วันต่อมา แม่นมอู๋สอนซูซูปักผ้าปิดหน้าเจ้าสาวอย่างค่อยเป็นค่อยไป นางไม่ได้เร่งร้อนที่จะให้คุณหนูทำได้ภายในวันสองวัน เพราะนางรู้ดีว่าคุณหนูของนางนั้นไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน ซูซูเองก็ตั้งใจร่ำเรียนเป็นอย่างดี กระทั่งนางเรียนการปักไปมากกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ลายปักของนางนั้นกลับกลายเป็นลายแปลกประหลาดไปเสียนี่ ทั้งที่แม่นมอู๋สอนนางปักลายเป็ดแมนดารินแท้ ๆ
แม่นมอู๋นำผลงานของคุณหนูของนางไปให้กับมู่อิงเอ๋อดูก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะสอนต่อดีหรือไม่ เมื่อนางเดินไปถึงเรือนของฮูหยินนางแล้วนั้น แม่นมอู๋ก็ส่งเสียงเข้าไปขออนุญาตก่อนที่ฮูหยินจะให้นางเข้าไปได้
“นี่เป็นผลงานการปักเป็ดแมนดารินของคุณหนูเจ้าค่ะ เชิญฮูหยินตรวจดูก่อน”
แม่นมอู๋ส่งผ้าปักสีแดงให้กับมู่อิงเอ๋อพร้อมรอยยิ้มขำ นางได้แต่คิดในใจว่าคุณหนูของนางน่าจะไม่สามารถทำเรื่องที่หญิงสาวทั่วไปทำได้กระมัง แต่สำหรับเรื่องวรยุทธ
ซูซูตั้งใจเรียนรู้เกี่ยวกับพิธีการที่นางกำลังจะต้องทำในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ส่วนชุดเจ้าสาวนั้นนางลองใส่ดูแล้วก็ไม่มีที่ใดให้ต้องตำหนิหรือแก้ไขใหม่แต่อย่างใด ทำให้เสนาบดีกรมพิธีการพอใจไม่น้อย เขาบอกเล่าขั้นตอนต่าง ๆ ในวันแรกคือการรับเจ้าสาวว่านางและครอบครัวจะต้องทำสิ่งใดบ้าง จากนั้นหลังแต่งงานหนึ่งวัน ซูซูกับอ๋องเฉิงต้องเข้าวังไปพบฮ่องเต้และฮองเฮาตามธรรมเนียม นี่เป็นเพราะท่านอ๋องไม่มีญาติผู้ใหญ่ในจวน จึงจำเป็นจะต้องเข้าไปในวังเพื่อถวายน้ำชาตามธรรมเนียมของสะใภ้ใหม่ ในช่วงเจ็ดวันนี้ ซูซูกับครอบครัวซักซ้อมพิธีการตามที่เสนาบดีกรมพิธีการบอกไปทีละขั้นตอน เขายังบอกครอบครัวฟางด้วยว่าหลังแต่งงานสามวัน ซูซูกับท่านอ๋องต้องกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมสองวันหนึ่งคืนตามธรรมเนียมด้วย ถึงแม้ว่าท่านอ๋องจะเป็นถึงพระญาติ แต่ธรรมเนียมดั้งเดิมนี้จำเป็นจะต้องทำตาม แน่นอนว่าทุกคนในครอบครัวต่างยินดีที่อย่างน้อย ๆ ลูกสาวของพวกเขาก็จะได้กลับมาค้างที่บ้านบ้าง พวกเขาจะได้สอบถามความเป็นอยู่ในจวนอ๋องกับนางส
ซูซูที่หิวข้าวมากก่อนหน้านี้เพราะตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว นางที่ถูกส่งมานั่งบนเตียงจึงรีบเปิดผ้าปิดหน้าแล้วเดินไปนั่งกินอาหารบนโต๊ะด้านหน้าตามที่อ๋องเฉิงบอกนาง ในงานเลี้ยงครั้งนี้ ฮ่องเต้และฮองเฮาไม่ได้อยู่ร่วมด้วยนานนัก พระองค์กลัวว่าเหล่าแขกเหรื่อจะมัวแต่เกรงใจพวกเขาจนหมดสนุก ทั้งสองพระองค์จึงได้เสด็จกลับหลังจากอวยพรหลานชายให้มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองแล้ว