ขณะที่ซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยกำลังจะออกจากร้าน กลับมี รปภ. สี่คนมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน ซูเมี่ยวจินขมวดคิ้วมุ่นแล้วมองพวกเขาอย่างเย็นชา
“หมาดีไม่ขวางทางคน!” ซูเมี่ยวจินเอ่ยเสียงห้วน
โหลวอิ๋งลู่ได้ยินเสียงดังของซูเมี่ยวจิน พอหันไปมองทางด้านนั้นเข้า เธอก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นที่เห็นเถิงปู้เหยา จางเหมยเหมยกับ รปภ.อีก 4 คน ขวางทางลูกค้ารายใหญ่ของเธออย่างเสียมารยาท โหลวอิ๋งลู่กวักมือเรียกซวงจือมาดูแลลูกค้าแทนและเดินไปหาซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ย
“ขอโทษคุณลูกค้านะคะ ดิฉันจะคุยกับพวกเขาเองค่ะ” โหลวอิ๋งลู่ไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรในร้านของเธออีก เธอจึงอาสาที่จะไกล่เกลี่ยเรื่องนี้
ซูเมี่ยวจินพยักหน้ารับคำและถอยหลังออกไปพร้อมกับฉางเล่ย เธอเองก็ไม่อยากมีเรื่องกับคนพวกนี้ให้เสียเวลา
“รองผู้จัดการเถิง คุณพาคนมาขวางลูกค้าของฉันได้ยังไงคะ ไม่กลัวว่าฉันจะบอกท่านประธานหรือไง” โหลวอิ๋งลู่แสดงสีหน้าไม่พอใจชายร่างอ้วนเตี้ยตรงหน้าที่ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างน่าหมั่นไส้
“คุณไม่ต้องมาขู่ผมหรอกผู้จัดการโหลว ที่ผมพาคนมาเพราะพวกเขาทำร้ายร่างกายพนักงานของห้างเรา ผมที่เป็นรองผู้จัดการฝ่ายบุคคลก็ต้องปกป้องพนักงานของเรา ไม่เหมือนคุณหรอกที่หนุนหลังคนชั้นต่ำพวกนี้ให้รังแกพนักงาน” เถิงปู้เหยาเถียงอย่างไม่สนใจความถูกผิดเลยแม้แต่น้อย เขาเห็นน้ำตาของเมียน้อยก็ใจอ่อนยวบ แถมยังรอยฝ่ามือที่แก้มของเธออีก มันทำให้เขาปวดใจนัก
“ฮึ! คุณรู้ไหมว่าทำไมจางเหมยเหมยถึงถูกตบ?” โหลวอิ๋งลู่มองจางเหมยเหมยอย่างรังเกียจที่เห็นท่าทางออดอ้อนของเธอตรงหน้า
“ผมไม่สนใจว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่พนักงานของเราบาดเจ็บก็ต้องจับพวกเขาไปส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสิ” เถิงปู้เหยายังคงยืนกราน
“นั่นคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณคิดจะส่งลูกค้าคนสำคัญของร้านฉันไปจริง ๆ ฉันจะฟ้องพวกคุณในข้อหาดูหมิ่นลูกค้าและขัดขวางการค้าของร้านฉัน” โหลวอิ๋งลู่ไม่สนใจว่าเธอจะต้องเป็นศัตรูกับเถิงปู้เหยา เธอไม่อยากให้ลูกค้าในห้างเข้าใจพนักงานผิด
“พวกคุณจะคุยกันอีกนานไหม? ฉันกับสามียังมีธุระต้องทำอีกนะ” ซูเมี่ยวจินเอ่ยขึ้น
“เอ่อ… ขออภัยคุณลูกค้าด้วยค่ะ รอฉันโทรศัพท์แจ้งท่านประธานสักครู่นะคะ” โหลวอิ๋งลู่เห็นว่าเถิงปู้เหยาไม่ยอมถอย เธอจึงต้องรีบรายงานท่านประธานที่เป็นคุณตาของเธอทันที เรื่องนี้เป็นความลับที่เธอไม่เคยบอกใคร แต่วันนี้สงสัยว่าจะต้องเปิดเผยฐานะให้พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงตรงหน้ารู้เสียแล้ว
