นางอยากเห็นกู้หว่านเยว่ลุกลี้ลุกลนอย่างร้อนใจ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมักจะสงบนิ่งทุกครั้ง ตรงกันข้ามกลับเป็นนางที่โกรธแทน“จื่อชิง เจ้าไปเก็บกระต่ายกลับมาเถอะ”ซวนลู่ออกคำสั่งกับซูจื่อชิง ทำให้เขาไม่พอใจ“พี่หญิงซวน ในภูเขาแห่งนี้มีกระต่ายอีกมากมาย ทำไมท่านต้องแย่งกระต่ายของพี่สะใภ้ใหญ่ด้วย? เมื่อครู่กระต่ายตัวนั้นพี่สะใภ้เป็นฝ่ายเจอก่อน”ซูจื่อชิงเองก็ทนไม่ไหว เขาเป็นสหายกับซวนลู่ ถึงได้พูดตรงเช่นนี้“เขาไม่อยากให้พี่หญิงซวนลู่ทำผิดอีก“ก็แค่กระต่ายตัวเดียว จะอะไรกันนักหนา? ในสนามรบต้องแยกด้วยหรือไม่ว่าหัวไหนของเจ้า หัวไหนของข้า?”ซวนลู่หนี่ตาลงอย่างไม่สบายใจ “พวกเราทั้งสองคนสนิทกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่เหมือนกับคนอื่น เจ้าถามข้าเช่นนี้เพื่อนกู้หว่านเยว่หรือ?”“ข้าเปล่า”ซูจื่อชิงหมดคำพูด ได้แต่ทอดถอนใจ ช่างเถอะ โน้มน้าวไปก็เท่านั้น คงจะโน้มน้าวสตรีเอาแต่ใจผู้นี้ไม่ได้ เดินไปอย่างยอมรับชะตากรรม เก็บกระต่ายแล้วโยนเข้าไปในตะกร้าเขาคิดว่าทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำให้เรื่องเล็กให้กลายเป็นไม่มีซวนลู่ที่อยู่ด้านนั้นยกยิ้มเย็นยะเยือก ไม่คิดว่าตัวเองทำผิดอะไร ถือคันธนูวิ่ง
“ครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุ ฝีมือของข้าดีมาก เมื่อครู่เป็นเพราะกวางลายจุดตัวนั้นมันตื่นตัวเกินไป”ซวนลู่มองไปทางซูจิ่งสิง แล้วกล่าวอธิบาย“ท่านอ๋อง ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่น่าทำให้มันตกใจจนหนีไปเลย รอจนกว่าจะเจอกวางลายจุดตัวอื่นแล้ว ข้าจะยิงให้เจ้าใหม่ดีหรือไม่?”ทันทีที่สิ้นเสียง ก็มีเสียงพรึ่บดังขึ้นจากข้าง ๆต่อมา กวางลายจุดที่กำลังวิ่งหนีก็ล้มลงกับพื้น กู้หว่านเยว่เผยรอยยิ้มสดใส “ข้ายิงโดนแล้ว!”ภาพตรงหน้าทำให้ซวนลู่แทบไม่อยากจะเชื่อ“เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดเจ้าถึงยิงธนูเป็น?”แต่ลูกธนูที่ปักอยู่บนตัวของกวางลายจุด เป็นลูกธนูที่ยิงออกมาจากมือของกู้หว่านเยว่จริง ๆ นางยังคงอยู่ในท่าง้างธนูเอาไว้“ท่านพี่ เราไปหยิบกัน”กู้หว่านเยว่ดูสดใสร่าเริง รีบขี่ม้าเข้าไปเก็บเกี่ยวผลงาน ส่วนซูจิ่งสิงก็ไล่ตามนางไปด้วยสีหน้าเอ็นดู“นายหญิง ริมลำธารทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีสิ่งที่น่าประหลาดใจขอรับ”เสียงของระบบดังขึ้น ดวงตาของกู้หว่านเยว่เป็นประกาย หลังจากเก็บกวางลายจุดตัวนั้นแล้ว ก็รีบวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือทั้งสองคนหายวับไปต่อหน้าต่อตา เมื่อเห็นสามีภรรยาคู่นั้นจากไปไกลแล้ว บนใบหน้าของซวน