หลังจากฮ่องเต้และฮองเฮาออกจากจวนไปโดยมีอ๋องเฉิงเดินออกไปส่งทั้งสองพระองค์ บรรดาแขกเหรื่อจึงเริ่มดื่มสังสรรค์อย่างไม่ต้องเกรงสายตาของฝ่าบาทอีกต่อไป บรรยากาศของงานเลี้ยงเป็นไปอย่างสนุกสนาน รองแม่ทัพนายกองหลายคนต่างพยายามที่จะมอมเหล้าท่านอ๋องก่อนที่จะเข้าหอ แต่อ๋องเฉิงมีหรือจะกลัว พระองค์เป็นนักดื่มที่ดื่มมานานแล้วเช่นเดียวกับเหล่าทหารของพระองค์ ทำให้กลายเป็นว่าบรรดาแม่ทัพนายกองต่างมึนเมากันไม่น้อยแทน  
ยามเหม่าของวันต่อมา เสียงแม่นมฉู่ดังเข้ามาในห้องหอของสองสามีภรรยาใหม่อย่างเกรงใจ แต่วันนี้ท่านอ๋องกับพระชายาจะต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาตามธรรมเนียม แม่นมฉู่จึงได้เสียมารยาทมาตามทั้งสองพระองค์เช่นนี้ ซูซูที่ได้ยินเสียงแม่นมฉู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากอ้อมแขนของอ๋องเฉิงที่กอดนางนอนอยู่ทันที แต่พอนางลุกขึ้นมาก็รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวจนหน้าเบ้“นี่แน่ะ ๆ เพราะเจ้าตะกละตะกรามมากไปจนทำเอาข้าปวดเมื่อยไปหมดแล้วเนี่ย แบบนี้ข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทกับฮองเฮาได้อย่างไรกัน” ซูซูใช้กำปั้นน้อย ๆ ตีไปที่หน้าอกล่ำ ๆ ของสามีอย่างไม่หนักไม่เบา ทำเอาอ๋องเฉิงได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อนความบ้าพลังของเขาเมื่อคืนนี้ ก่อนที่เขาจะรวบกำปั้นเล็ก ๆ นั้นมาจูบแล้วเงยหน้ามองภรรยาที่ยังไม่รู้ตัวว่าตอนนี้นางยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าสักชิ้นอย่างหลงใหล
อ๋องเฉิงประคองซูซูเพื่อทำความเคารพทั้งสองพระองค์อย่างเต็มพิธีการ ซูซูเองก็สามารถทำได้ดีสมกับที่แม่นมอู๋สอนมานานถึงหนึ่งเดือนก่อนแต่งงาน ฮ่องเต้และฮองเฮาอมยิ้มให้กับคู่แต่งงานใหม่อย่างนึกเอ็นดู“พวกเจ้าตามสบายเถอะ”“ขอบพระทัยฝ่าบาทพะย่ะค่ะ/เพคะ” ขันทีประจำพระองค์ของฮ่องเต้ให้คนถือถาดน้ำชามาให้ ก่อนที่อ๋องเฉิงกับพระชายาจะเริ่มพิธีการถวายน้ำชาเข้าเป็นสะใภ้หลวงของซูซูในวันนี้ อ๋องเฉิงประคองซูซูไปคุกเข่าที่หน้าพระที่นั่งของทั้งสองพระองค์ จากนั้นขันทีก็ยื่นถาดชาส่งให้อ๋องเฉิงรับถ้วยชา ซึ่งอ๋องเฉิงรับถ้วยชามาส่งให้กับซูซูก่อน แล้วพระองค์ค่อยรับถ้วยชาใหม่มาไว้ในมือทีหลัง ขันทีขานขั้นตอนการถวายน้ำชาตามประเพณี อ๋องเฉิงกับพระชายาก็ยกถ้วยชาถวายทั้งสองพระองค์พร้อมกัน ฮ่องเต้รับถ้วยชาจากอ๋องเฉิง ส่วนฮองเฮานั้นหยิบถ้วยชาจากซูซูพร้อมรอยยิ้ม ทั
