"ซูอวี้...หนู...หนูไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนลูก?" หวงเจิ้งหรงซึ่งเป็นหมอเองยังอดทึ่งไม่ได้ที่เด็กอายุเท่านี้จะเข้าใจหลักการที่ซับซ้อนและสำคัญอย่างการปฐมพยาบาลได้
หานซูอวี้ชะงักไปเล็กน้อย เธอเผลอพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมามากเกินไปเสียแล้ว เด็กหญิงทำทีเป็นอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตามที่เพิ่งคิดออกมาสด ๆ ร้อน ๆ
"คือ...หนูไปเจอหนังสือพวกนี้ในห้องสมุดประชาชนน่ะค่ะพ่อบุญธรรม พอดีว่า...หนูอยากเป็นหมอ ก็เลยสนใจแล้วก็ยืมนำมาอ่านเป็นพิเศษค่ะ"
คำตอบของเธอทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองมองหน้ากันอย่างชื่นชมระคนประหลาดใจ แม้จะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อแต่เมื่อนึกถึงความฉลาดที่เธอแสดงให้เห็นมาตลอดทั้งวัน...ตามที่ลูกชายของตนบอก บางทีเด็กคนนี้อาจจะเป็นอัจฉริยะตัวจริงก็ได้
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว...ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งให้กับหลิวซิน ทุกเช้ามืดเธอจะลุกขึ้นจากเตียงก่อนที่ลูกสาวจะมาปลุกเสียอีก
การเดินออกกำลังกายรอบสนามกีฬากลายเป็นกิจวัตรที่แม้จะยังเหนื่อยหอบแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวามากขึ้นทุกวัน หยาดเหงื่อที่ไหลรินไม่ได้มาจากความทุกข์ระทมอีกต่อไป แต่มาจากความมุ่งมั่นที่จะมีสุขภาพที่ดีขึ้นเพื่อตัวเองและลูกสาว
ส่วนในตอนกลางวันและตอนค่ำ หลังจากช่วยงานที่ร้านอาหารเช้าของเฉินลี่ฮวาแล้วเธอก็จะกลายเป็นนักเรียนอีกครั้งโดยมีติวเตอร์ส่วนตัวคือหานซูอวี้ลูกสาวของเธอเองคอยอธิบายเนื้อหาในข้อสอบเก่าที่หวงเจิ้งหรงหามาให้อย่างใจเย็นและเข้าใจง่าย
จากความรู้ที่เคยเลือนรางบัดนี้มันค่อย ๆ กลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง ความมั่นใจที่เคยสูญเสียไปนานหลายปีก็เริ่มกลับคืนมาทีละน้อย
และแล้ววันสอบคัดเลือกเข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการของโรงพยาบาลทหารก็มาถึง...เช้าวันนี้บรรยากาศในบ้านพักของครอบครัวหวงดูจะคึกคักเป็นพิเศษ
หลิวซินอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาและกางเกงสีเข้มที่ดูสุภาพเรียบร้อยที่สุดเท่าที่เธอมี หานซูอวี้ช่วยหวีผมและจัดปกเสื้อให้มารดาอย่างเอาใจใส่
"แม่สวยที่สุดเลยค่ะวันนี้" เด็กหญิงพูดให้กำลังใจพร้อมกับรอยยิ้มอันสดใส "ไม่ต้องตื่นเต้นนะคะ แม่เตรียมตัวมาอย่างดีแล้ว หนูเชื่อว่าแม่ทำได้แน่นอน"
"ขอบใจนะลูก" หลิวซินยิ้มตอบ แม้ในใจจะยังประหม่าอยู่บ้าง
เฉินลี่ฮวาเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นเครื่องรางชิ้นเล็กให้ "เอาไปสิซินซิน ถือว่าเป็นเครื่องรางนำโชคจากฉันนะ ทำให้เต็มที่ล่ะ!"
