เลขาไห่พยักหน้ารับคำท่านประธาน เขาเดินเข้าไปหาซูเมี่ยวจินและฉางเล่ยซึ่งยังคงนั่งรออยู่อย่างสงบ
“สวัสดีครับคุณลูกค้า ผมต้องขออภัยแทนพนักงานที่หยาบคายสองคนนั่นด้วยครับ นี่เป็นบัตรของลูกค้าวีวีไอพีของห้างเรา ขอให้คุณลูกค้ารับไว้ด้วยนะครับ หลังจากนี้หากพวกคุณซื้อสินค้าและใช้บัตรนี้ตอนจ่ายเงิน พวกคุณจะได้รับส่วนลด 30% และหากร้านมีของแถมก็จะได้รับไปด้วยครับ ห้างเรายังมีบริการส่งสินค้าให้ด้วยนะครับ หวังว่าพวกคุณจะไม่ถือสาและกลับมาซื้อของที่ห้างเราในอนาคตด้วยครับ”
คำพูดและท่าทางนอบน้อมของไห่ตง ทำให้ซูเมี่ยวจินพอใจไม่น้อย เธอพยักหน้าและรับบัตรวีวีไอพีมาอย่างไม่อิดออด ฉางเล่ยยังอึ้งอยู่ที่พวกเขาได้รับบัตรระดับสูงสุดของห้างเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น
“ขอบคุณสำหรับบัตรนี้นะคะ พวกเราจะมาใช้บริการที่ห้างนี่ต่อแน่นอนค่ะ” ซูเมี่ยวจินรับคำไห่ตง แน่นอนว่าส่วนลดเยอะขนาดนี้ เธอจะสามารถซื้อของให้สามีกับครอบครัวได้ในราคาถูกลงมากเลยทีเดียว
ฮัวอิงเต๋อสั่งให้ รปภ. ลากตัวเถิงปู้เหยากับจางเหมยเหมยออกจากหน้าร้านอย่างไม่รีรอ ลูกค้าคนอื่นที่มามุงดูเห็นว่าเหตุการณ์คลี่คลายแล้วก็แยกย้ายกันไปซื้อของในห้างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซูเมี่ยวจินชวนฉางเล่ยไปเดินดูนาฬิกาที่ชั้นบนต่อ เธอเกือบลืมไปว่าที่บ้านไม่มีนาฬิกาเลยสักเรือน เธออยากซื้อให้เป็นของขวัญฉางเล่ยและน้องสาวเขา เวลาที่ฉางเซียงจูเข้าสอบจะได้มีนาฬิกาดูเวลา
โหลวอิ๋งลู่เห็นลูกค้าลุกขึ้นจึงเดินเข้ามาขอโทษอีกครั้งและส่งพวกเขาออกจากร้านของเธอไปพร้อมรอยยิ้มการค้า เธอมั่นใจว่าพวกเขาจะต้องมีเงินไม่น้อยแน่ถึงได้คิดจะเดินซื้อของในห้างต่อ นับว่าช่วยให้ห้างของตาเธอมีรายได้เพิ่มขึ้น
ฉางเล่ยไม่คิดว่าภรรยาจะยังซื้อของต่ออีก เขาไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่ในเมื่อภรรยาเขาอยากซื้อของ เขาก็จะเดินเป็นเพื่อนเธอต่อ
เมื่อไปถึงชั้นบน ซูเมี่ยวจินเห็นร้านนาฬิกาหลายร้านตั้งอยู่เรียงกัน เธอเดินไปดูว่าร้านไหนน่าสนใจและดูมีคุณภาพมากกว่ากัน เพราะเธอไม่อยากซื้อของถูกแล้วใช้งานได้เพียงไม่กี่วันก็เสีย ซูเมี่ยวจินรู้ดีว่าของพวกนี้หากไม่เลือกดี ๆ ก็ไม่คุ้มกับเงินที่ต้องเสียไป
ฉางเล่ยมองภรรยาเดินเลือกดูนาฬิกามากมายก็งุนงงไม่น้อย เขาพอจะรู้ว่าราคาของพวกนี้แพงไม่เบา อย่างต่ำ ๆ ก็หนึ่งร้อยกว่าหยวนต่อเรือน บ้านเขาไม่เคยมีเงินมากมายพอที่จะซื้อของแบบนี้มาก่อน
“ภรรยา คุณจะซื้อจริงหรือ? มันแพงอยู่นะครับ” ฉางเล่ยกระซิบถามซูเมี่ยวจิน
“ซื้อสิคะ คุณกับน้องสาวจำเป็นต้องใช้นะ บ้านเราไม่มีนาฬิกาแล้วจะรู้เวลาได้ยังไง”