วันที่สามหลังการแต่งงาน อ๋องเฉิงกับพระชายาก็ให้คนนำผ้าเนื้อดีและของขวัญสำหรับมอบให้บ้านเดิมตามธรรมเนียมการกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมของพระชายา ไปใส่ไว้บนรถม้าอีกคัน แน่นอนว่าวันนี้เจียงเหม่ยกับเจียงฮวาติดตามพระชายากลับจวนตระกูลฟางด้วยเช่นกัน หลังจากตรวจดูว่าไม่ได้ลืมสิ่งใดแล้ว อ๋องเฉิงก็สั่งให้รถม้าทั้งสองคันออกเดินทางไปยังจวนตระกูลฟางในทันที ครั้งนี้แม่นมฉู่เองก็ติดตามมาด้วยเพื่อจัดการเรื่องของขวัญจำนวนมากที่นำมามอบให้บ้านเดิมของพระชายา ส่วนเจียงเหม่ยกับเจียงฮวาก็ต้องทำตามที่แม่นมฉู่คอยสอนเช่นเดียวกัน พวกนางยังเด็กกว่าซูซูหนึ่งปี จึงทำให้การสอนสิ่งใดก็ไม่ได้ยากนัก อีกทั้งเด็กสองคนนี้ก็ตั้งใจรับใช้พระชายาเป็นอย่างดีมาตั้งแต่อยู่ในจวนตระกูลฟางแล้ว แม่นมฉู่จึงเอ็นดูเด็กทั้งสองเช่นกัน รถม้าทั้งสองคันใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อก็เดินทางมาถึงหน้าจวนตระกูลฟางแล้ว ตอนนี้ฟางเซียนหลง มู่อิงเอ๋อ และฟางฉือห่าวเองก็มายืนรอต้อนรั
ก่อนเวลาอาหารเย็น บ่าวก็มาตามอ๋องเฉิงกับพระชายาไปทานอาหารที่เรือนหลัก แม่นมฉู่เองก็ตามไปคอยดูแลพระชายาตามหน้าที่ของนาง แน่นอนว่าพวกนางนั้นกินอาหารก่อนหน้าเจ้านายไปแล้วเพื่อจะได้ทำหน้าที่ดูแลเจ้านายของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีเจียงเหม่ยกับเจียงฮวาไปนำสำรับอาหารมาให้กับแม่นมฉู่ที่พักอยู่อีกห้องหนึ่งในเรือนของซูซู ทั้งสองคนต่างล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำที่บ่าวนำมาไว้ให้ที่โต๊ะด้านนอกห้องนอนของซูซูก่อนหน้านี้ หลังจากสำรวจว่าแต่งตัวกันเรียบร้อยดีแล้วและซูซูก็เริ่มจะหายจากอาการปวดเมื่อยแล้วเช่นกัน นางจึงยิ้มอย่างอารมณ์ดีจับมือสามีเดินไปยังห้องอาหารอย่างไม่เร่งร้อน อ๋องเฉิงเห็นภรรยากลับมามีรอยยิ้มเสียทีตนเองก็อดยิ้มตามนางไม่ได้ ตั้งแต่แต่งงานมา อ๋องเฉิงก็ไม่สวมหน้ากากอีกเลย เพราะซูซูบอกว่าชอบมองใบหน้าหล่อๆ ของเขาก่อนนอนมากกว่าจะมองดูหน้ากากบนใบหน้าของเขา อ๋องเฉิงจึงสัญญากับภรรยาว่าจะไม่สวมหน้ากากให้ระคายตานา
ครอบครัวโจวที่คอยปล่อยข่าวอยู่ที่โรงเตี๊ยมที่หลานเสี่ยวชิงออกเงินให้พวกเขาพักเป็นเวลาสามวันแล้ว แต่ดูเหมือนว่าหลานเสี่ยวชิงยังไม่พอใจที่ข่าวลือนี้ยังไม่สามารถทำให้พระชายาของอ๋องเฉิงให้ความสนใจได้ นางจึงเปลี่ยนแผนโดยให้บ่าวนำทางพวกเขาไปอาละวาดที่จวนตระกูลฟางแทน หยวนปิงที่พาลูก ๆ หลาน ๆ ยกโขยงกันมาเพื่อเรียกร้องเงินทองจากหลานเสี่ยวชิงให้ได้มากที่สุดนั้น พอรู้ว่าพวกนางจะต้องไปเรียกร้องค่าเลี้ยงดูกับตระกูลฟางจริง ๆ ก็พากันใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ พวกเขารู้ว่าตระกูลฟางคือตระกูลที่แท้จริงของซูซูที่พวกเขาทรมานนางมาตั้งแต่เด็ก“เหตุใดพวกเจ้าทำสีหน้าเช่นนั้น ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า ข้าหลานเสี่ยวชิงที่เป็นถึงบุตรสาวคนเดียวของเสนาบดีคลังจะช่วยพวกเจ้าเอง ในเมื่อตอนนี้ข่าวลือที่พวกเจ้าปล่อยออกไปยังไม่ทำให้พวกเขาสนใจ พวกเจ้าจะต้องไปเรียกร้องค่าเลี้ยงดูที่ครอบครัวของนางสิ”“เอ่อ…พวกเรา
