หลังจากผ่านโจทย์คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนไปได้ด้วยการชี้นำของ "พี่ใหญ่" บรรยากาศในการติวหนังสือก็ดูผ่อนคลายและเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นมากขึ้น แต่แล้วความท้าทายบทใหม่ก็มาถึง เมื่อพวกเขาเปิดตำราเรียนวิชาภาษาอังกฤษ
"โอ๊ย! ไม่เอาแล้ว! ฉันยอมแพ้" หวงจิงโอดครวญเป็นคนแรกเมื่อเจอกับไวยากรณ์ซับซ้อน
"ฉันก็เหมือนกัน อ่านออกเสียงยังไม่ได้เลย" ถังเยว่ฉีทำหน้ามุ่ย
มีเพียงอู๋ถิงและหานซูอวี้ที่ยังคงสงบนิ่ง หานซูอวี้มองเพื่อนใหม่ทั้งสองด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้จากโลกอนาคต ภาษาอังกฤษสำหรับเธอนั้นง่ายดายราวกับภาษาแม่ แต่สำหรับเด็กในยุคนี้มันคือยาขมหม้อใหญ่ดี ๆ นี่เอง
"ไหน เอามาให้พี่ใหญ่ดูหน่อยสิ" เธอพูดพลางหยิบหนังสือของหวงจิงมาดู "ตรงนี้ไม่ต้องคิดมากเลยนะ มันมีหลักการจำง่าย ๆ อยู่..."
หานซูอวี้เริ่มอธิบายหลักไวยากรณ์ด้วยวิธีการที่เรียบง่ายและเป็นเหตุเป็นผลอย่างที่ครูในยุคนี้ไม่เคยสอน ทำให้เพื่อนทั้งสองตาโตอย่างทึ่งจัด ไม่นานนักพวกเขาก็เริ่มเข้าใจและทำแบบฝึกหัดได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในเวลาเดียวกันที่โรงพยาบาลทหาร ทางด้านหลิวซิน หลังจากได้รับกำลังใจจากเพื่อนรักและลูกสาว เธอก็รวบรวมความกล้าเดินทางมายังฝ่ายธุรการของโรงพยาบาลเพื่อยื่นใบสมัครงาน
บรรยากาศในสำนักงานราชการทำให้เธอประหม่าอยู่ไม่น้อย พนักงานบางคนเหลือบมองรูปลักษณ์ที่อวบอ้วนและเสื้อผ้าเก่า ๆ ของเธอด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
แต่เมื่อเธอบอกว่า "คุณหวงเจิ้งหรงเป็นคนแนะนำให้มาสมัครค่ะ" ท่าทีของพนักงานเหล่านั้นก็เปลี่ยนไปทันที ไม่มีแววตาดูแคลนใด ๆ อีกต่อไป พวกเขารีบจัดการเรื่องเอกสารให้เธออย่างรวดเร็ว นี่คืออิทธิพลของนายแพทย์ทหารยศร้อยเอกอย่างหวงเจิ้งหรง
หลังจากยื่นใบสมัครเรียบร้อยหลิวซินก็กลับมาที่บ้านพักของครอบครัวหวง เธอหยิบเอกสารข้อสอบเก่าที่หวงเจิ้งหรงช่วยหามาให้ขึ้นมานั่งทบทวนอย่างจริงจัง
ส่วนเรื่องการพิมพ์ดีดนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอเพราะเคยเรียนมาบ้างแล้ว แต่เมื่อเห็นเนื้อหาข้อสอบวิชาความรู้ทั่วไป เธอก็อดถอนหายใจไม่ได้...มันช่างตึงมือเหลือเกินสำหรับคนที่ห่างหายจากการอ่านเขียนเชิงวิชาการไปนานนับสิบปี ช่วงบ่ายแก่ ๆ ภายในบ้านพักของครอบครัวหวง
"แม่ครับ! พวกเรากลับมาแล้ว!" เสียงของหวงจิงดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินนำหานซูอวี้เข้ามาในบ้าน หลิวซินรีบเงยหน้าขึ้นจากกองกระดาษพยายามปรับสีหน้าที่เคร่งเครียดของตนให้เป็นปกติ
แต่มีหรือที่หานซูอวี้จะดูไม่ออก "แม่คะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ หน้าเครียดเชียว" เด็กหญิงเดินเข้ามาถามพลางเหลือบมองข้อสอบบนโต๊ะ
"แม่แค่อ่านหนังสือไม่ค่อยเข้าใจน่ะลูก มันนานมากแล้วที่ไม่ได้ทำข้อสอบแบบนี้" หลิวซินตอบเสียงอ่อย
"ไหนคะ ขอหนูดูหน่อย" หานซูอวี้หยิบกระดาษข้อสอบขึ้นมาดู ก่อนจะยิ้มออกมา "ไม่เห็นจะยากเลยค่ะแม่ มาค่ะ เดี๋ยวหนูเป็นติวเตอร์ให้เอง!"