“ผมกลัวว่าเงินของเราจะไม่พอซื้อของตามรายการของแม่น่ะสิครับ” ฉางเล่ยบอกถึงความกังวลของเขา ถึงตอนนี้จะเหลือเงินอยู่สองพันกว่าหยวนก็เถอะ
“ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ที่ฉันยังมีเงินอีกมาก” ซูเมี่ยวจินตัดสินใจเข้าร้านนาฬิการ้านใหญ่ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง เธออยากได้นาฬิกาออโตเมติกจะได้ไม่ต้องหาซื้อถ่านเปลี่ยนให้เสียเวลาและเสียเงินเพิ่ม
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ภรรยาครับ” ฉางเล่ยนึกได้ว่าซูเมี่ยวจินยังมีเงินค่าโสมอีก
ซูเมี่ยวจินยิ้มบางส่งให้ฉางเล่ย เธอเดินดูนาฬิกาในตู้กระจกอย่างตั้งใจ พนักงานในร้านเห็นสองคนถือถุงแบรนด์เนมพะรุงพะรัง เธอจึงตั้งใจดูแลพวกเขาอย่างดี น้อยคนนักที่จะมาห้างแล้วซื้อของราคาแพงแบบพวกเขา
“คุณมีนาฬิกาแบบไขลานหรือเปล่าคะ” ซูเมี่ยวจินไม่แน่ใจว่าเรือนไหนเป็นแบบไม่ใช้ถ่าน เธอจึงถามพนักงานที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“มีค่ะคุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าต้องการนาฬิกาชายหรือหญิงคะ” พนักงานยิ้มตอบ
“ขอดูทั้งสองแบบค่ะ ฉันจะเลือกให้สามีและน้องสามี” ซูเมี่ยวจินตอบ
พนักงานพยักหน้ารับคำ เธอเปิดตู้และหยิบนาฬิกาผู้ชายสามเรือน ผู้หญิงอีกสามเรือนซึ่งเป็นแบบไขลานส่งให้ซูเมี่ยวจินดูอย่างละเอียด
“สามี คุณชอบเรือนไหนคะ” ซูเมี่ยวจินชี้ไปยังนาฬิกาผู้ชายแล้วให้เขาเลือกเอง
“เอ่อ… ผมเลือกไม่ถูกครับ ภรรยาเลือกให้ได้ไหม” ฉางเล่ยบอกอย่างเขิน ๆ เขาไม่รู้ว่าใส่เรือนไหนแล้วดูดี เลยอยากให้ซูเมี่ยวจินเลือกให้
“อืม… เรือนนี้เป็นยังไงคะ ฉันว่าดูเข้ากับคุณดี” ซูเมี่ยวจินชี้ไปยังนาฬิกาสีเงินดูทนทานหนึ่งในสามเรือนที่พนักงานนำมาให้เลือก
“ตกลงครับ ผมลองสวมดูก่อนดีไหม” ฉางเล่ยกลัวว่าถ้าซื้อแล้วใส่ไม่ได้จะเสียเงินไปเปล่า ๆ ในเมื่อภรรยาบอกว่าซื้อเป็นของขวัญให้เขากับน้องสาว เขาก็จะใส่ทุกวัน
“ดีสิคะ คุณรีบวางของลงก่อน จะได้ลองสวมดูว่าพอดีหรือเปล่า ที่ร้านมีบริการปรับสายให้ด้วยไหมคะ” ซูเมี่ยวจินบอกสามีและหันไปถามพนักงานร้าน
“มีค่ะคุณผู้หญิง ให้คุณผู้ชายลองสวมดูได้เลยค่ะ” พนักงานยิ้มรับ นาฬิกาเรือนนั้นที่พวกเขาเลือกราคา 320 หยวน หากว่าเธอขายได้ก็จะได้รับส่วนแบ่งการขายด้วย
ซูเมี่ยวจินดูนาฬิกาผู้หญิงอีกสามเรือนตรงหน้า เธอกะขนาดข้อมือของน้องสาวฉางเล่ยไม่นานก็นำนาฬิกาเรือนหนึ่งมาสวมดูก่อนและถอดออกเพื่อรอส่งให้พนักงานนำไปแก้สายให้เล็กลงกว่านี้สองระดับ เพราะฉางเซียงจูข้อมือเล็กกว่าเธอ
“สามี พอดีหรือเปล่าคะ” ซูเมี่ยวจินหันไปถามฉางเล่ย
“พอดีครับ ไม่แน่นเกินไป” ฉางเล่ยไม่คิดว่านาฬิกาเรือนนี้จะสวมได้พอดี