“พวกเจ้าจะเลิกใส่ร้ายลูกสาวข้ากันได้หรือยัง?” หยวนปิงเห็นชายร่างสูงท่าทางภูมิฐานมายืนตรงหน้าก็ได้แต่ต้องห้ามน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงแล้วเงยหน้าขึ้นมอง นางเห็นเค้าเหมือนหน้าตาของชายตรงหน้ากับนังซูซูไม่น้อย พอรู้ว่าน่าจะเป็นพ่อของนังซูซู หยวนปิงยังคงไม่ยอมรับว่านางใส่ร้ายนังเด็กเนรคุณนั่น“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน พวกเราเป็นครอบครัวที่เลี้ยงดูลูกสาวเจ้ามาจนโต แต่นางกลับเนรคุณเช่นนี้ แล้วเจ้ายังจะหาว่าพวกเราใส่ร้ายนางได้อย่างไรกัน หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ไปตามนางออกมาสิ พวกเราจะได้รู้กันไปเลยว่าพวกข้าพูดจริงหรือไม่”“ฮึ เจ้าไม่ต้องมาทำเป็นไม่รู้ว่าตอนนี้ลูกสาวข้าเป็นพระชายาของท่านอ๋องเฉิงแล้ว การที่พวกเจ้ามาทำลายชื่อเสียงนางคงไม่น่าจะใช่ความคิดของพวกเจ้าเป็นแน่ อีกอย่างนะ ที่เจ้าบอกว่าเลี้ยงดูลูกข้าน่ะ เจ้าไม่บอกชาวเมืองไปเล่าว่าเจ้าให้นางกินแต่น้ำซาวข้าวตั้งแต่จำความได้ แถมยังทำร้ายทุบตีนางหากนางเก็บหญ้าหมูไม่ได้ตามจำนวนที่พวกเ
สี่ปีผ่านไป อ๋องน้อยและท่านหญิงที่ได้รับอนุญาตให้เข้าวังบ่อย ๆ วันนี้พวกเขาก็มาเล่นกับเสด็จปู่ เสด็จย่าที่ตำหนักเฟิ่งหวงพร้อมกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ โดยที่ฮ่องเต้ทรงงดเว้นธรรมเนียมให้กับหลานทั้งสองที่ร่าเริงสดใสของพระองค์“เจ้าดูสิ นับวันอ๋องน้อยยิ่งตัวสูงใหญ่กว่าเด็กทั่วไปมากนัก ช่างเหมือนจ้าวหลงตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด”“จริงด้วยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเองก็คิดว่าอ๋องน้อยน่าจะเติบโตขึ้นมาตัวสูงใหญ่เหมือนพ่อของเขาเป็นแน่” ฮ่องเต้กับฮองเฮาคุยกันพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า พวกเขาได้แต่นึกถึงตอนที่นำอ๋องเฉิงมาเลี้ยงในวัยเด็กแล้วก็ยิ่งอยากเลี้ยงอ๋องน้อยกับท่านหญิงอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสองพระองค์พระชนมายุมากแล้ว ไม่สามารถวิ่งเล่นกับหลาน ๆ ได้เหมือนเมื่อก่อนตอนเลี้ยงอ๋องเฉิง เพียงแค่ได้นั่งมองพวกเขาเล่นกัน ทั้งสองพระองค์ก็มีความสุขไม่น้อยแล้ว
เมื่ออ๋องน้อยมาถึงหน้าห้องคลอด พระองค์ทรงเห็นเสด็จพ่อนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวาย อ๋องน้อยจึงเดินเข้าไปหาแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักเสด็จพ่อ อ๋องเฉิงไม่คิดว่าลูกชายจะมาเร็วขนาดนี้ ปกติอ๋องน้อยจะตื่นตอนสาย ๆ แต่วันนี้เขากลับมาที่นี่เพื่อเป็นกำลังใจให้พระองค์กับพระชายาที่กำลังจะคลอด“เด็จพ่อรอน้องกับข้านะขอรับ” เสียงเล็ก