ซวงหยวนเอ๋อหลังจากอาบน้ำให้ซูซูและนำชุดเก่าของลูกชายสมัยเด็กมาให้นางเปลี่ยนแล้วก็จูงมือซูซูไปที่โต๊ะอาหารทันที นางแทบจะป้อนข้าวซูซูหากว่าไม่ได้ยินเสียงเล็ก ๆ กล่าวว่านางกินเองได้ล่ะก็ ซวงหยวนเอ๋อคงคิดว่าซูซูยังคงเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ อยู่กระมัง
ผู้ใหญ่บ้านที่นั่งมองอยู่ก็ได้แต่หัวเราะภรรยาที่อยากดูแลซูซูมากเกินไป เขายังล้อเลียนภรรยาด้วยว่าซูซูนั้นอายุ 7 ขวบปีแล้ว จะทำเหมือนนางยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ได้อย่างไรเล่า ซวงหยวนเอ๋อเห็นสามีล้อเลียนนาง นางก็ได้แต่ถลึงตาใส่ตาเฒ่าคนนี้ อย่าคิดว่านางไม่รู้ว่าเขาเองก็เอ็นดูแม่หนูซูซูไม่ต่างจากนางเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นเขาไม่หนีงานดูแลแปลงผักแล้วคอยอยู่ทายาให้ซูซูเช่นนี้แต่แรกหรอก
ส่วนซูซูตัวน้อยที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ อย่างหิวโหย นางพยายามไม่ให้มูมมามมากเกินไปถึงแม้นางจะหิวมากแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยมารยาทในการกินของนางจะต้องดีเหมือนในโลกก่อนเพื่อไม่ให้ใครมาดูถูกได้ ยิ่งนางเห็นสองปู่ย่าวัยชราที่รับเลี้ยงนางหยอกล้อกันเหมือนเด็ก ๆ นางก็ได้แต่อมยิ้มให้กับความน่ารักของทั้งสองผู้เฒ่าที่รับนางเข้ามาอยู่ในครอบครัวโดยไม่กลัวว่าตนเองจะลำบากเลยแม้แต่น้อย รอให้นางร่างกายหายดีเสียก่อน นางจะขึ้นเขาไปหาโสมมาบำรุงพวกท่านให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อที่พวกท่านจะได้อยู่กับนางนาน ๆ ก่อนที่นางจะต้องจากไปตามหาครอบครัวตนเองในอนาคต
หลังจากทานอาหารอิ่มแล้ว ซวงหยวนเอ๋อก็พาซูซูไปที่ห้องนอนเก่าของลูกชายนางที่นางมักทำความสะอาดเอาไว้อยู่เสมอทันที
“เจ้าไปนอนพักเสียหน่อย รอถึงเวลาทานอาหารแล้วย่าจะมาเรียกเจ้าไปกินข้าว ตกลงหรือไม่?”
“เจ้าค่ะท่านย่า ขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะที่คอยดูแลข้าเป็นอย่างดี”
“โธ่ เด็กเอ๋ย เจ้าช่างน่ารักนัก ข้ากับสามีจะใจร้ายกับเจ้าลงคอเหมือนนางหยวนปิงได้อย่างไรกันเล่า เอาล่ะ ๆ รีบนอนพักผ่อนเสีย ย่าจะไปช่วยปู่ดูแปลงผักสักหน่อย”
ซูซูได้แต่พยักหน้ารับคำซวงหยวนเอ๋อแล้วหลับตาลงไปอย่างเชื่อฟัง ความจริงนางยังไม่ง่วง แต่ในเมื่อเป็นความหวังดีของท่านย่านางก็จะทำตาม อีกอย่างนางยังคงสามารถสะสมลมปราณขณะหลับได้อยู่ดี ไม่ว่าหลับหรือตื่นนางก็ยังคงสะสมลมปราณไปเรื่อย ๆ เหมือนที่ทำมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้นางอยู่ที่ขั้นสองของลมปราณระดับปฐพีเท่านั้น อีกนานกว่าที่นางจะข้ามระดับไปถึงระดับเงิน ทอง และระดับปราณฟ้าซึ่งเป็นระดับในโลกเดิมของนางนั่นเอง
