"มา ๆ อย่ามัวแต่คุยกันเลย รีบมาช่วยฉันเตรียมของเถอะ เดี๋ยวลูกค้าก็มากันแล้ว" เฉินลี่ฮวาร้องเรียกสองแม่ลูกจึงรีบเข้าไปช่วยงานในครัวอย่างเต็มใจ วันแรกของชีวิตใหม่ในหนานจิงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...ด้วยความหวังและไออุ่นของมิตรภาพอย่างแท้จริง
ช่วงสายของวัน หลังจากหานซูอวี้ช่วยแม่บุญธรรมกับแม่ของตนเก็บร้านอาหารเช้าจนเรียบร้อย เด็กหญิงที่กำลังจะกลับเข้าบ้านพักก็ถูกเรียกไว้ด้วยเสียงอันคุ้นเคย
"พี่ใหญ่!"
หวงจิงวิ่งเหยาะ ๆ มาหาเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม "ไปติวหนังสือกันเถอะ! อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะสอบเข้า ม.ต้น แล้วนะ เราต้องรีบเตรียมตัวกันหน่อย"
หานซูอวี้พยักหน้ารับ การได้ทบทวนบทเรียนและทำความเข้าใจระดับการศึกษาของยุคนี้เป็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่พอดี
หวงจิงพาเธอเดินไปยังศาลาริมน้ำที่ค่อนข้างเงียบสงบในอีกมุมหนึ่งของหมู่บ้านทหาร ซึ่งเป็นสถานที่นัดพบประจำของกลุ่ม
ที่นั่น...มีเด็กอีกสองคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว คนหนึ่งคือเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ส่วนอีกคนเป็นเด็กผู้ชายท่าทางนิ่งขรึมที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา
"พี่ใหญ่ซูอวี้! นี่ถังเยว่ฉี เพื่อนสนิทของฉันเอง" หวงจิงแนะนำอย่างกระตือรือร้น "ส่วนนี่...อู๋ถิง"
ถังเยว่ฉีส่งยิ้มกว้างให้เธออย่างเป็นมิตร "สวัสดีจ้ะพี่ใหญ่ซูอวี้! ฉันได้ยินเรื่องที่เธอชู้ตบาสเมื่อวานแล้ว สุดยอดไปเลย!"
หานซูอวี้ยิ้มตอบ ก่อนจะหันไปหาเด็กชายอีกคน "สวัสดีอู๋ถิง"
อู๋ถิงเพียงแค่พยักหน้าให้เธอเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ดวงตาของเขาดูสงบนิ่งและเป็นผู้ใหญ่เกินวัย หานซูอวี้ที่พอจะรู้เรื่องราวของเขามาบ้างจากที่แม่บุญธรรมเคยเล่าให้แม่ฟัง ว่าพ่อของอู๋ถิงเป็นทหารที่พลีชีพในสนามรบ ทำให้เขาต้องอยู่กับแม่ที่เป็นพยาบาลในค่ายทหารเพียงลำพัง บางที...นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาดูเงียบขรึมกว่าเด็กคนอื่น
เมื่อทักทายกันเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็ก้มหน้าก้มตาทบทวนตำราเรียนและทำแบบฝึกหัดกันอย่างจริงจัง บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง หวงจิงที่ดูสนุกสนานที่สุดมักจะคอยสร้างเสียงหัวเราะ
ส่วนถังเยว่ฉีก็ช่างพูดช่างคุย มีเพียงอู๋ถิงที่ตั้งใจอ่านหนังสือเงียบ ๆ แต่ก็คอยเงี่ยหูฟังเพื่อนอยู่เสมอ
จนกระทั่งมาถึงโจทย์คณิตศาสตร์ข้อหนึ่งที่ค่อนข้างซับซ้อน "โอ๊ย! ข้อนี้ยากชะมัดเลย คิดไม่ออกแล้ว" หวงจิงบ่นพลางเกาหัวแกรก ๆ ถังเยว่ฉีกับอู๋ถิงเองก็ขมวดคิ้วมุ่นกับโจทย์ข้อนั้นเช่นกัน
หานซูอวี้เหลือบมองโจทย์บนกระดาษเพียงครู่เดียว ในสมองของหญิงสาววัยสามสิบสองปี วิธีการแก้สมการที่ถูกต้องก็ปรากฏขึ้นมาอย่างง่ายดาย แต่เธอรู้ดีว่าตัวเองต้องไม่แสดงออกว่าเก่งกาจจนเกินไป
"ลองย้ายตัวแปรฝั่งนี้ไปก่อนสิ" เธอพูดขึ้นพลางใช้นิ้วชี้ไปที่สมการของหวงจิง "แล้วค่อยแทนค่าตัวนี้เข้าไป บางทีอาจจะง่ายขึ้นนะ"
เด็กทั้งสามคนมองตามที่เธอชี้ ก่อนจะร้อง "อ๋อ!" ออกมาแทบจะพร้อมกัน เมื่อเห็นแนวทางที่สว่างขึ้น พวกเขารีบลงมือแก้โจทย์อีกครั้ง และในที่สุดก็ทำมันสำเร็จ
"พี่ใหญ่สุดยอดอีกแล้ว!" หวงจิงร้องออกมาอย่างชื่นชม "ขนาดโจทย์ยาก ๆ แบบนี้ยังมองแป๊บเดียวออกเลย!"