“รีบหน่อยก็แล้วกันค่ะ ฉันไม่อยากอยู่ใกล้พวกขยะนานเกินไป เดี๋ยวกลิ่นจะติดตัว”
คำพูดของซูเมี่ยวจินสร้างเสียงหัวเราะให้กับลูกค้าที่มามุงกันอยู่ พวกเขาเห็นท่าทางของจางเหมยเหมยก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องน่าจะเกิดจากเธอมากกว่า เพราะซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยต่างก็ถือถุงสิ่งของแบรนด์เนมมากมาย พวกเขาจะเป็นคนชั้นต่ำอย่างที่เถิงปู้เหยาว่าได้ยังไงกัน
โหลวอิ๋งลู่หยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งน้อยนักที่จะได้เห็น เพราะมีแต่คนรวยเท่านั้นที่มีปัญญาซื้อโทรศัพท์มือถือราคาแพงแบบนี้ เถิงปู้เหยาเห็นโหลวอิ๋งลู่จะโทรรายงานจริง เขาก็เกิดกลัวขึ้นมานิดหน่อย เพียงแต่เขาไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าจางเหมยเหมย ถ้าเรื่องครั้งนี้เขาจัดการไม่ได้ เมียน้อยของเขาต้องเอาใจออกห่างแน่
โหลวอิ๋งลู่คุยสายไม่นานนัก เธอจึงเดินมาบอกซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยให้ไปนั่งรอที่โซฟาสักครู่ เพราะคุณตาของเธอกับเลขาฯ กำลังจะมาจัดการเรื่องนี้ให้
“ขอบคุณที่ช่วยอำนวยความสะดวกนะคะ เพียงแต่มันเสียเวลาพวกเราจริง ๆ” ซูเมี่ยวจินไม่อยากรออีกต่อไป ตอนนี้เธออยากรีบไปหาโรงแรมพักและเข้าห้องน้ำ
“เอ่อ… คุณลูกค้ารออีกไม่ถึง 20 นาทีหรอกนะคะ” โหลวอิ๋งลู่หน้าเสียเมื่อเห็นว่าซูเมี่ยวจินอยากรีบกลับแล้ว
“ภรรยา… อย่ามีเรื่องกับพวกเขาเลยนะครับ ให้ผู้จัดการทำหน้าที่ของเธอเถอะ” ฉางเล่ยไม่อยากให้เรื่องราวบานปลาย
“แต่ฉันอยากเข้าห้องน้ำนี่นาสามี” ซูเมี่ยวจินใบหน้าบูดบึ้งเมื่อต้องบอกสาเหตุ
“อ่า… คุณผู้หญิงตามดิฉันมาทางนี้ค่ะ ในร้านมีห้องน้ำของพนักงานอยู่” โหลวอิ๋งลู่ไม่คิดว่าเหตุผลของลูกค้าเธอจะเพราะปวดเบา เธอรีบนำทางไปทันทีและปล่อยให้ฉางเล่ยนั่งรออยู่พร้อมถุงข้าวของมากมาย
“ที่รัก! ทำไมคุณไม่จัดการพวกมันสักทีล่ะคะ” จางเหมยเหมยเขย่าแขนเถิงปู้เหยา
“ตกลง ๆ พวกแกไปจับมันมาให้ฉัน!” เถิงปู้เหยาสั่งการ รปภ.ทั้งสี่คนเสียงดัง
“รองผู้จัดการเถิง พวกเราไม่กล้าล่วงเกินลูกค้าหรอกนะครับ เมื่อครู่ผู้จัดการโหลวก็บอกอยู่ว่าพวกเขาเป็นลูกค้าคนสำคัญของร้านเธอ ถ้าเราทำอะไรลงไปแล้วถูกไล่ออก คุณคงช่วยพวกเราไม่ได้แน่” หนึ่งใน รปภ. เอ่ยขึ้น เขาไม่รู้หรอกว่าใครมีอำนาจมากกว่ากัน แต่ท่าทางของโหลวอิ๋งลู่น่าเชื่อถือมากกว่าเถิงปู้เหยา
“กรี๊ด!!! พวกชั้นต่ำนี่ กล้าขัดคำสั่งรองผู้จัดการเหรอ!” จางเหมยเหมยกรีดร้องอย่างไม่สนใจหน้าตาตัวเอง เธออยากจัดการคนบ้านนอกสองคนนั่นให้หลาบจำ
รปภ. ยิ่งเห็นพฤติกรรมของจางเหมยเหมย พวกเขาก็ยิ่งรำคาญมากขึ้น ถ้าไม่เห็นแก่เถิงปู้เหยา พวกเขาคงไม่ติดตามมาที่ร้านนี่ให้เสียเวลาทำงานหรอก
