เพิ่งขึ้นหลังม้า กู้หว่านเยว่ก็จับมือซูจิ่งสิงตรวจชีพจรเล็กน้อยสรุปคือถึงขั้นหาไม่พบว่าเขาถูกวางยาพิษอะไรดูท่าแล้วพิษนี้รับมือได้ยากอยู่บ้างจะต้องรีบพาคนกลับไป ยิ่งช้าก็ไม่แน่ว่าจะยิ่งอันตรายฉู่เฟิ่งเองก็มองออกแล้ว สีหน้านายท่านเผือดซีดดุจกระดาษ หลับตาแน่นทั้งสองข้าง เหงื่อผุดพราวเต็มศีรษะ มองดูแล้วคล้ายอาการแย่มาก“ฮูหยิน ตอนท่านไปได้พบกับเหยลวี่เจิงหรือ?”“เปล่า” กลับได้พบคนอื่น“ข้าว่าเจ้าไร้มารยาทเกินไปแล้วกระมัง ข้าตะโกนตามหลังนานมากเพียงนี้ เจ้าถึงขั้นขี่ม้าออกมาเช่นนี้ ทิ้งข้าไว้ข้างหลัง?”สตรีชุดขาวไล่ตามหลังมา สายตายามมองกู้หว่านเยว่เปี่ยมความโมโหระคนเขินอายเพื่อไล่ตามมาอย่างว่องไว ผมเผ้ายุ่งเหยิงอยู่บ้าง“ท่านอ๋องถูกวางยาพิษ รีบส่งเขาให้ข้า”สตรีชุดขาวเร่งรัด ทำเสียจนกู้หว่านเยว่พูดไม่ออก “ข้ารู้ว่าเขาถูกวางยาพิษ แต่ถือสิทธิ์อะไรต้องให้เจ้า?”“ขอล่ะ ตกลงเจ้าใช่ภรรยาจิ่งสิงหรือไม่ เหตุใดคล้ายไม่ใส่ความเป็นตายของเขาเลยเล่า? ในเมื่อเขาถูกวางยาพิษ ย่อมต้องรีบจัดการ!”สตรีชุดขาวลำพองใจหลายส่วน“ข้าเป็นวิชายุทธ์ สามารถใช้กำลังภายในยับยั้งอาการบาดเจ็บของเขาไว้ได้ช
พูดอ้อมค้อมอย่างสุภาพ กู้หว่านเยว่ก็เป็นเจ้านายของเขาครึ่งหนึ่งไฉนเลยเขาจะทำตามคำพูดของซวนลู่ ไปเป็นปรปักษ์กับนายท่านได้?“อะไรนะ ท่านอ๋องดีต่อนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”สายตาซวนลู่หนักอึ้ง ยังไม่ยอมตัดใจ “แต่ตอนนี้ท่านอ๋องตกอยู่ในอันตราย กำลังภายในของข้าสามารถยับยั้งพิษของเขาได้ชั่วคราว”“ท่านอ๋องเป็นชายของข้า เขาถูกพิษ ข้าย่อมต้องใส่ใจ แม่ทัพซวนยังดูแลตนเองให้ดีเถอะ”กู้หว่านเยว่ได้เห็นท่าทีของฉู่เฟิงแล้ว คร้านจะสนใจซวนลู่ พาองครักษ์จันทราจากไป“เจ้า!”สายตาซวนลู่หนักอึ้ง “คุณหนูสูงศักดิ์สกุลกู้ตัวดี ดูเบาเจ้าเกินไปแล้ว”นางยกเท้าไล่ตามไป อีกเดี๋ยวนางกลับอยากเห็น หากอาการของท่านอ๋องร้ายแรงยิ่งขึ้น กู้หว่านเยว่จะอธิบายเยี่ยงไรระหว่างทางกู้หว่านเยว่พาซูจิ่งสิงกลับจวนกู้นางใคร่ครวญตลอดทาง ซูจิ่งสิงไล่ตามเหยลวี่เจิงไป ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดซวนลู่จึงไปอยู่ที่นั่นแต่ทั้งหมดเป็นเพียงการหยั่งเดาของนาง ทั้งหมดยังต้องรอซูจิ่งสิงฟื้นขึ้นมา ถึงจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น“เข้าทางประตูข้าง อย่าทำให้คนอื่นตกใจ”โดยเฉพาะนางหยางและซูจิ้ง กังวลผู้เฒ่าทั้งสองจะรับไม่ไหว“ขอรับ”
