หลังกินบะหมี่และจ่ายเงินเสร็จ ซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยก็เดินออกจากห้าง ซึ่งตอนนี้ด้านนอกมีไฟถนนสว่างไสวไม่ต่างจากตอนกลางวันเลยแม้แต่น้อย ไม่เหมือนกับที่หมู่บ้านพวกเขาซึ่งมีเสาไฟฟ้าส่องสว่างเพียงไม่กี่ต้น
“เราจะไปทางไหนกันดี ภรรยา” ฉางเล่ยหันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะไปทางซ้ายหรือทางขวา เขาไม่รู้ว่าโรงแรมที่คนขับสามล้อบอกอยู่ตรงไหน
“ลองไปทางนั้นกันก่อนเถอะค่ะ ถ้าไม่มีโรงแรมค่อยเดินกลับไปอีกทาง”
ซูเมี่ยวจินไม่ได้คิดมากเหมือนฉางเล่ย ยังไงตอนนี้พวกเธอก็กินอิ่มแล้ว ยังมีแรงเดินหาโรงแรมได้สักพักใหญ่ ๆ
พวกเขาเดินผ่านซอยข้างห้างไปไม่นานก็พบป้ายโรงแรมของรัฐแห่งหนึ่ง ฉางเล่ยยิ้มอย่างดีใจที่มาถูกทาง เขาอยากอาบน้ำและพักผ่อนพร้อมภรรยานานแล้ว เพราะวันนี้พวกเขาเดินกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ
“ห้องพักเตียงคู่ราคาเท่าไหร่ครับ” ฉางเล่ยถามตามที่ผู้จัดการเจี่ยงแนะนำมา
“ห้องละ 20 หยวนต่อคืนครับ” พนักงานโรงแรมตอบกลับ เขาเห็นลูกค้าสองคนถือของพะรุงพะรังก็รู้ว่าพวกเขาคงเหนื่อยกันไม่น้อยแล้วอยากพักผ่อน
“นี่เงินค่าห้องครับ รบกวนขอกุญแจห้องที่ดีสักหน่อยให้เราด้วยครับ” ฉางเล่ยหยิบเงินหนึ่งร้อยหยวนส่งให้พนักงาน
“พวกคุณเป็นสามี ภรรยากันหรือเปล่าครับ เราต้องตรวจสอบเอกสารก่อนให้เข้าพักตามระเบียบครับ” พนักงานรีบขอดูเอกสาร
“ใช่ครับ ภรรยา เอาทะเบียนสมรสให้เขาดูหน่อยครับ” ฉางเล่ยหันไปบอกซูเมี่ยวจินที่เขาให้เธอเป็นคนเก็บทะเบียนสมรสและเอกสารสำคัญ
“นี่เอกสารของพวกเราค่ะ” ซูเมี่ยวจินหยิบทะเบียนสมรสส่งให้พนักงาน
“เอกสารถูกต้อง นี่เป็นเงินทอนและกุญแจห้องเบอร์ 7 ชั้นสองครับ เชิญพวกคุณตามสบายครับ โรงแรมเราต้องออกก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้นะครับ” พนักงานบอกเวลา
“ทราบแล้วครับ พวกเรายังมีธุระต้องออกไปแต่เช้าอยู่แล้ว” ฉางเล่ยพยักหน้ารับคำ
พนักงานยิ้มรับคำของฉางเล่ย เขามองสองสามีภรรยาหนุ่มหล่อสาวสวยที่ช่วยกันถือถุงมากมายขึ้นไปบนชั้นสองอย่างชื่นชม ถึงแม้การแต่งตัวของพวกเขาจะดูเหมือนคนในชนบท แต่ถ้ามองถึงสิ่งของที่พวกเขาถืออยู่ในมือ ทุกคนจะต้องนึกไม่ถึงว่าคนจากชนบทจะมีเงินซื้อของดี ๆ มากมายขนาดนี้แน่
ฉางเล่ยเดินนำทางซูเมี่ยวจินขึ้นไปชั้นบน เขามองหาเลขหน้าประตูห้องไม่นานก็พบห้องหมายเลข 7 ฉางเล่ยนำกุญแจที่เพิ่งได้รับเปิดประตูเข้าไปทันที เขารอให้ซูเมี่ยวจินเดินเข้าไปด้านใน ก่อนจะปิดประตูห้องและล็อคเอาไว้เพื่อป้องกันคนนอกแอบเปิดประตูห้องพวกเขาเข้ามา