“คุณเอานาฬิกาเรือนนี้ไปปรับลดสองระดับนะคะ เสร็จแล้วก็คิดเงินทั้งสองเรือนได้เลยค่ะ อ้อ นี่บัตรของฉัน รบกวนคุณด้วยนะคะ” ซูเมี่ยวจินหยิบบัตรวีวีไอพีส่งให้
“ได้ค่ะคุณลูกค้า พวกคุณรอที่โต๊ะคิดเงินสักครู่นะคะ” พนักงานรับบัตรวีวีไอพีมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ มีลูกค้าเพียงไม่กี่คนที่จะได้รับบัตรใบนี้ เธอรู้ดีว่าสิทธิพิเศษของบัตรระดับนี้มีอะไรบ้าง
ซูเมี่ยวจินพยักหน้ารับคำพนักงาน เธอชวนสามีเดินไปรออีกด้านหนึ่ง และมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าตอนนี้เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว
“สามี จะหนึ่งทุ่มแล้ว เราจะกินข้าวในห้างหรือออกไปกินข้างนอกดีคะ”
“กินที่นี่ก็สะดวกดีนะครับ คุณไม่มีอะไรจะซื้ออีกแล้วใช่ไหม”
“ไม่มีแล้วค่ะ พรุ่งนี้เราค่อยหาร้านซื้อของตามรายการที่แม่ให้มานะคะ วันนี้ฉันไม่อยากเดินต่อแล้ว” ซูเมี่ยวจินที่ซื้อของมาหลายชั่วโมงเริ่มเบื่อจึงอยากหาที่พักก่อน
“ตกลงครับ คุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” ฉางเล่ยเข้าใจดีว่าภรรยาน่าจะอยากพักผ่อน เขาเองก็เหนื่อยล้าไม่น้อยเช่นเดียวกัน
พนักงานร้านนำนาฬิกาที่ใส่กล่องแล้วทั้งสองเรือนมาคิดเงินโดยใช้บัตรวีวีไอพีของลูกค้า เธอลดราคา 30% ตามสิทธิพิเศษของบัตร และที่ร้านยังแถมนาฬิกาตั้งโต๊ะแบบใช้ถ่านให้ลูกค้าด้วย
“ราคาทั้งหมด 580 หยวนค่ะ ทางร้านแถมนาฬิกาตั้งโต๊ะให้ลูกค้าด้วยนะคะ เพราะพวกคุณซื้อนาฬิกามากกว่าหนึ่งเรือนค่ะ” พนักงานแจ้งราคาและบอกของแถม
“นี่ครับเงิน 600 หยวน” ฉางเล่ยส่งเงินให้พนักงานและรับถุงมาถือเอาไว้
“ขอบคุณค่ะ เงินทอนและบัตรวีวีไอพีของคุณลูกค้า ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะคะ”
ซูเมี่ยวจินปล่อยให้ฉางเล่ยรับเงินทอนมา ส่วนเธอนำบัตรมาเก็บเอาไว้และชวนฉางเล่ยไปหาร้านที่ชั้นหนึ่งกินข้าวก่อนออกจากห้าง
ระหว่างทางลงไปชั้นหนึ่ง ซูเมี่ยวจินถามฉางเล่ยว่าอยากกินอะไร เธอเห็นว่ามีร้านอาหารหลายอย่างให้เลือกที่นั่น
“ผมว่าเรากินบะหมี่สักชามดีไหมครับ เมื่อเที่ยงพวกเรากินข้าวที่ร้านอาหารของรัฐไปแล้ว ผมกลัวคุณจะเบื่อ” ฉางเล่ยตอบ
“ตกลงค่ะ กินบะหมี่ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่หนักท้อง” ซูเมี่ยวจินพยักหน้าตกลง
พวกเขาเดินไม่นานก็มาถึงร้านบะหมี่ร้านหนึ่งซึ่งมีคนนั่งกินอยู่นิดหน่อย ทั้งสองเลือกโต๊ะที่อยู่ด้านในเพื่อความเป็นส่วนตัว จากนั้นจึงสั่งบะหมี่คนละชาม ไม่นานพนักงานก็นำบะหมี่มาส่งที่โต๊ะ ซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยชิมดูก็รู้สึกว่าบะหมี่อร่อยจนไม่ต้องปรุงใหม่ พวกเขาจึงกินอย่างไม่รีรอ ส่วนน้ำก็สั่งเพียงน้ำเปล่าในร้านมาเพิ่มเท่านั้น
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