป เด็กสาวคนนี้ยังไม่ลืมหร่านถิงอีกหรือ? หรือว่าเป็นเพราะยังเด็กเกินไป?“เขายังไม่ตาย”กู้หว่านเยว่สังเกตอารมณ์ของหงเจา เมื่อนางได้ยินว่าหร่านถิงยังไม่ตาย ความเบิกบานก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้า พลางถอนหายใจโล่งอก“หงเจา เจ้าชอบหร่านถิงหรือ?”“ไม่ใช่อยู่แล้ว เหตุใดฮูหยินถึงถามเช่นนี้? เขาเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายมากรัก บ่าวเองก็รู้ดี จะไปชอบเขาได้ยังไง บ่าวรังเกียจคนแบบนี้ที่สุด”เสียงของหงเจาค่อนข้างวิตกกังวล ไม่รู้เลยว่าจะปกปิดความรู้สึกของตัวเองได้อย่างไร“หงเจา เจ้ายังเด็กนัก อายุแค่สิบ
ที่แท้เผยเสวียนได้รับบาดเจ็บจากหมี แต่เมี่ยชิงหว่านมาพบเข้าพอดี“คุณชายเผยใส่ร้ายว่าคุณชายรองจงใจทำร้ายเขา แม่นางชิงหว่านปกป้องคุณชายเผย คุณชายรองต้องการปกป้องแม่นางชิงหว่าน ผลปรากฏว่าตัวเองถูกหมีตัวนั้นกัด”ในที่สุดกู้หว่านเยว่ก็รู้เรื่องราวกระจ่างที่แท้เผยเสวียนชอบเมี่ยชิงหว่าน จึงจงใจวางกับดักซูจื่อชิง แต่กลับถูกซูจื่อชิงออกอุบายใส่ จนตัวเองได้รับบาดเจ็บจากหมีและเผยเสวียนยังเป็นพวกทำตัวใสซื่อ เกลี้ยกล่อมให้เมี่ยชิงหว่านเชื่อเขา ซูจื่อชิงต้องการปกป้องเมี่ยชิงหว่าน จึงได้รับบาดเจ็บจากหมีตัวนั้นเช่นกันประเด็นคือบาดเจ็บภายนอกเป็นเรื่องเล็กน้อย บาดเจ็บภายในใจต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่เขาคิดว่าเมี่ยชิงหว่านไม่เชื่อเขา“คุณหนูชิงหว่านบอกว่าคุณชายรองมีเจตนาร้าย คุณชายรองโกรธมากจนสะดุดล้ม ถึงถูกหมีทำร้ายบาดเจ็บ”ซื่อสี่ไม่กล้าปิดบัง เปิดเผยเรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบและซูจื่อชิงก็นึกถึงความทรงจำในตอนนั้น ดวงตาแดงเรื่อกู้หว่านเยว่กล่าวอย่างไตร่ตรอง “เจ้าเคยอธิบายให้เมี่ยชิงหว่านฟังไหม?”ซูจื่อชิงยิ้มเยาะ “ในเมื่อนางเชื่อเผยเสวียน ก็ให้นางเชื่อไปเถอะ ทำไมข้าต้องอธิบายด้วย”
นางเป็นห่วงเขามาก ไม่เช่นนั้นคงไม่เข้ามาเงียบ ๆ กลางดึกหรอกก็แค่จะยอมเสียหน้าไม่ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้กู้หว่านเยว่พานางเข้ามาด้วยตัวเอง นางจึงไม่มีอะไรให้ต้องงอแงไร้เหตุผลอีกตอนแรกซูจื่อชิงกำลังจะพูดว่า “เจ็บมาก” แต่พอคำพูดออกมาจากปากก็กลับเปลี่ยนเป็นว่า“เจ้าไม่ต้องลำบากมาสนใจหรอก เจ้าไปสนใจเผยเสวียนเถอะ”เมี่ยชิงหว่านอึ้งไปทันที “ท่านหมายความว่ายังไง?”ซูจื่อชิงยิ้มเยาะกล่าวว่า “ข้าพูดไม่ถูกหรือ? เพื่อเขาแล้ว เจ้าไม่กลัวแม้แต่หมีด้วยซ้ำ สละชีวิตเพื่อช่วยเขา”เมื่อนึกถึงภาพที่เมี่ยชิงหว่านกระโจนเข้าไปปกป้องเผยเสวียน ซูจื่อชิงก็รู้สึกไม่สบายใจ“นึกไม่ถึงเลยว่า เจ้ากับเขาเพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่กี่วัน ความสัมพันธ์ก็ลึกซึ้งได้ถึงเพียงนี้”ส่วนพวกเขาน่ะหรือ รู้จักกันมาเกือบปีแล้ว เมื่อก่อนทุกวันตัวติดกันเป็นดั่งเงา ไม่เคยเห็นเขาแสดงท่าทีร้อนรนกับนางเช่นนี้มาก่อน“ท่านกำลังพูดจาเหลวไหลอะไร?” เมี่ยชิงหว่านชักจะโมโหขึ้นมา “ที่ข้าเป็นห่วงเผยเสวียน เพราะเขาบอกว่าหมีถูกท่านล่อเข้ามา ข้ากังวลว่า...” กังวลว่าหากเผยเสวียนได้รับบาดเจ็บ คนสกุลเผยจะสร้างความลำบากให้ซูจื่อชิงใครจะไปรู้ว่าซ