คำพูดนี้ช่างทิ่มแทงใจเสียจริง หางตาของซวนลู่กระตุกอย่างหนัก นางจะพลาดเป็นครั้งที่สองเพราะความลังเลไม่ได้“ข้าตกลง”ซวนลู่คว้ายาลูกกลอนมา หัวใจเต้นโครมคราม ข้าจะร่วมมือกับเจ้า”“หึ ๆ ” คนชุดดำหัวเราะอย่างชั่วร้าย “แบบนี้สิถูกต้องแล้ว”กู้หว่านเยว่เดินตามระบบมาจนถึงริมลำธาร “เจ้าระบบ เจ้าบอกว่าทางนี้มีสิ่งที่น่าประหลาดใจ ขอให้มีสิ่งที่น่าประหลาดใจจริง ๆ นะ!”“นายหญิงดูในลำธารเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ก้มศีรษะลง แล้วเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง “นี่มันคือ?”นางรีบร้อนเดินเข้าไปข้างหน้า จากนั้นก้มลงมองพืชน้ำต้นหนึ่งในลำธาร“นี่มันใช่ปลาหรือไม่?” ซูจิ่งสิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย สิ่งนี้มีสีขาวใส เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์สามารถสะท้อนแสงสีรุ้งออกมาได้“ข้าช่วยเจ้าเอาขึ้นมาเอง” เขาดูออกว่ากู้หว่านเยว่ชอบสิ่งนี้มากไหนเลยจะรู้ว่ากู้หว่านเยว่จะรีบห้ามไว้ “อย่าเอามือไปแตะเด็ดขาด!”นางคว้ามือของซูจิ่งสิง แล้วกล่าวอธิบาย“นี่มิใช่ปลา แต่เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีชื่อเรียกว่าแมงกะพรุนฝันสู่สวรรค์ของเหลวจากสมุนไพรชนิดนี้มีพิษหลอนประสาท หากสัมผัสโดนจะทำให้คนตกอยู่ในภวังค์แห่งความสุข”ของแบบนี้พบเห
กู้หว่านเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หมีแพนด้ากินเหล็กไม่ค่อยพบเห็นได้ทั่วไป ดูท่าจะมีวาสนากับซูจิ่นเอ๋อร์“เจ้าลองวางหมีแพนด้ากินเหล็กลงบนพื้นก่อน ข้าจะตรวจดูสักหน่อย”ซูจิ่นเอ๋อร์หาใบไม้ใบใหญ่มาวางรอง แล้ววางหมีแพนด้ากินเหล็กไว้บนใบไม้นั้น กู้หว่านเยว่ตรวจดูอาการครู่หนึ่ง พบว่าที่ท้องของหมีแพนด้ากินเหล็กมีแผลใหญ่ อวัยวะภายในเกือบจะทะลักออกมาแล้ว ดูท่าจะรักษายาก“บรู๊วววว”หมีแพนด้ากินเหล็กส่งเสียงร้องเบา ๆ คงจะเจ็บมาก ดวงตาของมันมีน้ำตาคลอ“ช่วยได้หรือไม่?” ซูจิ่นเอ๋อร์เอ่ยถาม หมีแพนด้ากินเหล็กตัวน้อยดูน่าสงสารมาก“ได้” กู้หว่านเยว่พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก หยิบกล่องยาลงมาจากหลังม้า จากนั้นทำความสะอาดแผล เย็บแผล และทายาให้เมื่อพี่สะใภ้บอกว่าได้ ซูจิ่นเอ๋อร์ก็มั่นใจมาก“หมีแพนด้ากินเหล็กตัวน้อย เจ้าต้องเชื่อฟังนะ รอจนกว่าเจ้าจะหายดี ข้าจะพาเจ้ากลับบ้านไปเลี้ยง พี่สะใภ้ต้องรักษาเจ้าได้แน่ ๆ เจ้าอย่าดิ้นนะ”ดูไม่ออกเลยว่า เด็กสาวคนนี้จะปลอบเก่งเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหมีแพนด้ากินเหล็กก็เชื่อฟังและไม่ดิ้นแล้วจริง ๆ“พี่สะใภ้ ท่านดูสิ มันฟังข้าพูดรู้เรื่องด้วย” ซูจิ่นเอ๋อร์ตื่น