เมื่อได้เวลาอาหาร ซวงหยวนเอ๋อมาเรียกซูซูให้ไปกินข้าวพร้อมกัน ซูซูจึงงัวเงียลุกขึ้นมาเพื่อเดินตามเสียงของท่านย่าไปยังโต๊ะอาหารที่นางกินเมื่อตอนเที่ยงทันที ทั้งเหอหยางเปาและซวงหยวนเอ๋อต่างพากันตักอาหารใส่ลงถ้วยข้าวของซูซูจนแทบจะล้นออกมา นางได้แต่ยิ้มให้พร้อมทั้งขอบคุณท่านปู่ท่านย่าอย่างน่ารัก ก่อนที่จะค่อย ๆ ตักอาหารกินเหมือนเมื่อตอนเที่ยงเช่นเคย เหอหยางเปากับซวงหยวนเอ๋อแทบอยากจะตักอาหารให้นางเพิ่มอีก เพียงแต่ตอนนี้ถ้วยข้าวของซูซูนั้นแทบจะล้นออกมาแล้ว พวกเขาจึงได้แต่ต่างคนต่างตักอาหารกินกันเอง ไม่นานนักมือเล็ก ๆ ของซูซูก็ตักอาหารหลายอย่างใส่ในถ้วยให้ท่านปู่ท่านย่าเหมือนที่พวกท่านทำให้กับนาง ต่างกันเพียงแค่ซูซูต้องลุกขึ้นยืนเพื่อตักอาหารเพราะนางแขนสั้นจนไม่สามารถนั่งตักอาหารได้นั่นเอง
สองเฒ่าชราต่างหันมองกันพร้อมรอยยิ้มกว้าง ไม่เสียแรงที่พวกเขานำซูซูมาเลี้ยงเอง เด็กคนนี้มีความกตัญญูมากจริง ๆ ตั้งแต่ตัวเล็กเพียงเท่านี้ เมื่อเห็นว่าซูซูตักอาหารเสร็จและนั่งลงแล้ว ทั้งสองผู้เฒ่าจึงตักอาหารใส่ถ้วยที่พร่องไปของซูซูเช่นเดียวกัน บรรยากาศในการทานอาหารมื้อนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่แสนอบอุ่น ซึ่งซูซูชอบมาก นางให้สัญญากับตัวเองว่าจะกตัญญูท่านปู่ท่านย่าให้มากเพื่อตอบแทนพวกท่านที่ทำเพื่อนางโดยไม่คิดว่านางเป็นคนอื่นเลยแม้แต่น้อย
หลังมื้ออาหาร ซูซูรีบบอกว่านางจะล้างจานเอง แต่กลับถูกท่านย่าดุพร้อมกับบอกว่ารอให้นางหายดีเสียก่อน หากอยากช่วยงานท่านย่าก็จะไม่ห้าม แต่ตอนนี้นางยังไม่หายดี พวกท่านอยากให้นางพักผ่อนมากกว่า เรื่องเหล่านี้ซูซูจึงต้องจำใจพยักหน้ารับปากพวกเขา ทั้งที่ความจริงแล้วอาการของนางดีขึ้นมากหลังจากค่อย ๆ สะสมพลังปราณ
สามเดือนผ่านไป
ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ซูซูช่วยเหลืองานบ้านทุกอย่างของซวงหยวนเอ๋อหลังจากบาดแผลนางหายดีแล้ว เฒ่าชราทั้งสองเองก็ไม่ได้ห้ามนางอีกต่อไปในเมื่อนางอยากแบ่งเบาภาระพวกเขาที่ต้องออกไปดูแลแปลงผักทุกวัน ไหนจะหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านที่เหอหยางเปาต้องทำอีกไม่น้อย ซูซูจึงเป็นทั้งเด็กเฝ้าบ้านและผู้ช่วยเหลืองานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามแต่ความสามารถของนางจะทำได้
สามเดือนที่ผ่านมานี้ ระดับปราณของนางไปถึงระดับเงินขั้นสองแล้ว นับว่ารวดเร็วยิ่งกว่าตอนนางอยู่ในโลกเดิมหลายเท่านัก อาจเป็นเพราะที่นี่ไม่ค่อยมีผู้ฝึกฝนวรยุทธด้วยกระมัง นางจึงได้รับพลังลมปราณบริสุทธิ์เป็นจำนวนมากในทุก ๆ วัน จนทำให้ตอนนี้ร่างกายของนางเริ่มสูงขึ้นเหมือนเด็กปกติอีกด้วย ไหนจะสารอาหารจากอาหารต่าง ๆ ที่ท่านย่ากับท่านปู่ทำให้นางกินทุกมื้อด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ตัวของซูซูเองนั้นหายดีจากโรคขาดสารอาหารในเวลาเพียงสามเดือน