ว่าแล้วเด็กหญิงก็เริ่มอธิบายเนื้อหาที่ซับซ้อนให้กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับมารดาของตนอย่างฉะฉาน จนกระทั่งมาถึงข้อสอบส่วนหนึ่งที่เกี่ยวกับการแพทย์
"ข้อนี้ถามถึงวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับผู้ที่หมดสติและสงสัยว่ามีอาการบาดเจ็บที่กระดูกคอ..." หานซูอวี้อ่านโจทย์ก่อนจะอธิบายอย่างคล่องแคล่ว
"อันดับแรกเลยนะคะ เราต้องห้ามขยับตัวผู้ป่วยเด็ดขาด โดยเฉพาะศีรษะและลำคอ จากนั้นให้ประเมินการตอบสนอง ตรวจดูทางเดินหายใจว่ามีอะไรอุดกั้นหรือไม่ และ..."
คำอธิบายที่ถูกต้องตามหลักการแพทย์ฉุกเฉินทุกประการดังออกมาจากปากของเด็กหญิงอายุสิบสามปีอย่างต่อเนื่อง ทำให้หวงเจิ้งหรงและเฉินลี่ฮวาที่บังเอิญเดินเข้ามาได้ยินถึงกับยืนนิ่งอย่างตกตะลึง
หลายปีผ่านไป...หลังจากที่เปลวไฟแห่งโศกนาฏกรรมได้มอดดับลง และบาดแผลทั้งหมดได้รับการเยียวยาด้วยกาลเวลาและมิตรภาพภายในเรือนสี่ประสานในบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์ที่แสนจะสงบสุข... เสียงหัวเราะของเด็กแฝดชายหญิงที่ได้เติบโตขึ้นมากกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวน...คือบทเพลงที่ไพเราะที่สุดของบ้านหลังนี้และในวันนั้น...ก็ได้มีแขกคนสำคัญเดินทางมาเยี่ยม หนุ่มน้อยวัยสิบแปดปีของสถาบัน PUMC ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างสุภาพกับกางเกงแสล็คสีดำที่ดูสะอาดสะอ้าน...เดินเข้ามาพร้อมกับพ่อบุญธรรมทั้งสองคนของเขา ซึ่งก็คือหวังเฉียงและจ้าวลี่ที่ในอ้อมแขนได้อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งมาด้วย และเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เขาก็คือหลิวเหว่ย ลูกชายเพียงคนเดียวของผู้กองหลิว...บัดนี้จากเด็กชายวัยสิบสามปีได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มที่ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนโยน...สมกับเป็นลูกช
"ทุกคน! สวมหน้ากากป้องกันสารพิษ! ห้ามถอดออกเด็ดขาด!" เสียงที่เด็ดขาดของเกาซูอวี้ดังขึ้นเป็นคำสั่งแรก...เธอรู้ดีว่าควันที่มองเห็นตรงหน้านั้น...เต็มไปด้วยสารเคมีอันตราย ทีมแพทย์ภาคสนามทั้งหมดรีบสวมหน้ากากป้องกันอย่างรวดเร็ว...ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งตัวเข้าไปในความโกลาหลเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยภาพของเปลวเพลิงที่ลุกโชน และเสียงระเบิดที่ดังขึ้นเป็นระยะ...ผสมผสานกับเสียงร้องครวญครางของผู้บาดเจ็บทั้งหมดตรงนี้คือความเป็นจริงที่โหดร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ หวงจิง...ในฐานะศัลยแพทย์ทั่วไป...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่มีบาดแผลไฟไหม้รุนแรง อู๋ถิง...ในฐานะศัลยแพทย์ระบบประสาท...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่บาดเจ็บที่ศีรษะจากการระเบิด ส่วนเกาซูอวี้...เธอคือศูนย์บัญชาการของทีมแพทย์ภา