"ก็แค่เคยเห็นโจทย์คล้าย ๆ กันในหนังสือเก่าน่ะ" หานซูอวี้ตอบอย่างถ่อมตัว
อู๋ถิงที่นั่งเงียบมานาน เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือของตัวเองแล้วพูดขึ้นเบา ๆ แต่ชัดเจน
"ขอบใจนะ...พี่ใหญ่"
คำพูดนั้นทำให้หานซูอวี้รู้สึกดีอย่างประหลาด การได้มีเพื่อนมีคนที่คอยช่วยเหลือกันและกันแบบนี้ คือสิ่งที่เธอโหยหามาตลอด (คิดถูกจริง ๆ ที่ชวนแม่ย้ายมาที่นี่) เธอคิดอย่างอารมณ์ดี
หลายปีผ่านไป...หลังจากที่เปลวไฟแห่งโศกนาฏกรรมได้มอดดับลง และบาดแผลทั้งหมดได้รับการเยียวยาด้วยกาลเวลาและมิตรภาพภายในเรือนสี่ประสานในบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์ที่แสนจะสงบสุข... เสียงหัวเราะของเด็กแฝดชายหญิงที่ได้เติบโตขึ้นมากกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวน...คือบทเพลงที่ไพเราะที่สุดของบ้านหลังนี้และในวันนั้น...ก็ได้มีแขกคนสำคัญเดินทางมาเยี่ยม หนุ่มน้อยวัยสิบแปดปีของสถาบัน PUMC ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างสุภาพกับกางเกงแสล็คสีดำที่ดูสะอาดสะอ้าน...เดินเข้ามาพร้อมกับพ่อบุญธรรมทั้งสองคนของเขา ซึ่งก็คือหวังเฉียงและจ้าวลี่ที่ในอ้อมแขนได้อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งมาด้วย และเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เขาก็คือหลิวเหว่ย ลูกชายเพียงคนเดียวของผู้กองหลิว...บัดนี้จากเด็กชายวัยสิบสามปีได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มที่ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนโยน...สมกับเป็นลูกช
"ทุกคน! สวมหน้ากากป้องกันสารพิษ! ห้ามถอดออกเด็ดขาด!" เสียงที่เด็ดขาดของเกาซูอวี้ดังขึ้นเป็นคำสั่งแรก...เธอรู้ดีว่าควันที่มองเห็นตรงหน้านั้น...เต็มไปด้วยสารเคมีอันตราย ทีมแพทย์ภาคสนามทั้งหมดรีบสวมหน้ากากป้องกันอย่างรวดเร็ว...ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งตัวเข้าไปในความโกลาหลเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยภาพของเปลวเพลิงที่ลุกโชน และเสียงระเบิดที่ดังขึ้นเป็นระยะ...ผสมผสานกับเสียงร้องครวญครางของผู้บาดเจ็บทั้งหมดตรงนี้คือความเป็นจริงที่โหดร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ หวงจิง...ในฐานะศัลยแพทย์ทั่วไป...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่มีบาดแผลไฟไหม้รุนแรง อู๋ถิง...ในฐานะศัลยแพทย์ระบบประสาท...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่บาดเจ็บที่ศีรษะจากการระเบิด ส่วนเกาซูอวี้...เธอคือศูนย์บัญชาการของทีมแพทย์ภา
กลางดึกสงัดของกรุงปักกิ่ง...ท่ามกลางการหลับใหลของผู้คน ฉับพลันในวินาทีนั้นได้มีเสียงสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดดังขึ้นกึกก้อง...ทำลายความเงียบของสถานีดับเพลิงในเขตชานเมือง หวังเฉียงกับจ้าวลี่...สองสหายนักดับเพลิง...กระโจนออกจากเตียงพักผ่อน...แล้วรูดเสาลงมายังชั้นล่างด้วยความเร็วสูงสุดพวกเขาและเพื่อนร่วมทีมต่างรีบสวมชุดป้องกันไฟที่หนักอึ้งอย่างคล่องแคล่ว...ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตึงเครียด...เพราะสัญญาณเตือนภัยระดับนี้...ย่อมหมายถึงหายนะ ภายในเวลาเดียวกันนั้น...ที่สถานีตำรวจกลางประจำเมือง หลี่หู่กำลังจะปิดแฟ้มสุดท้ายของวัน...แต่แล้ววิทยุสื่อสารก็ได้ดังขึ้น... "ประกาศถึงทุกหน่วย...เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงที่โกดังเก็บสารเคมี เขตอุตสาหกรรมไป๋หยาง...ขอให้ทุกหน่วยที่อยู่ใกล้เคียงรีบไปยังที่เกิดเหตุเพื่อควบคุมสถานการณ์และอพยพประชาชนโดยด่ว