ข้ารู้แล้ว เจ้าจะต้องได้ยินว่าข้าสามารถใช้กำลังภายในยับยั้งพิษของท่านอ๋องได้ดังนั้นเจ้าจึงว้าวุ่น คิดจะทำตัวโดดเด่นต่อหน้าท่านอ๋อง”กู้หว่านเยว่เกือบหัวเราะออกมาเพราะข้อสันนิษฐานของนางแล้ว ขมวดคิ้วมุ่น“เจ้าไม่ได้ป่วยกระมัง?”“เหตุใดเจ้าโจมตีข้าถึงเพียงนี้?” ซวนลู่มั่นใจบางอย่างแล้ว “จิตใจโหดเหี้ยมดังคาด”ชิงเหลียนทนไม่ไหวอีกต่อไป “เจ้าถือสิทธิ์อะไรปรักปรำฮูหยิน ฮูหยินเป็นวิชาแพทย์”ซวนลู่ไม่รู้จักชิงเหลียน ไม่ใส่ใจนาง เอ่ยเตือนกู้หว่านเยว่อย่างห่วงใย“ข้าส่งคนไปขอร้องปรมาจารย์แพทย์แล้ว ข้าชี้แนะเจ้าอย่าได้ฝังเข็มท่านอ๋องด้วยตนเอง หาไม่แล้วหากเกิดเรื่องอะไร ใครก็รับผิดชอบไม่ไหว”นางเดินไปที่ข้างเตียงด้วยสีหน้าปวดใจ คล้ายอยากเห็นซูจิ่งสิงทว่ายังไม่ทันถึงข้างเตียง กู้หว่านเยว่ก็ยกเท้าถีบนางออกไปอย่างกะทันหัน ในขณะเดียวกันก็แย่งเข็มเงินจากมือนางด้วย“สกปรกแย่แล้ว”นางโยนเข็มเงินของตนลงถังขยะอย่างรังเกียจ หมุนตัวเปลี่ยนเป็นเล่มที่สะอาดซวนลู่ถูกถีบออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว คนงุนงงแล้ว“เจ้าถึงขั้นขวัญกล้าถีบข้า!”รู้สึกตกตะลึงสั่นสะท้านภายในใจ สตรีคนนี้ถึงขั้นเป็นวิชายุทธ์ ดู
กู้หว่านเยว่หัวเราะ กลับเกิดความคาดหวังต่อคำพูดของชิงเหลียนภายในใจ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”ชิงเหลียนตอบตามสัตย์จริง “พวกบ่าวเป็นคนที่ท่านอ๋องชุบเลี้ยงไว้โดยเฉพาะ เพื่อปกป้องว่าที่พระชายา หากนางมีอะไรกับท่านอ๋องจริง บ่าวไม่มีวันไม่รู้เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่เองก็เชื่อซูจิ่งสิงกลับหึงหวงอย่างอดไม่ได้นางพูดอย่างนึกสนุก “รอเจ้านายของเจ้าฟื้นขึ้นมา ถามตัวเขาดูก็รู้แล้ว”“ฮูหยินถามก็พอ หากนายท่านมีอะไรกับนางจริง เช่นนั้นบ่าวก็ขอติดตามฮูหยิน!” ชิงเหลียนเอนเอียงไปทางกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่เปลี่ยนเข็มเงิน ขับพิษให้ซูจิ่งสิงต่อไม่รู้ผ่านไปนานมากเพียงใด พิษที่ถูกกำลังภายในยับยั้งไว้ในร่างกายของซูจิ่งสิง กำเริบออกมาแล้วนี่เป็นสัญญาณดี มีเพียงเป็นเช่นนี้ นางถึงจะสามารถประเมินได้อย่างแม่นยำว่าซูจิ่งสิงโดนพิษอะไร จากนั้นค่อยถอนพิษให้เขา“ร้อนเหลือเกิน”ปรากฏว่ากู้หว่านเยว่พบอย่างคาดไม่ถึง สีหน้าเขากลายเป็นแดงก่ำเพียงแตะโดน ใบหน้านางเองก็แดงแล้วยากระตุ้นกำหนัด?เหตุใดซูจิ่งสิงถูกยาเช่นนี้ได้เล่า กู้หว่านเยว่รีบหายาถอนพิษในมิติ ขณะกำลังหยิบยาถอนพิษออกมาจู่ๆ ข้อมือก็ถูกจับไว้อย่างกะทัน