ๆ แสนรู้ความเอ่ยออกมาพร้อมอ้อมกอดน้อย ๆ ที่เอื้อมไปกอดคอพ่อของตนเอง“อืม… เจ้าเป็นพี่ที่ดี มานั่งดี ๆ รอน้องกันเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่มาให้กำลังใจเสด็จแม่ของเจ้า” อ๋องเฉิงลูบหัวบุตรชายแล้วปรับท่านั่งให้เขาได้นั่งบนตักอย่างสบาย ๆ ในห้องคลอด ซูซูปวดท้องมากจนนางอยากกรีดร้องออกมา แต่ด้วยนิสัยที่มักจะเก็บงำความเจ็บปวดเอาไว้ นางจึงทำเพียงกัดฟันอดทนแล้วหายใจตามจังหวะที่หมอตำแยกับแม่นมฉู่ช่วยกันบอกนางเท่านั้น“พระชายาอดทนอีกสักนิดนะเพคะ อีกไม่นานก็น่า
วันต่อมามีขบวนของขวัญจากวังหลวงและจวนตระกูลฟางยาวนับหลายลี้มาจอดอยู่เต็มหน้าจวนอ๋อง ทำเอาชาวบ้านชาวเมืองต่างอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นอีกแล้วกับจวนอ๋อง ขันทีที่ได้รับพระราชโองการแสดงความยินดีกับจวนอ๋องรีบประกาศราชโองการพร้อมกับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาที่ร่วมแสดงความยินดีกับจวนอ๋องเช่นเดียวกัน“ข้าขอแสดงความยินดีกับจวนอ๋องที่กำลังจะมีทายาทอีกหนึ่งคน สิ่งของเหล่านี้เป็นของรับขวัญหลานคนที่สองของข้า หวังว่าการตั้งครรภ์ของพระชายาจะดำเนินไปอย่างราบรื่นปลอดภัยจนกว่าจะถึงวันประสูติ จบราชโองการ” ชาวเมืองที่พากันมามุงเมื่อได้ยินขันทีประกาศราชโองการเสียงดัง พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงได้มีขบวนของขวัญมากมายถึงเพียงนี้ สมแล้วที่จวนอ๋องได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้กับฮองเฮามาอย่างยาวนาน ไหนจะบ้านเดิมของพระชายาที่เป็นถึงคหบดีที่ร่ำรวยของแคว้นอีกเล่า ไม่แปลกที่เพียงแค่การตั้งครรภ์
สองสัปดาห์ต่อมา ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ซูซูรู้สึกหิวมากกว่าปกติอย่างไรก็ไม่ทราบ แถมนางยังชอบกินขนมหวานแทบทั้งวันอีกด้วย กระทั่งหลังอาหารเช้าวันนี้ ขณะที่นางกำลังอุ้มบุตรชายพาเดินเล่นอยู่นั้นนางก็เกือบจะล้มลงบนพื้นทั้งแม่และลูก ด้วยเพราะซูซูจู่ๆ ก็หน้ามืดไปเสียเฉย ๆ โชคดีที่อ๋องเฉิงวันนี้อยู่กับพวกนางด้วย พระองค์รีบรับร่างภรรยากับบุตรชายแล้วอุ้มทั้งคู่เข้าไปยังห้องนอนในเรือนเล็กของซูซูที่อยู่ใกล้ที่สุด อ๋องเฉิงรีบร้องบอกให้องครักษ์ไปตามหมอหลวงมาทันที ตอนนี้พระองค์ทรงเป็นห่วงภรรยาไม่น้อย เพราะตอนนี้นางยังไม่ลืมตาขึ้นมาเลย ส่วนบุตรชายของพระองค์ไม่ได้ตกอกตกใจอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อ๋องน้อยเพียงแต่มองท่านพ่อที่เรียกคนให้นำผ้ากับอ่างน้ำมาเพื่อเช็ดหน้าให้กับท่านแม่ของพระองค์“ซูซู ซูซู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ลืมตาขึ้นมาให้ข้าเบาใจหน่อยภรรยา อย่าทำให้ข้ากลัวเช่นนี้ ซูซู” อ๋องเฉิงเช็ดห
