ซูจื่อชิงขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามกู้หว่านเยว่โน้มตัวลง และใช้ปลายนิ้วถูพื้นผิววัตถุ หัวคิ้วของเขาขมวดกันแน่นกว่าเดิมพลางกล่าว “ที่นี่น่าจะเป็นภูเขาไฟ”“อะไรคือภูเขาไฟ?”ทุกคนเกิดความสงสัยนางอธิบาย “มันก็คือหินหลอมเหลวและเปลวไฟที่ปะทุออกมาจากใต้ภูเขา เปลวไฟสามารถปะทุออกไปไกลได้หลายลี้ ทำให้ต้นไม้ที่อยู่ในรัศมีสิบลี้บริเวณนี้ถูกไฟแผดเผาไปหมดสิ้น อีกทั้งพื้นผิวแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยสสารพวกแร่ธาตุและกำมะถันและหินดำ”คำนามที่นางกล่าวออกมาทีละคำ ทุกคนล้วนแต่ไม่เข้าใจ กลับมีแค่อวิ๋นมู่ที่มองกู้หว่านเยว่ด้วยท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง“ที่นี่น่ากลัวขนาดนี้ เรารีบข้ามภูเขาหู่หลางไปดีกว่า”กู้หว่านเยว่ยังไม่ทันกล่าวจบ บนภูเขาหู่หลางนอกจากภูเขาไฟแล้วก็น่าจะมีสัตว์ร้ายอีกไม่น้อยแต่เมื่อเห็นทุกคนมีท่าทีหวาดกลัว นางจึงไม่กล่าวอะไรอีกขณะที่เดินเข้าไปจนกระทั่งถึงกลางเขาของภูเขาหู่หลางนั้น ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง ซุนอู่จึงประกาศให้ทุกคนตั้งค่ายอ้างแรมกันที่นี่“ทุกคนจุดไฟกองใหญ่หน่อยนะ ดึกดื่นค่อนคืนอาจจะมีสัตว์ร้ายออกมาก็ได้”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือนทันทีที่สิ้นสุดเสียง นางก็ได้ยินเสียงหอนข
“อยากกิน”กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างคาดหวัง นางคาดหวังจนถึงขั้นจินตนาการถึงวิธีการย่างหมาป่าทั้งหมดในหัวของนางแล้ว“รอก่อน”ซูจิ่งสิงหยิบคันธนูและลูกธนูออกมา จากนั้นก็เล็งเป้าหมายไปที่ฝูงหมาป่าที่อยู่ในความมืด“มืดขนาดนี้จะยิงโดนไหม?”สิ้นสุดเสียง นางกลับเห็นว่าลูกธนูในมือของซูจิ่งสิงนั้นพุ่งตัวออกไปติดต่อกันสามครั้งแล้ว“สวบ” กระทั่งได้ยินเสียงของปลายธนูที่เสียบทะลุเนื้อดังขึ้นกู้หว่านเยว่รีบคลานเข้าไปตรวจสอบ จนกระทั่งลากซากหมาป่าที่ตายแล้วทั้งสามตัวออกมาอย่างมีความสุข“ท่านพี่ ท่านเก่งมาก ไม่เพียงแค่ยิงโดนเท่านั้น ทั้งยังทำให้ฝูงหมาป่าหนีกระเจิงไปอีกด้วย”นางดูผลงานนั้นอย่างตั้งใจ ธนูดอกนี้ของซูจิ่งสิงน่าจะเสียบเข้าที่หัวของหมาป่า จึงทำให้ฝูงหมาป่าที่เหลือตกใจจนหนีไปซูจิ่งสิงแอบดีใจกับคำชมของนางอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับนิ่งสงบ“ไม่ใช่เพราะเจ้าอยากกินเนื้อหมาป่าหรอกหรือ รีบลากมันมานี่ ข้าจะได้ช่วยจัดการให้เจ้า”“เยี่ยม” กู้หว่านเยว่เก็บหมาป่าไว้ให้ตัวเองหนึ่งตัว แล้วแบ่งหมาป่าตัวที่สองให้นักการในศาลาว่าการ จากนั้นก็แบ่งหมาป่าตัวที่สามให้กับครอบครัวอื่น ๆ หลี่ฮูหยินรับเน