แค่เรื่องของความรู้สึกเท่านั้น ไม่มีประโยชน์ที่คนอื่นจะเข้ามาก้าวก่าย ไม่พูดก็คือไม่พูดกู้หว่านเยว่กลับไปที่ห้องของตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไรตลอดทาง บังเอิญเจอซูจิ่งสิงที่กลับมาแล้วพอดี“โมโหอะไรถึงเพียงนี้?”กู้หว่านเยว่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ซูจิ่งสิงรู้สึกสงสารไปชั่วขณะ“เรื่องของพวกเขาสองคน เจ้าก็อย่าไปยุ่งอีกเลย ตอนนี้เจ้ายังอยู่ในช่วงอยู่ไฟ จะเหนื่อยกายเหนื่อยใจไม่ได้”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ได้ยินซูจิ่งสิงพูดเคล้าเสียงหัวเราะ “เจ้าอยากได้แม่นมมาช่วยสองคนมิใช่หรือ? ข้าออกไปหาแม่นมมาให้เจ้าสองคนแล้ว”ซูจิ่งสิงปรบมือ หญิงสองคนเข้ามาจากด้านนอก“บ่าวขอคารวะฮูหยิน”“แม่นมสองคนนี้ข้าเลือกมาจากสตรีในเรือนองครักษ์ลับ สัญญาขายตัวทั้งหมดอยู่ในมือของเรา เป็นคนซื่อสัตย์และเชื่อถือได้” ซูจิ่งสิงกล่าวแนะนำกู้หว่านเยว่เหลือบมองใบหน้าของทั้งสอง แน่นอนว่าทั้งคู่ซื่อตรงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมดังนั้นจึงเรียกพวกนางเข้ามาหา แล้วกำชับข้อควรระวังเกี่ยวกับทารกน้อยหลายอย่าง“จ้านจ้านยังอยู่กับย่าของเขา อีกหนึ่งชั่วยามพวกเจ้าคอยอุ้มเขากลับมา ให้เขาอยู่กับย่าของเขาอีกสักพักก่อน”กู้หว่านเยว่เข้าใ
“เดี๋ยวข้าจะให้เจียงเฟิ่งพาพวกเจ้าไปยังที่ดิน ช่วงนี้พวกเจ้าจะได้เรียนรู้เรื่องการปลูกดอกไม้ในที่ดิน หลังจากนั้นไม่กี่วัน ข้าจะไปตรวจงาน”กู้หว่านเยว่หยิบตำราการดูแลจัดการพื้นที่การเกษตรสองเล่มออกมาวางไว้บนโต๊ะ“พวกเจ้ารู้หนังสือไหม?”“ข้าพอรู้บ้าง แต่แม่ของข้าไม่รู้”เหมยจื่อตาแดง พี่เจิ้งเป็นคนสอนหนังสือให้นาง“เช่นนั้นข้าขอมอบหนังสือสองเล่มนี้ให้เจ้า เจ้าว่างเมื่อไหร่ก็เปิดอ่านดู”การปลูกดอกไม้เป็นเรื่องรอง สิ่งที่นางต้องการไม่ใช่ชาวสวนดอกไม้ แต่เป็นผู้ที่ดูแลจัดการพื้นที่การเกษตรได้ดี“เจ้าค่ะ บ่าวจะตั้งใจอ่านอย่างเต็มที่”เหมยจื่อรีบรับหนังสือมา สองแม่ลูกเดินตามเจียงเฟิ่งไปกู้หว่านเยว่หันไปมองจ้านจ้านอีกครั้ง เด็กคนนี้เป็นลูกน้อยเทวดา เดินตามชุนเหนียงและจิ่วเหนียงซึ่งเป็นแม่นมทั้งสองอย่างว่าง่าย ไม่ร้องไห้ไม่ส่งเสียงดัง กินอิ่มแล้วก็เข้านอน“พวกบ่าวไม่เคยเลี้ยงเด็กที่สบายใจเช่นนี้มาก่อนเลย”นี่ไม่ใช่คำเยินยอ ทั้งสองชื่นชอบคุณชายน้อยจากใจจริง“อุแว้ อุแว้...” เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือน้อยหย็อย ๆ อยากให้แม่อุ้มละมุนละไมจนหัวใจของกู้หว่านเยว่ละลายไปแล้ว รีบอุ้มจ้านจ้านขึ้นม