"ขอบคุณมากนะลี่ฮวา ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง"
หวงเจิ้งหรงที่ยืนมองอยู่เงียบ ๆ ก็พยักหน้าให้เธออย่างให้กำลังใจ "ความรู้ที่คุณมีติดตัว ไม่ได้หายไปไหนหรอกนะคุณหลิวซิน แค่ต้องใช้เวลาทบทวนมันหน่อยเท่านั้นเอง ขอให้โชคดีนะครับ"
หานซูอวี้จูงมือแม่ของเธอเดินออกมาจากบ้านมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลซึ่งเป็นสถานที่สอบ เมื่อมาถึงหน้าห้องสอบที่จัดไว้ มีผู้สมัครคนอื่น ๆ นั่งรออยู่บ้างแล้ว บางคนดูอายุน้อยกว่าและดูกระตือรือร้น ทำให้หลิวซินรู้สึกใจเสียไปเล็กน้อย
"แม่คะ" หานซูอวี้บีบมือมารดาเบา ๆ "แม่ไม่ต้องสนใจคนอื่นนะคะ คู่แข่งของแม่มีแค่ตัวแม่เองเท่านั้น แค่ทำให้ดีที่สุดเหมือนตอนที่เราซ้อมกันก็พอ"
คำพูดของลูกสาวเรียกสติและความเชื่อมั่นของหลิวซิน กลับคืนมา เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ หันไปยิ้มให้ลูกสาวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าห้องสอบไปด้วยท่วงท่าที่มั่นคงและแววตามุ่งมั่น
เมื่อนั่งลงประจำที่และได้รับกระดาษข้อสอบ หลิวซินค่อย ๆ ไล่สายตาอ่านคำถามทีละข้อ...ข้อสอบความรู้ทั่วไป... การคำนวณ...และ...การพิมพ์ดีด...ทุกอย่างเป็นไปตามที่เธอและลูกสาวได้ติวเข้มกันมา
และเมื่อเธอเห็นคำถามข้อสุดท้ายที่เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น...มุมปากของหลิวซินก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง อย่างอดไม่ได้
เธอวางกระดาษลงหายใจเข้าออกช้า ๆ รวบรวมสมาธิทั้งหมด...ก่อนจะจรดปลายปากกาลงบนกระดาษคำตอบอย่างมั่นใจ... สู้ ๆ นะหลิวซิน เพื่อตัวเธอเอง...และเพื่อซูอวี้...
หลายปีผ่านไป...หลังจากที่เปลวไฟแห่งโศกนาฏกรรมได้มอดดับลง และบาดแผลทั้งหมดได้รับการเยียวยาด้วยกาลเวลาและมิตรภาพภายในเรือนสี่ประสานในบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์ที่แสนจะสงบสุข... เสียงหัวเราะของเด็กแฝดชายหญิงที่ได้เติบโตขึ้นมากกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวน...คือบทเพลงที่ไพเราะที่สุดของบ้านหลังนี้และในวันนั้น...ก็ได้มีแขกคนสำคัญเดินทางมาเยี่ยม หนุ่มน้อยวัยสิบแปดปีของสถาบัน PUMC ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างสุภาพกับกางเกงแสล็คสีดำที่ดูสะอาดสะอ้าน...เดินเข้ามาพร้อมกับพ่อบุญธรรมทั้งสองคนของเขา ซึ่งก็คือหวังเฉียงและจ้าวลี่ที่ในอ้อมแขนได้อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งมาด้วย และเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เขาก็คือหลิวเหว่ย ลูกชายเพียงคนเดียวของผู้กองหลิว...บัดนี้จากเด็กชายวัยสิบสามปีได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มที่ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนโยน...สมกับเป็นลูกช
"ทุกคน! สวมหน้ากากป้องกันสารพิษ! ห้ามถอดออกเด็ดขาด!" เสียงที่เด็ดขาดของเกาซูอวี้ดังขึ้นเป็นคำสั่งแรก...เธอรู้ดีว่าควันที่มองเห็นตรงหน้านั้น...เต็มไปด้วยสารเคมีอันตราย ทีมแพทย์ภาคสนามทั้งหมดรีบสวมหน้ากากป้องกันอย่างรวดเร็ว...ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งตัวเข้าไปในความโกลาหลเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยภาพของเปลวเพลิงที่ลุกโชน และเสียงระเบิดที่ดังขึ้นเป็นระยะ...ผสมผสานกับเสียงร้องครวญครางของผู้บาดเจ็บทั้งหมดตรงนี้คือความเป็นจริงที่โหดร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ หวงจิง...ในฐานะศัลยแพทย์ทั่วไป...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่มีบาดแผลไฟไหม้รุนแรง อู๋ถิง...ในฐานะศัลยแพทย์ระบบประสาท...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่บาดเจ็บที่ศีรษะจากการระเบิด ส่วนเกาซูอวี้...เธอคือศูนย์บัญชาการของทีมแพทย์ภา