“เสียงดังอะไรกัน!!!” ฮัวอิงเต๋อ ประธานห้างแห่งนี้เดินมากับเลขาฯ ด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขารู้เรื่องทั้งหมดจากหลานสาวแล้ว ยิ่งเห็นท่าทางถือดีของพนักงานอย่างเถิงปู้เหยาและจางเหมยเหมยต่อหน้า เขาก็มั่นใจว่าต้นเหตุคือพนักงานหญิงตรงหน้า
“สวัสดีท่านประธานครับ!” รปภ.กับเถิงปู้เหยารีบค้อมตัวลงทันที ส่วนจางเหมยเหมยที่เพิ่งเคยเห็นประธานห้างครั้งแรกไม่ได้ทำความเคารพอะไร เธอนึกว่าตาแก่ตรงหน้าเป็นเพียงลูกค้าในห้างเท่านั้น
“เถิงปู้เหยา! คุณกล้ามากนะที่ใช้อำนาจหน้าที่มารังแกลูกค้าของห้าง เลขาไห่ ไล่พวกเขาสองคนออกไปและสั่งแบนในทุกเครือของบริษัทเรา” ฮัวอิงเต๋อสั่งอย่างไม่คิดจะไว้หน้าเถิงปู้เหยา เขารู้นิสัยผู้ชายคนนี้ดี ถ้าไม่เห็นว่าเขาทำงานมาหลายปี เขาคงไล่ออกไปนานแล้ว วันนี้เถิงปู้เหยายังก่อเรื่องให้ห้างเสียชื่อเสียงอีก เขาจึงไม่คิดจะเก็บคนแบบนี้ไว้ให้รกหูรกตา
“ท่านประธานจะไล่ผมออกไม่ได้นะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ลูกค้าสองคนนั่นรังแกพนักงานในห้างของเรา ผมแค่ทำหน้าที่ปกป้องพนักงานเท่านั้น” เถิงปู้เหยาเถียงขึ้นมาอย่างไม่ยินยอม หากเขาถูกไล่ออก ครอบครัวเขาต้องลำบากแน่
“คุณไม่มีสิทธิ์มาต่อรองกับผม พนักงานที่คุณว่านั่น เธอดูถูกลูกค้าของห้างและสร้างความอับอายให้ลูกค้า เธอจะถูกตบมันก็สมควรแล้ว คุณยังกลับผิดเป็นถูกและนำคนของห้างมาก่อเรื่องวุ่นวายอีก สมองคุณถูกหมากินไปแล้วหรือยังไง” ฮัวอิงเต๋อกล่าวอย่างไม่สนใจว่าเถิงปู้เหยาจะทำสีหน้ายังไง
โหลวอิ๋งลู่ที่พาซูเมี่ยวจินไปเข้าห้องน้ำกลับมาทันได้ยินคุณตาของเธอพูดขึ้นพอดี เธอจึงบอกให้ซูเมี่ยวจินไปนั่งรอกับสามีก่อน และเดินไปหาฮัวอิงเต๋อ
“คุณตาคะ เถิงปู้เหยาใช้อำนาจในทางมิชอบมาหลายปีแล้ว หนูพยายามอดทนกับคนที่เขานำมาฝากไว้ที่ร้านหลายครั้ง สุดท้ายเธอก็ยังก่อเรื่องใหญ่อีกจนได้ ลูกค้าสองคนที่มาก็ซื้อชุดราคาแพงที่สุดของร้านไปถึงสองชุดด้วยค่ะ คุณตาต้องจัดการพวกเขาให้หนูนะคะ” โหลวอิ๋งลู่เกาะแขนตาของเธอและฟ้องเหมือนเด็ก ๆ
“ชู่… หลานไม่ต้องกังวลไป ตาไล่พวกเขาออกแล้ว หลังจากนี้ห้างเราจะไม่รับพนักงานที่ดูถูกลูกค้าอีกต่อไป ตาจะสั่งให้เลขาไห่ตรวจสอบพนักงานอย่างเข้มงวดว่ามีใครทำพฤติกรรมแบบนี้อีกไหม จะได้ไล่ออกไปให้หมด” ฮัวอิงเต๋อเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง หลายปีแล้วที่เขาปล่อยปละละเลย จนทำให้พวกผู้จัดการและรองผู้จัดการเหิมเกริมมากขนาดนี้
“ขอบคุณคุณตามากค่ะ ว่าแต่คุณตาจะชดเชยให้ลูกค้าของหนูยังไงคะ”
“เลขาไห่ นำบัตรวีวีไอพีให้ลูกค้า และบอกสิทธิพิเศษของบัตรด้วย”
เถิงปู้เหยาได้ยินบทสนทนาของสองตาหลานเข้าก็เหงื่อแตกพลั่ก เขาไม่คิดมาก่อนว่าโหลวอิ๋งลู่ที่เขาเคยกดหัวไว้หลายปี เธอจะเป็นถึงหลานสาวของท่านประธาน ตอนนี้ถึงเขาจะคุกเข่าขอร้องทั้งสองคนก็คงไม่ทันแล้ว
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