“ต้องขอโทษด้วยเจ้าค่ะเผยฮูหยิน ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องไปทำเดี๋ยวข้ากลับถึงจวนแล้ว จะให้สาวใช้นำอาหารบำรุงมาส่ง”“ไม่ ไม่ต้องหรอก”เผยฮูหยินรีบปฏิเสธ “คุณหนูฟู่ เจ้ารู้ว่าเสวียนเอ๋อร์ไม่ได้ขาดแคลนสมุนไพร หากเจ้าใช้เวลาอยู่กับเขามากกว่านี้ เขาจะยิ่งดีใจมาก”ว่าแล้วนางก็เช็ดน้ำตาที่หางตา ช่างมีหัวใจของผู้เป็นแม่ที่คิดถึงลูก ต้องการเพียงให้ลูกชายมีความสุขจริง ๆ“ถ้าคุณชายเผยอาการหนัก ก็เรียกหมอได้”ความชอบที่เผยเสวียนมีต่อนาง นางเข้าใจดี แต่นางไม่ได้ชอบอีกฝ่ายเลยเป็นเพื่อนกันได้ แต่หากต้องการการตอบรับ นางไม่สามารถให้ได้“คุณหนูฟู่...” เผยฮูหยินไล่ตามมาถึงประตูก็ยังรั้งเมี่ยชิงหว่านไว้ไม่อยู่ มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ไม่หันหลังกลับ พลางขมวดคิ้ว“คุณหนูฟู่ผู้นี้ใจร้ายมาก ข้าโน้มน้าวถึงขนาดนี้ นางยังไม่อยู่ต่อ”ถ้าเมี่ยชิงหว่านอยู่ที่นี่คงตกใจมาก เผยฮูหยินเปลี่ยนอากัปกิริยาจากแม่ผู้จนปัญญาเมื่อครู่ กลายเป็นเต็มไปด้วยความโกรธเคืองทันทีเผยเสวียนที่ยังนอนพูดจาเลอะเลือนอยู่บนเตียงเมื่อครู่ก็ลุกขึ้นนั่งเช่นกัน“ท่านแม่ระวังคำพูดด้วย หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง”ที่แท้สองแม่ลูกคู่นี้เส
ทางสายนี้ เว้นเสียแต่ร้านดอกท้อที่มีกิจการเต็มทุกพื้นที่แล้ว ร้านอื่นสองสามแห่งล้วนลำบากมากกู้หว่านเยว่ดื่มชาหนึ่งอึก“กิจการร้านดอกท้อดีเพียงนี้ น่ากลัวว่าร้านขายชาดแห่งอื่นอีกหลายร้านจะต้องนั่งไม่ติดแน่”ชิงเหลียนและหงเจาลำพองใจมาก “พวกเขาร้อนใจไปก็ไม่ได้อะไร ชาดของร้านพวกเราใช้ได้ดีกว่าร้านอื่นมากนัก”ทั้งสองคนพูดไป จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังหน้าประตู“ทุกคนอย่าซื้อที่นี่เลย ร้านเพียวเซียงจวีข้างๆ ขายผงหยกนารี หนึ่งกล่องเพียงหนึ่งตำลึงเท่านั้น”วันนี้มิใช่วันที่หนึ่ง และไม่ใช่วันที่สิบห้า ผงหยกนารีของร้านดอกท้อไม่ขายมีคนมากมายล่วงหน้ามาถามถึงผงหยกนารี กลับไม่ได้รับอะไร กำลังผิดหวังอยู่เชียว ก็ได้ยินว่าร้านเพียวเซียงจวีเองก็มีผงหยกนารี แต่ละคนหูตั้งตรง“หนึ่งตำลึง? ผงหยกนารีของร้านดอกท้อตั้งสิบตำลึงนะ”“ความแตกต่างนี้มากเกินไปแล้วกระมัง”“ล้วนเป็นขี้ผึ้งสีขาวเฉกเช่นเดียวกัน แม้แต่กล่องเหล็กก็เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว พวกเราลองไปซื้อดูดีหรือไม่?”ฮูหยินสองสามคนพูดไป จูงมือกันแยกย้ายออกจากร้านดอกท้อ ไปที่ร้านเพียวเซียงจวีทันใดนั้นคนภายในร้านดอกท้อถึงขั้นน้อยลงครึ่งหนึ่งรอยยิ้ม
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้