กลางดึกสงัดของกรุงปักกิ่ง...ท่ามกลางการหลับใหลของผู้คน ฉับพลันในวินาทีนั้นได้มีเสียงสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดดังขึ้นกึกก้อง...ทำลายความเงียบของสถานีดับเพลิงในเขตชานเมือง หวังเฉียงกับจ้าวลี่...สองสหายนักดับเพลิง...กระโจนออกจากเตียงพักผ่อน...แล้วรูดเสาลงมายังชั้นล่างด้วยความเร็วสูงสุดพวกเขาและเพื่อนร่วมทีมต่างรีบสวมชุดป้องกันไฟที่หนักอึ้งอย่างคล่องแคล่ว...ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตึงเครียด...เพราะสัญญาณเตือนภัยระดับนี้...ย่อมหมายถึงหายนะ ภายในเวลาเดียวกันนั้น...ที่สถานีตำรวจกลางประจำเมือง หลี่หู่กำลังจะปิดแฟ้มสุดท้ายของวัน...แต่แล้ววิทยุสื่อสารก็ได้ดังขึ้น... "ประกาศถึงทุกหน่วย...เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงที่โกดังเก็บสารเคมี เขตอุตสาหกรรมไป๋หยาง...ขอให้ทุกหน่วยที่อยู่ใกล้เคียงรีบไปยังที่เกิดเหตุเพื่อควบคุมสถานการณ์และอพยพประชาชนโดยด่ว
คำเรียกขานในอดีต...ได้ทำลายกำแพงที่แข็งกร้าวของดาราสาวจอมวีนลงอย่างสิ้นเชิง...หลินซินซินมองใบหน้าที่สงบนิ่งของนายแพทย์หนุ่มตรงหน้าซ้อนทับกับภาพของเสี่ยวเทียน...เด็กชายขี้อายข้างบ้านเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วยรอยยิ้ม "คุณ...ออกไปก่อนได้ไหมคะ" เธอหันไปบอกผู้จัดการส่วนตัวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง "ฉัน...อยากจะคุยกับคุณหมอเป็นการส่วนตัว" เมื่อภายในห้อง VIP เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน...หยางเทียนก็กลับเข้าสู่โหมดแพทย์ "ผมขออนุญาตนะครับ" เขาพูดพลางเดินเข้าไปใกล้เธอและยกมือขึ้นสัมผัสบาดแผลที่ศีรษะของเธอที่ได้รับการทำแผลขั้นต้นมาแล้ว สัมผัสที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพของหยางเทียนขณะที่กำลังตรวจบาดแผลที่ศีรษะ...ได้ทำลายกำแพงทั้งหมดในใจของหลินซินซินลง... หลังจาก
อีกสองปีต่อมา...หลังจากที่เหล่าแพทย์ยุคใหม่ได้สร้างตำนานบทแรกของตนเอง...โจวเทา...แพทย์หนุ่มผู้ขยันขันแข็งแห่งแผนกศัลยกรรมกระดูกได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ เขาได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง...ในประเทศเยอรมนี และในวันนี้...คือวันแห่งการจากลา...ภายในสนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่ง...ทีมพี่ใหญ่ทั้งหมด...ได้มารวมตัวกันเพื่อส่งเพื่อนคนสำคัญของพวกเขา "นายต้องตั้งใจให้มากนะ" เกาซูอวี้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะรู้สึกใจหายเล็กน้อยก็ตาม หลังจากเธอกล่าวจบก็มาถึงคราวของซ่งอวิ๋นเซิงสามีสุดที่รักของเธอบ้าง "เทคนิคที่เยอรมนีล้ำหน้ามาก...เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด...แล้วนำมันกลับมาพัฒนาบ้านเรา" ชายหนุ่มลูกสองกล่าวแนะนำในฐานะอาจารย์&
ท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องของฤดูหนาว...ที่ปีนี้มีประกาศว่าอากาศจะหนาวเย็นมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา อู๋ถิงที่กำลังเดินทางอยู่บนรถประจำทางไม่ได้รู้เลยว่าเจ้าตัวกำลังจะต้องได้เข้าร่วมกับอุบัติเหตุหมู่ครั้งใหญ่อย่างไม่ตั้งใจ ในขณะที่เขากำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกของรถโดยสารคันใหญ่ สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็ได้เกิดขึ้น รถโดยสาร ที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ได้แล่นไปทับแผ่นน้ำแข็งสีดำที่ซ่อนอยู่ภายใต้หิมะเบาบางบนท้องถนน เอี๊ยด! เสียงล้อรถที่เสียดสีกับพื้นน้ำแข็งอย่างรุนแรงดังขึ้น...ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจของผู้โดยสาร และหลังจากนั้นภาพทุกอย่างพลันหมุนคว้างร่วมกับเสียงกรีดร้อง อีกทั้งเสียงโลหะดังสนั่นรวมถึงเสียงกระจกที่แตกละเอียดดังผสมปนเปกันไปหมด...&nbs