“คุณชาย ข้าเองก็อยากกิน”ทางด้านกองไฟ มู่ชิงกำลังมองเนื้อหมาป่าด้วยความอยากกระหาย เขาอยากกินจนน้ำลายไหลหยดย้อย“หรือว่าเราจะไปขอหมอเทวดาน้อยสักหน่อยดีไหม หมอเทวดาน้อยจะต้องให้แน่นอน”“ห้ามไป”อวิ๋นมู่ชำเลืองมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์หมาป่าเหล่านั้นเป็นฝีมือการล่าของซูจิ่งสิง เขาไม่อยากได้อยู่แล้วมู่ชิงกัดธัญพืชแห้งหนึ่งคำ ก่อนจะหันไปเห็นภาพที่ซูจิ่งสิงกำลังฉีกเนื้อป้อนกู้หว่านเยว่พอดี จึงอดถามอย่างหดหู่ไม่ได้“คุณชาย ท่านแน่ใจหรือว่าหมอเทวดาน้อยกับสามีของนางนิสัยไม่ดี ข้าว่าสองคนนั้นเหมือนดั่งกิ่งทองใบหยก นิสัยก็ดี”คุณชายของเขาเองก็ไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิง ทำไมถึงได้ตกหลุมรักกู้หว่านเยว่ตั้งแต่แรกเห็นถึงแม้ว่ากู้หว่านเยว่จะเก่งมาก ทักษะการแพทย์ก็สูงแต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นหญิงสาวที่มีสามีแล้ว!“พูดมาก”อวิ๋นมู่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็หันกลับไปมองซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ด้วยความไม่สบอารมณ์อยู่ในใจแต่เมื่อคิดถึงเป้าหมายในการเข้ามาในภูเขาหู่หลางครั้ง ทั้งยังเตือนตัวเองว่าถลำลึกสู่ความสัมพันธ์ของชายหญิง ครั้งนี้เขามีภาระที่ต้องทำ โอกาสที่สกุลอวิ๋นจะได้พลิกกลับมารุ่งเรืองอีก
ฝีเท้าของกู้หว่านเยว่รวดเร็วดุจสายลม นางวิ่งด้วยความเร็วสูงอยู่ในป่า“โจร” ด้านหลังยังคงวิ่งไล่ตามมาติด ๆ และพยายามเล็งธนูมาที่พวกเขาภูเขาที่โล่งเตียน ไม่มีต้นไม้เป็นอุปสรรค พวกเขาเหมือนกระต่ายน้อยสองตัวที่อยู่ในสายตาของศัตรูแต่กู้หว่านเยว่ไม่ใช่กระต่ายน้อยธรรมดา นางเป็นกระต่ายที่วิ่งเร็วที่สุด ไม่ว่า “โจร” ด้านหลังจะยิงธนูใส่อย่างไร ร่างกายอรชรที่ปราดเปรียวของนางก็ยังสามารถหลบไปซ้ายทีหลบไปขวาทีได้อย่างแม่นยำ“ให้ตายเถอะ แม่นางผู้นี้มีดวงตาด้านอยู่หลังหรืออย่างไร!”ถูซาน “โจร” ที่อยู่ด้านหน้าขยี้หัวอย่างหงุดหงิด หญิงสาวผู้นี้คงจะไม่ใช่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา เพราะนางแบกบุรุษวิ่งเร็วกว่าเหล่าชายฉกรรจ์อย่างพวกเขา!เมื่อเห็นว่าตัวเองไล่ตามมาหลายลี้แล้วแต่ก็ยังไล่ตามกู้หว่านเยว่ไม่ทัน ถูซานจึงกระตุ้นวิชาตัวเบาอย่างโกรธเคือง จากนั้นก็หยิบมีดเล่มใหญ่เขวี้ยงไปยังแผ่นหลังของกู้หว่านเยว่“ระวัง!”รูม่านตาของซูจิ่งสิงหดลงทันทีแต่เขากลับเห็นกู้หว่านเยว่หันกลับมาอย่างฉับพลันและกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย“กล้าลอบโจมตีจากด้านหลังใช่ไหม? เช่นนั้นก็กินลูกเตะข้าหน่อยละกัน!”กล่าวจบ เสี้ย