หนึ่งเดือนต่อมา อ๋องเฉิงที่ส่งทหารออกไปยังแคว้นจ้านเมื่อหลายเดือนก่อนก็ได้รับข่าวตอบกลับจากทหารที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงค่ายทหารนอกเมืองหลวง“ทูลท่านอ๋อง นี่เป็นจดหมายจากองค์ชายสามที่ให้กระหม่อมนำมามอบให้พระองค์เพื่อส่งต่อไปยังฝ่าบาทพะย่ะค่ะ เหตุการณ์ที่แคว้นจ้านนั้นสงบสุขดีพะย่ะค่ะ ตอนนี้องค์ชายสามก็ส่งขุนนางเดินทางออกไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับประชาชนทั่วแคว้นได้เกือบครึ่งปีแล้วพะย่ะค่ะ อีกทั้งพระชายาก็คลอดองค์ชายน้อยได้สามเดือนแล้ว จึงทำให้องค์ชายสามไม่ค่อยมีเวลาที่จะส่งข่าวกลับมาให้พระองค์พะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงพยักหน้ารับจดหมายจากทหารแล้วเปิดอ่านเนื้อหาด้านในก่อนที่จะเข้าวังและนำไปมอบให้กับเสด็จลุงของพระองค์ ภายในจดหมายนั้นเขียนถึงความสำเร็จในการซื้อใจประชาชนขององค์ชายสามและกองทหารรักษาเมือง ยิ่งเมื่อเหล่าประชาชนในแคว้นจ้านเห็นถึงความเมตตาขององค์ชายสามและขุนนางที่ตั้งใจจะมาพัฒนาแคว้นของ
“อืม… เอาล่ะ เราเลิกคุยเรื่องงานกันเถอะ ข้าอยากเล่นกับหลานแล้ว” อ๋องเฉิงเห็นท่าทางกระปรี้กระเปร่าของสหายที่พอพูดถึงหลานชายเข้าเมื่อไหร่ก็มักจะมีอาการเช่นนี้ พระองค์ได้แต่ยิ้มแล้วพาสหายเดินไปยังห้องโถงรับแขกที่เรือนเล็กของบุตรชายที่พระองค์สั่งคนเตรียมเอาไว้สำหรับอ๋องน้อยเมื่อเขาโตกว่านี้ในอีกไม่กี่ปี ในเรือนของอ๋องน้อยเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลท่านอ๋องน้อยเวลาเล่นของเล่นอยู่ในห้องโถงรับแขกกับพระชายา ท่านตาและท่านยายที่มาเยี่ยมก่อนหน้าที่ลูกชายอย่างฟางฉือห่าวจะมาถึง“อ้าว ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันขอรับ”“พ่อกับแม่มากันตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้พ่อนำของเล่นใหม่มาให้อ๋องน้อยด้วยนะเจ้าดูสิ พ่อสั่งคนทำขึ้นมาเป็นพิเศษให้เขาเลยนะเนี่ย” ฟางเซียนหลงชี้ไปที่ม้าโยกไม้ที่ดูแ
หลังจากงานเลี้ยงฉลองครบรอบร้อยวันของอ๋องน้อย ฮ่องเต้ก็ทราบแล้วว่าใครเป็นคนบงการให้นักฆ่ามาลอบทำร้ายอ๋องน้อยของพระองค์ พระองค์ไม่คิดว่าจะเป็นเสนาบดีหลานอีกครั้ง ครั้งนี้พระองค์ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานใด ๆ นอกจากตั๋วแลกเงินที่อยู่ในตัวคนร้ายซึ่งมีตราประทับของจวนเสนาบดีหลานอย่างชัดเจน ถึงแม้พระองค์จะไม่รู้ว่าเขาใช้ใครไปจ้างคนก็ตาม อย่างน้อยตอนนี้พระองค์ก็มีทั้งพยานที่เป็นนักฆ่าและตั๋วแลกเงินซึ่งสามารถเอาผิดเสนาบดีหลานได้แล้ว ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ทหารไปล้อมจวนเสนาบดีเอาไว้ตั้งแต่ทราบเรื่อง ก่อนที่พระองค์จะออกพระราชโองการให้ขันทีในวังไปประกาศความผิดที่หน้าจวนเสนาบดีหลานในวันถัดไป