ซวนลู่หันมองทางปรมาจารย์แพทย์กู้หว่านเยว่เองก็มองทางปรมาจารย์แพทย์“ผู้อาวุโส ท่านรู้จักแม่ทัพซวนด้วยหรือ?”“แม่ทัพซวนแม่ทัพห้วนอะไร เจ้าเด็กตัวเหม็น นางไม่ใช่คนของเจ้าหรือ?”ปรมาจารย์แพทย์เผยสีหน้าประหลาดใจ “ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้จักเจ้าเด็กตัวเหม็นนี่เอง ข้ายังคิดว่าเป็นเจ้าเด็กตัวเหม็นให้เจ้ามาหาข้า ดังนั้นข้าถึงรีบร้อนเดินทางมา หากรู้แต่แรกว่าเจ้ามาเชิญข้าด้วยตนเอง ข้าก็ไม่มีวันมา”สีหน้าซวนลู่กระด้างไป ปรมาจารย์แพทย์พูดอย่างไม่ไว้หน้ายิ่งขึ้น“วิชาแพทย์ของเจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้ดีกว่าข้ามากนัก คนที่นางเคยดูอาการมาก่อนยังจะให้ข้าดูอะไรอีก สร้างปัญหาให้ข้าโดยแท้”สีหน้าซวนลู่เขียวแล้ว ดังนั้นนางสามารถเชิญปรมาจารย์แพทย์มาได้ มิใช่เพราะชื่อของนาง แต่เพราะกู้หว่านเยว่? !กู้หว่านเยว่มองปรมาจารย์แพทย์ยิ้มๆ“ในเมื่อมาแล้วเที่ยวหนึ่ง คืนนี้ก็อย่ากลับไปเลย อยู่ต่อที่จวนข้าเถอะ ห้องก่อนหน้านี้ที่ท่านเคยอยู่บ่าวรับใช้ยังเก็บกวาดอยู่ตลอด”“ได้ๆ!”ปรมาจารย์แพทย์พยักหน้ามีความสุข สามารถมากินมาดื่มได้ เขาย่อมไม่ปฏิเสธเดาออกว่าพวกเขาคนหนุ่มสาวมีเรื่องอะไร ปรมาจารย์แพทย์รู้กาลเทศะรีบหนีไปแ
ยามอยู่ที่ชายแดน แม่ทัพผู้เฒ่าซวนดูแลเขาไม่น้อย เขาจดจำอยู่ภายในใจซวนลู่เผยสีหน้าดีใจ “มิสู้ท่านอ๋องไปพร้อมกับข้าเถอะ หากท่านพ่อได้พบท่าน จะต้องดีใจมากแน่”ซูจิ่งสิงไม่มีท่าทีตอบสนองเขาวางแผนไปที่ชายแดนจริง เพียงแต่นั่นคือติดตามกู้หว่านเยว่ไป ไม่มีวันแย้มพรายเรื่องนี้ให้ซวนลู่ฟังซวนลู่เห็นสถานการณ์แล้ว พูดออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “ข้าได้ยินว่าท่านเกิดเรื่อง ก็ร้อนใจดุจไฟเผา ตลอดทางมานี้ลำบากคุณหนูกู้แล้ว แต่ ภายภาคหน้ามีข้าอยู่ ไม่มีใครขวัญกล้าทำร้ายท่าน”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว ต่อให้เขารู้สึกช้าเยี่ยงไร ก็ฟังออกว่าประโยคนี้ของอีกฝ่ายผิดปกติกู้หว่านเยว่แสยะยิ้ม กินเมล็ดแตงเงียบๆตรงข้ามกันไม่กังวลซูจิ่งสิง อย่างไรเสียก็เป็นชายที่นางเลือกด้วยตนเอง นางเชื่อว่าสายตาตนไม่แย่ถึงเพียงนั้นดังคาด ซูจิ่งสิงมิได้ทำให้นางผิดหวัง เปล่งเสียงเครียด“หว่านเยว่เป็นพระชายาของข้า ตลอดทางพวกเราสองสามีภรรยาดูแลประคับประคองกัน สายสัมพันธ์ลึกซึ้งรบกวนเจ้าภายภาคหน้าตอนเรียกนาง อย่าได้เรียกนางว่าคุณหนูกู้อีก เรียกนางว่าพระชายา”ซวนลู่อึ้งงันอยู่กับที่ คล้ายคิดไม่ถึงเลยว่าซูจิ่งสิงถึงขั้นหักหน้าน