“คุณวางของไว้ก่อนแล้วเอาเสื้อผ้าไปอาบน้ำก่อนเถอะครับ” ฉางเล่ยเห็นว่าภรรยาน่าจะเหนื่อยมากแล้ว เขาจึงตั้งใจจะรออาบน้ำทีหลัง
“ตกลงค่ะ คุณก็เลือกชุดใหม่ที่ซื้อมาวันนี้เข้าไปเปลี่ยนด้วยนะคะ” ซูเมี่ยวจินไม่ลืมบอกฉางเล่ยให้เขาเลือกชุดที่เธอซื้อให้มาใส่นอนด้วย
“ได้ครับ คุณรีบไปอาบน้ำก่อนเถอะ” ฉางเล่ยพยักหน้ายิ้มรับคำภรรยา
ซูเมี่ยวจินวางสิ่งของลงแล้วค้นหาชุดนอนที่เธอเพิ่งซื้อและชุดชั้นในใหม่ออกมาจากถุงอย่างรวดเร็ว ฉางเล่ยเองก็วางถุงต่าง ๆ ลงกับพื้นข้างเตียงและค้นหาเสื้อผ้าที่ภรรยาเลือกซื้อให้ระหว่างรอเธออาบน้ำ ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ร่วมบ้านกันมาได้สักพักใหญ่แล้ว แต่ทั้งสองก็ไม่เคยนอนร่วมห้องเดียวกันมาก่อน ฉางเล่ยจึงเลือกที่จะเช่าห้องแบบสองเตียงเพื่อให้เกียรติภรรยาซึ่งยังไม่ได้เข้าพิธี
ฉางเล่ยค้นหาเสื้อผ้าจากถุงที่ถือมาก็พบชุดนอนผู้ชายที่ดูจะใส่สบาย เขาอมยิ้มที่ซูเมี่ยวจินช่างเลือกถึงขนาดนี้ ปกติบ้านของเขาไม่มีใครมีชุดนอนใส่มาก่อน ทุกคนสวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดาที่มีอยู่ในบ้านนอนเท่านั้น ฉางเล่ยคิดว่าการมีภรรยาที่จัดการเรื่องเหล่านี้ให้ช่างดีเสียจริง ไม่แปลกใจเลยที่พ่อแม่เขาบ่นว่ามาตลอดที่ไม่ยอมแต่งงานจนอายุเกือบจะเข้าเลขสามแล้ว
ซูเมี่ยวจินอาบน้ำไม่นานก็เดินออกมาในชุดนอนกระโปรงที่เธอเลือกมา ในห้องน้ำมีระบบทำน้ำอุ่นอยู่ ซูเมี่ยวจินจึงรู้สึกสบายตัวมากขึ้นอีกโข
“คุณรีบไปอาบน้ำสิคะจะได้รีบนอนกัน พรุ่งนี้เรายังต้องไปซื้อของอีกหลายที่นะ”
“ครับ ๆ ผมเห็นคุณใส่ชุดนี้แล้วสวยมาก เลยมองเพลินไปหน่อย” ฉางเล่ยคนซื่อพูดตามที่เขาเห็น ภรรยาของเขาสวมชุดไหนก็สวยมากจริง ๆ เขานึกถึงวันที่จะได้แต่งงานและนอนร่วมเตียงกับเธอเป็นครั้งแรกก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
“ฮ่า ฮ่า คุณก็ชมฉันเกินไป รีบไปอาบน้ำเถอค่ะ ผ้าเช็ดตัวของคุณฉันแขวนเอาไว้ให้ในห้องน้ำแล้วนะคะ” ซูเมี่ยวจินไม่ลืมที่จะบอกเขา เพราะในห้องน้ำมีผ้าเช็ดตัวสองผืน ผืนที่เธอใช้แล้ว เธอนำออกมาตากไว้ด้านนอกด้วย
“ขอบคุณครับ ผมจะรีบอาบเดี๋ยวนี้แหละ” ฉางเล่ยยิ้มเผล่และเดินถือชุดนอนเข้าห้องน้ำไปอย่างอารมณ์ดี
ซูเมี่ยวจินอดที่จะนึกเอ็นดูสามีตัวโตของเธอไม่ได้ เขาคิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้นเสมอ ขนาดคำชมแบบนี้เขายังพูดออกมาได้ เธอไม่เคยเห็นใครที่ซื่อเหมือนเขามาก่อนจริง ๆ ขณะที่กำลังนึกถึงสามีอยู่นั้น เสียงระบบในหัวของเธอก็ดังขึ้น
[เจ้านายครับ วันนี้พวกคุณใช้เงินไปไม่น้อยเลยนะครับ เงินที่คุณเตรียมไว้จะพอซื้อของพรุ่งนี้หรือเปล่าครับ]
[ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่นายยังมีทองมูลค่าหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนอยู่ไม่ใช่หรือไง]
[ใช่ครับ ถ้าหากเจ้านายต้องการใช้ ผมจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินให้ครับ]
[ยังไม่ต้องแลกหรอก ในอนาคต ราคาทองคำจะสูงกว่านี้มาก ฉันอยากเก็บทองเอาไว้มากกว่าน่ะ]
[โอ้! เจ้านายช่างคิดได้รอบคอบนัก ในอนาคตราคาจะสูงกว่านี้จริง ๆ]
[อืม… นายพักผ่อนเถอะ ฉันเองก็จะนอนแล้ว เหนื่อยมาทั้งวัน]
[ครับเจ้านาย ราตรีสวัสดิ์ครับ]
เมื่อเสียงของระบบเงียบหายไป ซูเมี่ยวจินก็นึกถึงสิ่งของที่ต้องซื้อพรุ่งนี้ เธออยากไปดูรถเครื่องก่อน จะได้สะดวกในการขนของกลับหมู่บ้าน อีกทั้งพรุ่งนี้เธอไม่จำเป็นต้องเข้าไปซื้อของในห้าง การมีรถเป็นของตัวเองจึงจำเป็นมาก
ฉางเล่ยอาบน้ำไม่นานนักก็ออกมา เขาเห็นภรรยามองตัวเองด้วยดวงตาเป็นประกายก็อดที่จะยืดตัวขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ ชุดนอนชุดนี้เหมาะกับเขามากจริง ๆ
“ภรรยายังไม่นอนอีกเหรอครับ” ฉางเล่ยยิ้มถาม
“อืม… รอคุณอยู่น่ะค่ะ พรุ่งนี้เรากินข้าวที่โรงแรมก่อนค่อยไปร้านขายรถเครื่องดีไหมคะ ฉันอยากได้รถขนของสักคัน จะได้ไม่ต้องถือของเยอะนัก”
“ตกลงครับ ผมตามใจคุณอยู่แล้ว แต่ว่าเงินที่ใช้ไปวันนี้ก็ไม่น้อยแล้วนะ ที่คุณจะมีเงินพอซื้อรถเครื่องเหรอครับ” ฉางเล่ยถามอย่างกังวล
“พอสิคะ คุณอย่าคิดมากเลยนะ อ้อ พรุ่งนี้คุณอย่าลืมใส่ชุดใหม่กับนาฬิกาที่ฉันซื้อให้ด้วยนะคะ เราจะได้รู้ว่าต้องเดินทางกลับกันกี่โมง ไม่อย่างนั้นคงกลับถึงบ้านช้าแน่เลย ฉันไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วง” ซูเมี่ยวจินนึกถึงระยะทางที่จะต้องกลับหมู่บ้านก็เตือนสามีไว้ก่อน
“ตกลงครับ พวกเรารีบนอนกันเถอะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปกินข้าวกันแต่เช้า”
“ได้ค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะสามี” ซูเมี่ยวจินอดที่จะแกล้งคนตัวโตไม่ได้
“ราตรีสวัสดิ์ครับ ภรรยา” ฉางเล่ยที่เขินจนใบหูแดงก่ำพูดขึ้นเบา ๆ
ทั้งสองต่างหลับไปในเวลาไม่นานนัก ถึงแม้พวกเขาจะอดเขินไม่ได้ที่นอนร่วมห้องกันเป็นครั้งแรก แต่ซูเมี่ยวจินที่กำลังจะแต่งงานกับฉางเล่ยก็อยากทำตัวให้ชินกับการอยู่ร่วมกันของพวกเธอ
รุ่งเช้าวันต่อมา ทั้งสองล้างหน้าแปรงฟันและเปลี่ยนชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานเรียบร้อยแล้ว พวกเขามองกันและกันก็เห็นว่าเสื้อผ้าทำให้คนเปลี่ยนไปจริง ๆ จากชุดที่พวกเขาสวมอยู่ทำให้ดูเหมือนคนมีฐานะในเมืองมณฑล ซูเมี่ยวจินคิดว่าการซื้อของในวันนี้ พวกเธอคงไม่ถูกใครดูถูกเหมือนเมื่อวานอีก
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