ตอนนี้นางอยากขึ้นเขาไปหาของดีมาให้ท่านปู่ ท่านย่าและเหล่าลุงป้าน้าอาที่เคยช่วยเหลือนางออกมาจากบ้านโจว เพียงแต่นางยังไม่กล้าขอท่านปู่กับท่านย่าด้วยกลัวว่าท่านจะไม่อนุญาตให้นางไปคนเดียวนั่นเอง ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ซูซูสามารถใช้วิชาตัวเบาและกระบี่บินขั้นพื้นฐานได้แล้ว นางสามารถต่อสู้กับสัตว์ร้ายได้ไม่ยากนักหากต้องพบเจอกับอันตรายบนภูเขาจริง ๆ
ระหว่างทานข้าวเช้าวันต่อมา ซูซูตัดสินใจขออนุญาตท่านปู่กับท่านย่าขึ้นเขาไปเก็บของป่ามาไว้ขายเป็นรายได้เสริมเพื่อตอบแทนท่านทั้งสอง รวมทั้งนางยังอ้างว่าในอนาคตนางจะต้องออกไปค้นหาครอบครัวจึงจำเป็นต้องหาเงินเก็บเอาไว้เสียก่อน ด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้สองเฒ่าชราไม่อาจห้ามซูซูขึ้นเขาได้อีกต่อไป พวกเขาเพียงแต่มอบตะกร้าสะพายหลังพร้อมกับมีดเล่มเล็กให้นางเอาไว้ป้องกันตัว
ก่อนที่ซูซูจะบอกลาท่านปู่ท่านย่าทั้งสองขึ้นเขาไปหลังจากเก็บล้างจานชามให้พวกท่านแล้ว เหอหยางเปากับซวงหยวนเอ๋อบอกให้ซูซูระมัดระวังตัวเองให้ดี ๆ พวกเขาจะรอนางกลับมา
ซูซูที่เห็นท่านย่าน้ำตารื้นด้วยความเป็นห่วงก็ได้แต่เดินกลับไปกอดเอวท่านย่าแล้วสัญญาว่านางจะรีบกลับก่อนพระอาทิตย์ตกดินและนางจะไม่เป็นอะไรไปแน่นอน ซวงหยวนเอ๋อเองก็กอดตอบซูซูแน่นด้วยความเป็นห่วง กระทั่งเหอหยางเปาต้องบอกให้นางรีบปล่อยให้ซูซูไปเสียก่อนที่จะแดดแรงมากกว่านี้
เมื่อซวงหยวนเอ๋อปล่อยซูซูแล้ว นางก็หันหลังเดินไปพร้อมกับโบกมือลาท่านปู่กับท่านย่าพร้อมรอยยิ้ม เฒ่าชราทั้งสองเห็นว่าซูซูเดินเร็วราวกับวิ่งก็นึกว่าตนเองตาฝาด พวกเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ซูซูใช้วิชาตัวเบาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงแม้นางจะหายจากโรคขาดสารอาหารแล้ว แต่คงต้องรออีกสักพักใหญ่กว่าที่ร่างกายนางจะเจริญเติบโตเทียบเท่ากับคนในวัยเดียวกัน
ความจริงในกำไลเก็บของของนางนั้นมีเงินไม่น้อย เพียงแต่เงินที่โลกเก่าใช้ไม่ได้กับที่โลกแห่งนี้ ซูซูจึงจำเป็นต้องหารายได้ทางอื่นสำหรับอนาคตที่นางจะต้องออกเดินทางไกลโดยไม่รู้ว่าจะไปตามหาครอบครัวที่ไหนดี แต่อย่างน้อย ๆ นางก็จะได้ออกไปท่องโลกกว้างใบนี้ให้สาสมใจเสียที นางอยากรู้ว่าโลกใบนี้เป็นอย่างไรบ้าง นอกจากความทรงจำของร่างเดิมแล้ว เรื่องอื่น ๆ ในโลกใบนี้ซูซูก็ไม่เคยรู้เลยว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร เพราะนางเองก็พอจะรู้ว่าท่านปู่ ท่านย่าเองก็ไม่ค่อยออกจากหมู่บ้านมาแต่ไหนแต่ไรจึงไม่ได้สอบถามพวกท่าน
สี่ปีผ่านไป อ๋องน้อยและท่านหญิงที่ได้รับอนุญาตให้เข้าวังบ่อย ๆ วันนี้พวกเขาก็มาเล่นกับเสด็จปู่ เสด็จย่าที่ตำหนักเฟิ่งหวงพร้อมกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ โดยที่ฮ่องเต้ทรงงดเว้นธรรมเนียมให้กับหลานทั้งสองที่ร่าเริงสดใสของพระองค์“เจ้าดูสิ นับวันอ๋องน้อยยิ่งตัวสูงใหญ่กว่าเด็กทั่วไปมากนัก