สองสามีภรรยากลับมาคุยธุระสำคัญซูจิ่งสิงพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าไล่ตามเขาไปจริงๆ ข้าพบร่องรอยของเขาที่นอกเมือง”ที่แท้ ยามซูจิ่งสิงอยู่ที่ตลาดประมูลพบว่าลี่จีเป็นคนของหอร้อยบุปผา ก็เริ่มสงสัยว่าเหยลวี่เจิงเองก็อยู่ภายในเจดีย์หนิงกู่ ดังนั้นจึงส่งคนคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดดังคาด หลังสุ่ยเซียนถูกจับ เหยลวี่เจิงก็เผยพิรุธออกมา“อาจเพราะเขาพบว่าสุ่ยเซียนตายในเงื้อมมือของพวกเรา ดังนั้นเขาจึงพาคนออกจากเมืองอวี้ สรุปคือถูกข้าพบเข้าให้แล้ว”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว “เขาเปลี่ยนไปจากที่เคยต่อสู้กันเมื่อหลายปีก่อนไม่น้อย บนตัวคล้ายมีความชั่วร้ายเพิ่มขึ้นไม่เพียงวิชายุทธ์แตกต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นหลังถูกข้าทำให้บาดเจ็บแล้ว ถึงขั้นสาดผงยาพิษใส่ข้า”เขาใช้พิษไม่เป็น แม้ว่าสามารถหลบได้ในทันที แต่ยังสูดผงยาพิษเข้าไปไม่น้อย“หลังพบว่าผงยาพิษคือยากระตุ้นกำหนัด ข้าก็ระงับฤทธิ์ยาลงไปในทันที จากนั้นหาถ้ำแห่งหนึ่งพบ ก็สะลึมสะลือไม่ได้สติ”กู้หว่านเยว่ยิ้มเย็น “เหยลวี่เจิงสามารถรังสรรค์เจ้าสิ่งนี้ออกจากหอร้อยบุปผาได้ มองออกว่าไม่ใช่คนดีอะไร บัดนี้ความชั่วร้ายก็แค่ปลดปล่อยอุปนิสัยตามธรรมชา
แต่แค้นนี้ นับว่าคลี่คลายแล้วกู้หว่านเยว่กลับแปลกใจมาก “เหตุใดเหยลวี่เจิงต้องไล่ตามท่านไม่เลิกราด้วยเล่า?”ต่อให้พ่ายแพ้ให้ซูจิ่งสิงในสงคราม แต่แพ้ชนะเป็นเรื่องปกติของการทำสงคราม ไม่ถึงขั้นต้องไล่ตามมาฆ่าถึงเจดีย์หนิงกู่หรอกกระมังเว้นเสียแต่ว่ายังมีเรื่องค้างคาอะไรกัน“เหยลวี่เจิงอายุมากกว่าข้าห้าปี”ซูจิ่งสิงยิ้มเยาะหยัน “เขาเข้าสนามรบตอนอายุสิบเก้าปี ทำสงครามกับต้าฉี ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนจนกระทั่งข้าไปที่ชายแดน”กู้หว่านเยว่เข้าใจแล้วเหยลวี่เจิงคิดว่าตนเองเป็นแม่ทัพมีพรสวรรค์ ปรากฏว่ากลับถูกซูจิ่งสิงปราบและบังคับให้ลงนามในสัญญายอมรับความพ่ายแพ้ นี่ยังจะอดทนไหวได้อย่างไร?ดังนั้นไม่ว่าเขาทำเพื่อระบายโทสะ หรือเพื่อทำให้ซูจิ่งสิงไม่เป็นภัยต่อทูเจวี๋ยอีก นี่จึงมีเหตุผลเพียงพอให้เอาชีวิตของซูจิ่งสิงสำหรับอาการบาดเจ็บสาหัสของเขา ทั้งสองตัดสินว่าเหยลวี่เจิงไม่มีวันโผล่หน้าออกมาภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ความจริงก็เป็นเช่นนี้ บัดนี้เหยลวี่เจิงกำลังหนีเอาชีวิตรอดเขานอนบนรถม้า รูปร่างสูงใหญ่ กำยำล่ำสันสะท้อนความงามของชายต่างเผ่าออกมา มิน่าเล่าสตรีมากมายภายในหอร้อยบุปผาถึงหลงใหลและ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้