คำเรียกขานในอดีต...ได้ทำลายกำแพงที่แข็งกร้าวของดาราสาวจอมวีนลงอย่างสิ้นเชิง...หลินซินซินมองใบหน้าที่สงบนิ่งของนายแพทย์หนุ่มตรงหน้าซ้อนทับกับภาพของเสี่ยวเทียน...เด็กชายขี้อายข้างบ้านเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วยรอยยิ้ม "คุณ...ออกไปก่อนได้ไหมคะ" เธอหันไปบอกผู้จัดการส่วนตัวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง "ฉัน...อยากจะคุยกับคุณหมอเป็นการส่วนตัว" เมื่อภายในห้อง VIP เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน...หยางเทียนก็กลับเข้าสู่โหมดแพทย์ "ผมขออนุญาตนะครับ" เขาพูดพลางเดินเข้าไปใกล้เธอและยกมือขึ้นสัมผัสบาดแผลที่ศีรษะของเธอที่ได้รับการทำแผลขั้นต้นมาแล้ว สัมผัสที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพของหยางเทียนขณะที่กำลังตรวจบาดแผลที่ศีรษะ...ได้ทำลายกำแพงทั้งหมดในใจของหลินซินซินลง... หลังจาก
อีกสองปีต่อมา...หลังจากที่เหล่าแพทย์ยุคใหม่ได้สร้างตำนานบทแรกของตนเอง...โจวเทา...แพทย์หนุ่มผู้ขยันขันแข็งแห่งแผนกศัลยกรรมกระดูกได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ เขาได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง...ในประเทศเยอรมนี และในวันนี้...คือวันแห่งการจากลา...ภายในสนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่ง...ทีมพี่ใหญ่ทั้งหมด...ได้มารวมตัวกันเพื่อส่งเพื่อนคนสำคัญของพวกเขา "นายต้องตั้งใจให้มากนะ" เกาซูอวี้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะรู้สึกใจหายเล็กน้อยก็ตาม หลังจากเธอกล่าวจบก็มาถึงคราวของซ่งอวิ๋นเซิงสามีสุดที่รักของเธอบ้าง "เทคนิคที่เยอรมนีล้ำหน้ามาก...เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด...แล้วนำมันกลับมาพัฒนาบ้านเรา" ชายหนุ่มลูกสองกล่าวแนะนำในฐานะอาจารย์&
ท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องของฤดูหนาว...ที่ปีนี้มีประกาศว่าอากาศจะหนาวเย็นมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา อู๋ถิงที่กำลังเดินทางอยู่บนรถประจำทางไม่ได้รู้เลยว่าเจ้าตัวกำลังจะต้องได้เข้าร่วมกับอุบัติเหตุหมู่ครั้งใหญ่อย่างไม่ตั้งใจ ในขณะที่เขากำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกของรถโดยสารคันใหญ่ สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็ได้เกิดขึ้น รถโดยสาร ที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ได้แล่นไปทับแผ่นน้ำแข็งสีดำที่ซ่อนอยู่ภายใต้หิมะเบาบางบนท้องถนน เอี๊ยด! เสียงล้อรถที่เสียดสีกับพื้นน้ำแข็งอย่างรุนแรงดังขึ้น...ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจของผู้โดยสาร และหลังจากนั้นภาพทุกอย่างพลันหมุนคว้างร่วมกับเสียงกรีดร้อง อีกทั้งเสียงโลหะดังสนั่นรวมถึงเสียงกระจกที่แตกละเอียดดังผสมปนเปกันไปหมด...&nbs