ช่างเหมือนจ้าวหลงตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด”“จริงด้วยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเองก็คิดว่าอ๋องน้อยน่าจะเติบโตขึ้นมาตัวสูงใหญ่เหมือนพ่อของเขาเป็นแน่” ฮ่องเต้กับฮองเฮาคุยกันพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า พวกเขาได้แต่นึกถึงตอนที่นำอ๋องเฉิงมาเลี้ยงในวัยเด็กแล้วก็ยิ่งอยากเลี้ยงอ๋องน้อยกับท่านหญิงอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสองพระองค์พระชนมายุมากแล้ว ไม่สามารถวิ่งเล่นกับหลาน ๆ ได้เหมือนเมื่อก่อนตอนเลี้ยงอ๋องเฉิง เพียงแค่ได้นั่งมองพวกเขาเล่นกัน ทั้งสองพระองค์ก็มีความสุขไม่น้อยแล้ว
เมื่ออ๋องน้อยมาถึงหน้าห้องคลอด พระองค์ทรงเห็นเสด็จพ่อนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวาย อ๋องน้อยจึงเดินเข้าไปหาแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักเสด็จพ่อ อ๋องเฉิงไม่คิดว่าลูกชายจะมาเร็วขนาดนี้ ปกติอ๋องน้อยจะตื่นตอนสาย ๆ แต่วันนี้เขากลับมาที่นี่เพื่อเป็นกำลังใจให้พระองค์กับพระชายาที่กำลังจะคลอด“เด็จพ่อรอน้องกับข้านะขอรับ” เสียงเล็ก ๆ แสนรู้ความเอ่ยออกมาพร้อมอ้อมกอดน้อย ๆ ที่เอื้อมไปกอดคอพ่อของตนเอง“อืม… เจ้าเป็นพี่ที่ดี มานั่งดี ๆ รอน้องกันเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่มาให้กำลังใจเสด็จแม่ของเจ้า” อ๋องเฉิงลูบหัวบุตรชายแล้วปรับท่านั่งให้เขาได้นั่งบนตักอย่างสบาย ๆ ในห้องคลอด ซูซูปวดท้องมากจนนางอยากกรีดร้องออกมา แต่ด้วยนิสัยที่มักจะเก็บงำความเจ็บปวดเอาไว้ นางจึงทำเพียงกัดฟันอดทนแล้วหายใจตามจังหวะที่หมอตำแยกับแม่นมฉู่ช่วยกันบอกนางเท่านั้น“พระชายาอดทนอีกสักนิดนะเพคะ อีกไม่นานก็น่า
วันต่อมามีขบวนของขวัญจากวังหลวงและจวนตระกูลฟางยาวนับหลายลี้มาจอดอยู่เต็มหน้าจวนอ๋อง ทำเอาชาวบ้านชาวเมืองต่างอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นอีกแล้วกับจวนอ๋อง ขันทีที่ได้รับพระราชโองการแสดงความยินดีกับจวนอ๋องรีบประกาศราชโองการพร้อมกับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาที่ร่วมแสดงความยินดีกับจวนอ๋องเช่นเดียวกัน“ข้าขอแสดงความยินดีกับจวนอ๋องที่กำลังจะมีทายาทอีกหนึ่งคน สิ่งของเหล่านี้เป็นของรับขวัญหลานคนที่สองของข้า หวังว่าการตั้งครรภ์ของพระชายาจะดำเนินไปอย่างราบรื่นปลอดภัยจนกว่าจะถึงวันประสูติ จบราชโองการ” ชาวเมืองที่พากันมามุงเมื่อได้ยินขันทีประกาศราชโองการเสียงดัง พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงได้มีขบวนของขวัญมากมายถึงเพียงนี้ สมแล้วที่จวนอ๋องได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้กับฮองเฮามาอย่างยาวนาน ไหนจะบ้านเดิมของพระชายาที่เป็นถึงคหบดีที่ร่ำรวยของแคว้นอีกเล่า ไม่แปลกที่เพียงแค่การตั้งครรภ์