เสนาบดีหลานที่รู้ว่างานที่ส่งคนไปจัดการไม่สำเร็จอีกแล้วก็เตรียมตัวหนีออกจากจวน เพียงแต่เหล่าองครักษ์ที่คอยเฝ้าจวนเสนาบดีหลานไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้หนีไปง่าย ๆ พวกเขาส่งคนไปส่งข่าวกับทั้งฮ่องเต้และท่านอ๋อง กระทั่งจวนเสนาบดีหลานนั้นถูกล้อมรอบเอาไว้ทุกด้านจนแม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่สามารถที่จะเข้าและออกได
ณ จวนเสนาบดีหลาน วันนี้เขาไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอ๋องเพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจปั้นหน้ายิ้มแย้มให้กับคนที่สั่งประหารภรรยาและลูกสาวคนเดียวของเขาได้ โดยเขาได้ส่งพ่อบ้านไปส่งของขวัญและขออภัยท่านอ๋องซึ่งใช้ข้ออ้างว่าตนเองไม่สบาย จึงกลัวว่าจะทำให้คนอื่นไม่สบายตามไปด้วย แต่ความจริงแล้ว เสนาบดีหลานได้จ้างนักฆ่าไปจัดการอ๋องน้อยก่อนหน้าวันงานแล้ว โดยเขายังให้นักฆ่าแฝงตัวเป็นบ่าวในจวนที่นำของขวัญไปร่วมแสดงความยินดีแทนตัวเขา ไม่ว่านักฆ่าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว เพราะทุกครั้งที่เขาสืบทราบว่าจวนอ๋องนั้นมีความสุขเพียงใด ในใจของเขากลับยิ่งแค้นใจมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าความผิดของภรรยากับบุตรสาวที่จากไปของเขานั้นร้ายแรงขนาดไหน ในใจเขาก็ยังคงยอมรับการตัดสินโทษในครั้งนั้นไม่ได้อยู่ดี ที่จวนอ๋องในตอนนี้ เสนาบดีกรมพิธีการกำลังดำเนินพิธีตามราชประเพณีที่ให้ฮ่องเต้ ฮองเฮา ท่านอ๋องและพระชายาร่วมวางสิ่งของแทนเส้นทางในอ
หนึ่งวันก่อนงานฉลองร้อยวัน ตั้งแต่ซูซูคลอดอ๋องน้อยออกมา ตระกูลฟางก็แทบจะมาที่จวนอ๋องวันเว้นวันกันเลยทีเดียว พวกเขารักหลานคนแรกที่อวบอ้วนมากจนอดทนไม่ไหวที่จะห่างจากหลานหลายวัน ท่านอ๋องเองก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีงานที่จะต้องออกจากจวน พระองค์ก็จะไม่ออกไปไหนนอกจากการช่วยภรรยาเลี้ยงดูบุตรชาย พระองค์ยังเคยขอลองชิมน้ำนมจากภรรยาแต่กลับถูกนางมองแรงใส่จนพระองค์ไม่กล้าขอชิมอีกเลย ด้วยกลัวว่าพระองค์จะได้ชิมกระบี่บินแทนที่จะได้กินนมเหมือนเจ้าลูกชาย ทำอย่างไรได้ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ร่วมรักกับภรรยามาปีกว่าแล้วตั้งแต่นางตั้งครรภ์ พระองค์ใช่ว่าจะเป็นพระอิฐพระปูนเสียที่ไหน แต่ด้วยคำสั่งห้ามของภรรยาว่านางยังเจ็บแผลอยู่ จึงทำให้อ๋องเฉิงต้องอดทนมาจนกระทั่งลูกชายอายุจะครบร้อยวันในวันพรุ่งนี้แล้ว วันนี้ที่จวนอ๋องต่างวุ่นวายจัดเตรียมงานให้กับท่านอ๋องน้อยของพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจากท่านอ๋องแจ้งไว้ก่อนหน้าแล้วว่าฮ่องเต้และฮองเฮาจะเสด็จมาเป็นประธา