กลางดึกสงัดของกรุงปักกิ่ง...ท่ามกลางการหลับใหลของผู้คน ฉับพลันในวินาทีนั้นได้มีเสียงสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดดังขึ้นกึกก้อง...ทำลายความเงียบของสถานีดับเพลิงในเขตชานเมือง หวังเฉียงกับจ้าวลี่...สองสหายนักดับเพลิง...กระโจนออกจากเตียงพักผ่อน...แล้วรูดเสาลงมายังชั้นล่างด้วยความเร็วสูงสุดพวกเขาและเพื่อนร่วมทีมต่างรีบสวมชุดป้องกันไฟที่หนักอึ้งอย่างคล่องแคล่ว...ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตึงเครียด...เพราะสัญญาณเตือนภัยระดับนี้...ย่อมหมายถึงหายนะ ภายในเวลาเดียวกันนั้น...ที่สถานีตำรวจกลางประจำเมือง หลี่หู่กำลังจะปิดแฟ้มสุดท้ายของวัน...แต่แล้ววิทยุสื่อสารก็ได้ดังขึ้น... "ประกาศถึงทุกหน่วย...เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงที่โกดังเก็บสารเคมี เขตอุตสาหกรรมไป๋หยาง...ขอให้ทุกหน่วยที่อยู่ใกล้เคียงรีบไปยังที่เกิดเหตุเพื่อควบคุมสถานการณ์และอพยพประชาชนโดยด่ว
คำเรียกขานในอดีต...ได้ทำลายกำแพงที่แข็งกร้าวของดาราสาวจอมวีนลงอย่างสิ้นเชิง...หลินซินซินมองใบหน้าที่สงบนิ่งของนายแพทย์หนุ่มตรงหน้าซ้อนทับกับภาพของเสี่ยวเทียน...เด็กชายขี้อายข้างบ้านเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วยรอยยิ้ม "คุณ...ออกไปก่อนได้ไหมคะ" เธอหันไปบอกผู้จัดการส่วนตัวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง "ฉัน...อยากจะคุยกับคุณหมอเป็นการส่วนตัว" เมื่อภายในห้อง VIP เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน...หยางเทียนก็กลับเข้าสู่โหมดแพทย์ "ผมขออนุญาตนะครับ" เขาพูดพลางเดินเข้าไปใกล้เธอและยกมือขึ้นสัมผัสบาดแผลที่ศีรษะของเธอที่ได้รับการทำแผลขั้นต้นมาแล้ว สัมผัสที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพของหยางเทียนขณะที่กำลังตรวจบาดแผลที่ศีรษะ...ได้ทำลายกำแพงทั้งหมดในใจของหลินซินซินลง... หลังจาก
อีกสองปีต่อมา...หลังจากที่เหล่าแพทย์ยุคใหม่ได้สร้างตำนานบทแรกของตนเอง...โจวเทา...แพทย์หนุ่มผู้ขยันขันแข็งแห่งแผนกศัลยกรรมกระดูกได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ เขาได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง...ในประเทศเยอรมนี และในวันนี้...คือวันแห่งการจากลา...ภายในสนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่ง...ทีมพี่ใหญ่ทั้งหมด...ได้มารวมตัวกันเพื่อส่งเพื่อนคนสำคัญของพวกเขา "นายต้องตั้งใจให้มากนะ" เกาซูอวี้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะรู้สึกใจหายเล็กน้อยก็ตาม หลังจากเธอกล่าวจบก็มาถึงคราวของซ่งอวิ๋นเซิงสามีสุดที่รักของเธอบ้าง "เทคนิคที่เยอรมนีล้ำหน้ามาก...เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด...แล้วนำมันกลับมาพัฒนาบ้านเรา" ชายหนุ่มลูกสองกล่าวแนะนำในฐานะอาจารย์&
ท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องของฤดูหนาว...ที่ปีนี้มีประกาศว่าอากาศจะหนาวเย็นมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา อู๋ถิงที่กำลังเดินทางอยู่บนรถประจำทางไม่ได้รู้เลยว่าเจ้าตัวกำลังจะต้องได้เข้าร่วมกับอุบัติเหตุหมู่ครั้งใหญ่อย่างไม่ตั้งใจ ในขณะที่เขากำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกของรถโดยสารคันใหญ่ สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็ได้เกิดขึ้น รถโดยสาร ที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ได้แล่นไปทับแผ่นน้ำแข็งสีดำที่ซ่อนอยู่ภายใต้หิมะเบาบางบนท้องถนน เอี๊ยด! เสียงล้อรถที่เสียดสีกับพื้นน้ำแข็งอย่างรุนแรงดังขึ้น...ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจของผู้โดยสาร และหลังจากนั้นภาพทุกอย่างพลันหมุนคว้างร่วมกับเสียงกรีดร้อง อีกทั้งเสียงโลหะดังสนั่นรวมถึงเสียงกระจกที่แตกละเอียดดังผสมปนเปกันไปหมด...&nbs