กู้หว่านเยว่มักจะรู้สึกว่าซวนลู่ดูแปลกเล็กน้อยไม่ใช่ว่าจงใจหาเรื่องอีกฝ่าย แต่นางได้กลิ่นหอมแปลกๆ บนตัวของซวนลู่เมื่อครู่นางน่าจะไปเจอคนอื่นมาแต่เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับซวนลู่ในตอนนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายกล่าวหาว่านางจงใจหาเรื่อง นางจึงเก็บความสงสัยนี้ไว้ก่อน แล้วค่อยหาโอกาสเล่าให้ซูจิ่งสิงฟังอย่างละเอียด“ไปกัน พาพวกเจ้าไปเปิดหูเปิดตาที่กระท่อมยา”ปรมาจารย์แพทย์เดินนำทางไปอย่างมีความสุขไม่นานนัก ทุกคนก็เดินผ่านเส้นทางเล็กๆ มาถึงยอดเนินเขาแห่งหนึ่ง“โอ้โห แปลงสมุนไพรใหญ่มาก!”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงจนถึงที่สุด มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่านใต้เนินเขา สองฝั่งเต็มไปด้วยสมุนไพรนานาชนิดที่พบเห็นได้ทั่วไป ในตอนนี้สมุนไพรหลายชนิดกำลังออกดอก มองจากระยะไกลดูเหมือนทุ่งดอกไม้ “สิ่งเหล่านี้ท่านไม่ได้ปลูกเองใช่หรือไม่?”กู้หว่านเยว่คิดในใจว่าปรมาจารย์แพทย์สร้างหุบเขาราชาโอสถมาได้ไม่นาน จะปลูกสมุนไพรได้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร“มันมีอยู่แล้ว น่าจะเป็นเพราะที่นี่มีบ่อน้ำพุร้อนกระมัง”ปรมาจารย์แพทย์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี“ข้าสังเกตการณ์มานานแล้ว พบว่าแปลงสมุนไพรแห่งนี้ไม่มีเจ้าของ
“กลับไปแล้วข้าจะเอาผลต้นเกล็ดหิมะให้ท่าน”กู้หว่านเยว่ลูบท้อง“เริ่มหิวแล้วสิ”ซูจิ่นเอ๋อร์จัดการกับหมีแพนด้ากินเหล็กเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยขึ้น“ข้าจะเป็นคนทำอาหารเอง ระหว่างทางข้าเก็บของป่ามาเยอะเลย ยังสามารถต้มน้ำแกงซานเจินได้ด้วย”ปรมาจารย์แพทย์ดึงกู้หว่านเยว่พลางเอ่ยขึ้น “อยากไปดูที่ถ้ำนั่นหรือไม่?”“ได้เลย”กู้หว่านเยว่พยักหน้า เมื่อครู่นางเห็นแปลงสมุนไพรแห่งนี้แล้ว นางรู้สึกอยู่เสมอว่าอาจเคยมีผู้วิเศษอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นคงจะไม่บังเอิญมีสมุนไพรขึ้นเยอะขนาดนี้บางทีในถ้ำนั่นอาจจะมีของที่ผู้วิเศษทิ้งเอาไว้ก็ได้กู้หว่านเยว่รอไม่ไหวจึงให้ปรมาจารย์แพทย์นำทางไป ส่วนซูจิ่งสิงก็ตามไปด้วย“ข้าไม่ไปแล้ว ข้าจะอยู่ช่วยงานที่นี่ก็แล้วกัน”ซวนลู่เอ่ยขึ้นมากะทันหัน เสียงของนางดึงดูดความสนใจของทุกคนกู้หว่านเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางไม่คิดจะตามไปด้วยจริง ๆ หรือ?“ข้าทำอาหารเป็นนิดหน่อย”ซวนลู่ดูไม่เป็นธรรมชาติ สายตาหลุกหลิกเล็กน้อย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ทำเรื่องแบบนี้“อีกอย่าง เมื่อครู่ข้าล่าสัตว์จนเหนื่อยแล้ว ไม่อยากเดินไปไหนมาไหน อยู่ช่วย
สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือ ด้านหลังของหินยักษ์นี่ต้องมีบางอย่างอยู่แน่ ๆ ซูจิ่งสิงสำรวจดูครู่หนึ่ง “นี่น่าจะเป็นประตูบานหนึ่ง ต้องใช้กลไกในการเปิด เจ้าหลบไปก่อนลองให้ข้าดูหน่อย”กู้หว่านเยว่ไม่รู้เรื่องกลไกเลย เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบหลบไปด้านข้างอย่างว่าง่ายซูจิ่งสิงสำรวจประตูหินอย่างละเอียด “มีอะไรที่ส่องสว่างได้หรือไม่?”“มี” กู้หว่านเยว่รีบหยิบไฟฉายแรงสูงออกมาจากมิติ“ตรงนี้มีกลไก” ซูจิ่งสิงพบก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าประตูยักษ์ กู้หว่านเยว่ใช้ไฟฉายส่องไป พบว่ามันเป็นสิ่งที่ดูคล้ายกับกระดานหมากรุกนางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้เลย ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรด้วยซ้ำ“ท่านพี่ ท่านแก้ได้หรือไม่?”ซูจิ่งสิงไม่พูดอะไร จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอามือไปวางบนสามตำแหน่งแล้วบิด“ถ้ามีอันตราย ให้หนีเข้าไปในมิติทันที” เขาเอ่ยเตือนประโยคหนึ่งกู้หว่านเยว่รีบพยักหน้า พร้อมกับตั้งสติอย่างเต็มที่ซูจิ่งสิงจัดการส่วนสุดท้ายเสร็จแล้ว ประตูยักษ์ก็ส่งเสียงดังขึ้น จากนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวทั้งสองคนคอยระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา หากมีอาวุธลับพุ่งออกมา กู้หว่านเยว่ก็จะพาซูจิ่งสิงหลบเข้าไปในมิติทั
กว่าพวกเขาจะออกจากถ้ำแล้วกลับไป อาจจะมืดค่ำแล้วก็ได้กู้หว่านเยว่นึกถึงความกังวลของเขาอย่างรวดเร็ว หยิบจอบเล่มเล็กออกมาอีกเล่ม“ท่านช่วยข้าขุดสมุนไพรขึ้นมาพร้อมกับรากและดิน จำไว้ว่าสมุนไพรแต่ละชนิดให้ขุดแค่ต้นเดียว ห้ามทำให้สมุนไพรเสียหายเด็ดขาด”ซูจิ่งสิงพยักหน้า รับจอบมา จากนั้นก็เริ่มลงมือช่วยเขาทำอย่างรวดเร็ว สองสามีภรรยาขุดสมุนไพรอยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม ก็ขุดสมุนไพรเสร็จแล้ว“เรียบร้อย ข้าจะเก็บสมุนไพรพวกนี้เข้าไปในมิติก่อน รอตอนกลางคืนมีเวลา ค่อยเอามันไปปลูกในแปลงสมุนไพรทีละต้น”กู้หว่านเยว่เช็ดเหงื่อที่หน้าผากด้วยความรู้สึกพึงพอใจไม่คิดเลยว่าวันนี้ออกมาล่าสัตว์จะยังมีโชคลาภแบบนี้ ตอนที่ออกจากถ้ำ นางจึงเดินตัวปลิวเลยทีเดียวทันทีที่ทั้งสองคนออกมา ประตูยักษ์นั่นก็ปิดลงอีกครั้ง ปรมาจารย์แพทย์ยังคงรออยู่ที่ปากถ้ำ“นางหนู ในที่สุดพวกเจ้าสองคนก็ออกมาสักที ถ้าไม่ออกมาอีก ข้าคงขึ้นราแล้ว”ปรมาจารย์แพทย์แสดงให้เห็นว่า หากรู้เช่นนี้เอาแผนที่ให้พวกเขาตั้งแต่แรก แล้วให้พวกเขามาเองก็สิ้นเรื่องกู้หว่านเยว่ยิ้ม ปรมาจารย์แพทย์เดาได้ว่านางน่าจะได้ของดีจากในถ้ำ จึงลุกขึ้นยืนพลางกล่าว
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้