แต่ซูจิ่งสิงต้องการ นางเชื่อใจเขาโดยจิตใต้สำนึกเพียงแต่ว่าเขาจะใช้ปืนเป็นใช่หรือไม่?หลังจากที่เห็นซูจิ่งสิงคว้าปืนไป เขาได้ทำการเลียนแบบท่าทางของกู้หว่านเยว่แล้วลั่นไกปืน แรกเริ่มเขายังจับไม่ถนัดมือนัก แต่หลังจากยิงปืนออกไปได้สองครั้ง ทุกอย่างก็เข้ามือแม้กระทั่งการเล็งเป้าหมาย เขาก็เล็งมันได้อย่างแม่นยิ่งกว่ากู้หว่านเยว่ปืนหนึ่งนัด ยิงทะลุร่างของโจรกระจอกหนึ่งคนตั้งแต่การไล่ล่าในช่วงแรก ไปจนถึงสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดได้ปรากฏขึ้น พวกโจรเหล่านั้นต่างเริ่มหนีอย่างสุดชีวิตสุดท้ายทุกอย่างก็พลิกผันไปจากเดิม ก่อนหน้านั้นกู้หว่านเยว่เป็นฝ่ายหนีอย่างบ้าคลั่งอยู่ข้างหน้า พวกโจรไล่ลามอยู่ด้านหลังตอนนี้กลับกลายเป็นพวกโจรที่เป็นฝ่ายวิ่งหนีอย่างลนลาน ส่วนสองสามีภรรยาก็เดินเอ้อระเหยอยู่รอบ ๆ อย่างสบายอารมณ์พร้อมกับปืนคนละกระบอกอีกทั้งกู้หว่านเยว่ยังพบกับเรื่องที่ไม่คาดคิด ดูเหมือนว่าโจรกลุ่มนั้นจะมีปัญหาเข้าแล้ว หลังจากที่พวกเขาวิ่งไปได้ไม่นาน ขาทั้งสองข้างก็อ่อนกำลังและล้มลงไปบนพื้น“เก็บชีวิตไว้เถอะ”เมื่อเห็นในกลุ่มที่เหลือเพียงโจรธรรมดาไม่กี่คน ซูจิ่งสิงก็คืนปืนให้กู้หว่านเยว่
โจรคนนั้นเอาแต่โขกหัวกับพื้นอย่างต่อเนื่อง ความเจ็บปวดนั้นทวีความรุนแรงจนเขาอยากตายไปเสียรู้แล้วรู้รอดในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าการตายทั้งเป็นอย่างที่กู้หว่านเยว่เอ่ยนั้นหมายความว่าอย่างไร หญิงสาวผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก!นางหยิบยาที่ใช้ทรมานคนเช่นนี้ออกมาใช้อย่างง่ายดาย“ขอร้อง ข้อร้องเจ้าล่ะ ให้ข้าหายปวดเถอะ อย่าทรมานข้าเช่นนี้เลย....”การโจมตีของเสียงที่แหลมแสบแก้วหูนั้นทำลายสติสัมปชัญญะของคนคนหนึ่งไปโดยสิ้นเชิง โจรในตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้ในสมองของเขาไม่ได้คิดถึงสิ่งใดเลย เขาแค่อยากตายให้มันหลุดพ้นกู้หว่านเยว่เห็นเวลาที่มันสมควรแล้ว จึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ตอนนี้เจ้าคงบอกได้แล้วสินะว่าใครส่งพวกเจ้ามาลอบฆ่าพวกเรา”“เป็นหวายหนานอ๋อง! คุณชายเว่ยเสนอความคิดให้หวายหนานอ๋อง ด้วยการให้ผู้ชายแต่งกายเป็นโจรแล้วมาลอบสังหารซูจิ่งสิง”ความจริงแล้วในใจของกู้หว่านเยว่ก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะต้องเป็นมู่หรงอวี้ ถึงอย่างไรก็เพิ่งเจอกับพวกเขาในเมืองตงโจว ไม่ถึงสองวันก็โดนลอบสังหารนอกจามู่หรงอวี้แล้วก็คงไม่มีใครคนอื่นแค่คาดไม่ถึงว่าเว่ยเฉิงจะให้มู่หรงอวี้วางแผนเช่นนี้แม้จะกล่าวได้ว