สองสัปดาห์ต่อมา ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ซูซูรู้สึกหิวมากกว่าปกติอย่างไรก็ไม่ทราบ แถมนางยังชอบกินขนมหวานแทบทั้งวันอีกด้วย กระทั่งหลังอาหารเช้าวันนี้ ขณะที่นางกำลังอุ้มบุตรชายพาเดินเล่นอยู่นั้นนางก็เกือบจะล้มลงบนพื้นทั้งแม่และลูก ด้วยเพราะซูซูจู่ๆ ก็หน้ามืดไปเสียเฉย ๆ โชคดีที่อ๋องเฉิงวันนี้อยู่กับพวกนางด้วย พระองค์รีบรับร่างภรรยากับบุตรชายแล้วอุ้มทั้งคู่เข้าไปยังห้องนอนในเรือนเล็กของซูซูที่อยู่ใกล้ที่สุด อ๋องเฉิงรีบร้องบอกให้องครักษ์ไปตามหมอหลวงมาทันที ตอนนี้พระองค์ทรงเป็นห่วงภรรยาไม่น้อย เพราะตอนนี้นางยังไม่ลืมตาขึ้นมาเลย ส่วนบุตรชายของพระองค์ไม่ได้ตกอกตกใจอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อ๋องน้อยเพียงแต่มองท่านพ่อที่เรียกคนให้นำผ้ากับอ่างน้ำมาเพื่อเช็ดหน้าให้กับท่านแม่ของพระองค์“ซูซู ซูซู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ลืมตาขึ้นมาให้ข้าเบาใจหน่อยภรรยา อย่าทำให้ข้ากลัวเช่นนี้ ซูซู” อ๋องเฉิงเช็ดห
หนึ่งเดือนต่อมา อ๋องเฉิงที่ส่งทหารออกไปยังแคว้นจ้านเมื่อหลายเดือนก่อนก็ได้รับข่าวตอบกลับจากทหารที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงค่ายทหารนอกเมืองหลวง“ทูลท่านอ๋อง นี่เป็นจดหมายจากองค์ชายสามที่ให้กระหม่อมนำมามอบให้พระองค์เพื่อส่งต่อไปยังฝ่าบาทพะย่ะค่ะ เหตุการณ์ที่แคว้นจ้านนั้นสงบสุขดีพะย่ะค่ะ ตอนนี้องค์ชายสามก็ส่งขุนนางเดินทางออกไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับประชาชนทั่วแคว้นได้เกือบครึ่งปีแล้วพะย่ะค่ะ อีกทั้งพระชายาก็คลอดองค์ชายน้อยได้สามเดือนแล้ว จึงทำให้องค์ชายสามไม่ค่อยมีเวลาที่จะส่งข่าวกลับมาให้พระองค์พะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงพยักหน้ารับจดหมายจากทหารแล้วเปิดอ่านเนื้อหาด้านในก่อนที่จะเข้าวังและนำไปมอบให้กับเสด็จลุงของพระองค์ ภายในจดหมายนั้นเขียนถึงความสำเร็จในการซื้อใจประชาชนขององค์ชายสามและกองทหารรักษาเมือง ยิ่งเมื่อเหล่าประชาชนในแคว้นจ้านเห็นถึงความเมตตาขององค์ชายสามและขุนนางที่ตั้งใจจะมาพัฒนาแคว้นของ
“อืม… เอาล่ะ เราเลิกคุยเรื่องงานกันเถอะ ข้าอยากเล่นกับหลานแล้ว” อ๋องเฉิงเห็นท่าทางกระปรี้กระเปร่าของสหายที่พอพูดถึงหลานชายเข้าเมื่อไหร่ก็มักจะมีอาการเช่นนี้ พระองค์ได้แต่ยิ้มแล้วพาสหายเดินไปยังห้องโถงรับแขกที่เรือนเล็กของบุตรชายที่พระองค์สั่งคนเตรียมเอาไว้สำหรับอ๋องน้อยเมื่อเขาโตกว่านี้ในอีกไม่กี่ปี ในเรือนของอ๋องน้อยเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลท่านอ๋องน้อยเวลาเล่นของเล่นอยู่ในห้องโถงรับแขกกับพระชายา ท่านตาและท่านยายที่มาเยี่ยมก่อนหน้าที่ลูกชายอย่างฟางฉือห่าวจะมาถึง“อ้าว ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันขอรับ”“พ่อกับแม่มากันตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้พ่อนำของเล่นใหม่มาให้อ๋องน้อยด้วยนะเจ้าดูสิ พ่อสั่งคนทำขึ้นมาเป็นพิเศษให้เขาเลยนะเนี่ย” ฟางเซียนหลงชี้ไปที่ม้าโยกไม้ที่ดูแ