กู้หว่านเยว่มุ่ยปากอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็สะบัดเสื้อของเขาด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด“ไหล่โดนกัดก็จริง แต่ข้าไม่รู้นี่ว่าจะเหลือร่องรอยเอาไว้ตรงไหน....”โชคดีที่นางเห็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ราบรื่นของเขาในคืนเข้าหอ ยังคิดว่านี่เป็นครั้งแรกของเขา ที่ไหนได้นางถูกหลอกเข้าแล้ว!ในใจของกู้หว่านเยว่เต็มไปด้วยความริษยา เหมือนกับว่านางกำลังทับรอยเก่าของเขาอย่างไรอย่างนั้นหลังจากที่ซูจิ่งสิงได้ยินคำกล่าวของนางก็รีบก้มมองทันที ในตอนที่เขาเห็นรอยฟันที่มีลักษณะเป็นรูปจันทร์เสี้ยวนั้น ก็รีบอธิบาย“น้องหญิง เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด นี่ไม่ใช่รอยกัดของหญิงสาวนะ”“ท่านอย่าบอกข้านะว่านี่คือรอยแมลงกัด”ซูจิ่งสิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่กลับรู้สึกว่ากู้หว่านเยว่ที่เป็นเช่นนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ“แน่นอนว่าไม่ใช่รอยแมลงกัดต่อย แต่ไม่ใช่รอยกัดของหญิงอื่น นี่คือรอยที่ท่านพ่อข้ากัดทิ้งไว้ ข้าเกิดทางตอนใต้ของเมือง ก่อนที่ข้าจะตามท่านแม่เข้าเมือง เขาได้ทิ้งรอยนี้ไว้บนไหล่ของข้า ป้องกันไม่ให้ข้าพลัดหลง หากเจ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูรอยแผลบนตัวข้าอย่างละเอียดอีกครั้งสิ มันเป็นแผลเก่าเมื่อนานมาแล้วใช่หรือไม่”กู้หว่าน
กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมองหน้ากัน ทั้งสองต่างเห็นความตื่นตระหนกบนใบหน้าของอีกฝ่าย“จื่อชิง เขาตกอยู่ในอันตรายแล้ว!”“ไป พวกเราไปหาเขากัน”ทั้งสองรีบรุดไปยังทิศทางที่ส่งเสียงมา แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาก็ยังตกตะลึงเป็นอย่างหนักเห็นเพียงซูจื่อชิงกำลังถูกงูเหลือมยักษ์สีแดงตัวหนาเท่าขอนไม้ตัวหนึ่งรัดแน่น โผล่มาแต่ส่วนหัวที่กำลังตื่นกลัวเท่านั้นอาจจะถูกบีบร่วงลงมาได้ทุกเมื่อสิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ตรงหน้างูเหลือมยักษ์มีหญิงสาวชุดแดงกำลังบัญชาการอย่างตื่นเต้น“เจ้าแดงลูกรักทำดีมาก สั่งสอนบทเรียนเขาให้สาสม เขาขโมยไข่งูของเราไป ไอ้หัวขโมยไร้ยางอาย!”ขโมยไข่งูหรือ?แม้ว่าซูจื่อชิงจะยังเด็ก แต่ก็ถูกสอนให้ซื่อสัตย์ จะไม่ทำเรื่องขโมยของเด็ดขาดมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?ทั้งสองซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหิน กลั้นหายใจคอยสังเกตการณ์สายตาอันแหลมคมของกู้หว่านเยว่สังเกตเห็นว่า มีไข่งูสองฟองวางอยู่แทบเท้าของหญิงสาวชุดแดง หนึ่งในนั้นแตกแล้ว มีไข่ขาวไหลออกมาหรือว่าซูจื่อชิงจะขโมยไข่จริงๆ?ซูจื่อชิงที่ถูกงูเหลือมสีแดงพันรอบตัวอยู่ ได้ยินหญิงส
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป