นักฆ่าสาวสวยดุ จับพลัดจับผลูข้ามมิติมาปี 1980 พร้อมกับระบบประหลาดบังคับให้เธอแต่งงานกับผู้ช่วยชีวิต นี่มันระบบบ้าอะไรเนี่ย!
ดูเพิ่มเติมสายลมแผ่วเบาพัดผ่านหมู่บ้านเติ้ง อำเภอเจิ้งไห่ มณฑลกวางสี ปีนี้เป็นปีที่ประเทศเริ่มเปิดการค้ากับต่างชาติเป็นครั้งแรก การทำงานแลกแต้มเหมือนสมัยก่อนยังคงมีอยู่ในบางหมู่บ้าน เมื่อชาวชนบทต่างไม่มีความรู้มากพอที่จะเข้าไปทำงานในเมืองเหมือนพวกนักศึกษาที่ถูกส่งมาอยู่ในชนบทเมื่อสิบปีก่อน
ริมแม่น้ำบนภูเขาเติ้งจื่อด้านหลังหมู่บ้านเติ้ง ร่างของซูเมี่ยวจินซึ่งกำลังบาดเจ็บจากคมกระสุนก่อนตกลงจากหน้าผาจื่อซิวสลบไสลอยู่ โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดแล้ว
ฉางเล่ย นายพรานประจำหมู่บ้านเติ้ง ปีนี้เขาอายุ 29 ปีแล้ว แต่ด้วยที่บ้านมีเพียงพ่อแม่และน้องสาวอยู่ เขาจึงไม่สามารถไปหางานทำในเมืองและปล่อยพวกเขาอยู่กันเองที่หมู่บ้านได้ ฉางเล่ยจึงล่าสัตว์ไปขายในเมืองเป็นอาชีพมานานหลายปี ด้วยครอบครัวที่ยากจนและเขาอยากให้น้องสาวได้เรียนหนังสือ ตนเองจึงไม่ยอมที่จะแต่งงานจนอายุล่วงเลยมาขนาดนี้ อีกทั้งผู้หญิงในหมู่บ้านต่างรังเกียจที่บ้านเขายากจน จึงไม่มีใครยอมรับหมั้นบ้านตระกูลฉาง
เขาขึ้นเขาล่าสัตว์ทุกวันจนเคยชิน วันนี้เขาก็ยังคงเดินทางไปดูกับดักสัตว์ตามที่ต่าง ๆ ซึ่งวางเอาไว้เมื่อวานนี้ กระทั่งยามใกล้เที่ยง ฉางเล่ยเดินไปยังลำธารบนภูเขาเพื่อกินอาหารที่ห่อมาจากบ้านตามปกติ ขณะที่เขากำลังจะไปตักน้ำใส่ขวด ปลายหางตากลับเหลือบไปเห็นร่างคนนอนอยู่ริมแม่น้ำโดยไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ด้วยความจิตใจดีของฉางเล่ย เขาผละจากริมแม่น้ำที่อยู่ก่อนหน้าและเดินลิ่ว ๆ ไปดูอาการของคนผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
ฉางเล่ยเดินไปถึงร่างนั้นในเวลาไม่นาน เขารีบคุกเข่าลงไปและยื่นมือไปดูว่าผู้หญิงตรงหน้านี้ยังหายใจอยู่หรือเปล่า ถึงแม้ฉางเล่ยจะแปลกใจกับเสื้อผ้าที่แปลกประหลาดของผู้หญิงตรงหน้า แต่เขายังคงสำรวจดูว่าเธอบาดเจ็บหนักแค่ไหน
“คุณ! คุณครับ!” ฉางเล่ยเรียกเธอที่ยังคงสลบไสลอยู่ คราบเลือดที่แห้งกรังบนเสื้อหนังที่เธอใส่ทำให้เขากังวล
ซูเมี่ยวจินได้ยินเสียงผู้ชายเรียกเธอ ในหัวของเธอที่กำลังจะพยายามลืมตาขึ้นมองดูว่าใครกำลังเรียกเธออยู่ และตัวเธอเองที่คิดว่าตายไปแล้วทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่กันแน่ ขณะที่ซูเมี่ยวจินกำลังจะฝืนลืมตาขึ้นอยู่นั้น เสียงในหัวของเธอกลับดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
[ตรวจพบเจ้านายคนใหม่ ยินดีด้วยที่ยังหายใจอยู่ ระบบแต่งงานกับผู้ช่วยชีวิตและทำให้ครอบครัวร่ำรวยพร้อมที่จะบริการคุณแล้ว กรุณาตอบรับหากต้องการรอดชีวิต]
ซูเมี่ยวจินคิดว่านี่มันระบบบ้าอะไรกัน อยู่ ๆ จะให้เธอแต่งงานกับคนที่เพิ่งรู้จักได้ยังไง แต่ด้วยบาดแผลสาหัสที่มีอยู่บนตัว เธอไม่มีทางเลือกหากต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป ซูเมี่ยวจินจึงตอบรับกับระบบในใจ
[ระบบช่วยชีวิตเจ้านายทำงาน!!!]
ซูเมี่ยวจินที่ก่อนหน้านี้ยังไร้เรี่ยวแรงแม้จะลืมตา ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยคมกระสุนกลับดีขึ้นมาก บาดแผลก่อนหน้านี้กลับสมานกันอย่างรวดเร็ว และร่างกายของเธอเหมือนกับมีพลังงานเพิ่มขึ้นไม่น้อย ถึงแม้จะยังคงอ่อนแรงอยู่ แต่เธอรู้สึกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว
“คุณ! คุณครับ! ทำไมเรียกตั้งนานแล้วเธอยังไม่ตื่นนะ หรือว่าเธอจะบาดเจ็บหนัก”
เสียงของฉางเล่ยดังเข้าหูของซูเมี่ยวจินอีกครั้งหลังได้รับการรักษาจากระบบ เธอที่ร่างกายดีขึ้นมากรีบลืมตามองว่าที่สามี ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมระบบนี่ถึงต้องการให้เธอแต่งงานกับคนที่ช่วยชีวิตเธอตรงหน้า
“อืม… คุณเป็นใคร?” เสียงแหบแห้งของซูเมี่ยวจินดังขึ้นเบา ๆ
“ผมเป็นนายพรานของหมู่บ้าน เห็นคุณสลบอยู่เลยรีบมาดูครับ คุณเป็นยังไงบ้าง”
ฉางเล่ยไม่กล้าแตะต้องตัวผู้หญิงตรงหน้า แววตาที่ดุร้ายของเธอทำให้เขาหวาดหวั่นว่าหากทำสิ่งใดเกินเลยไป เขาอาจถูกเธอทำร้ายได้
“ฉันดีขึ้นมากแล้ว แต่ลุกเองไม่ได้ คุณช่วยหาน้ำมาให้ฉันกินสักหน่อยสิ”
ซูเมี่ยวจินที่ถึงแม้จะได้รับการรักษา แต่ร่างกายของเธอก็ยังไม่กลับมามีเรี่ยวแรงมากพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ด้วยเสียงอันแหบแห้ง เธอจึงต้องการกินน้ำสักหน่อยเพื่อให้คุยกับชายร่างใหญ่ตรงหน้าต่อได้อย่างไม่ลำบาก
“ครับ ๆ คุณรอสักครู่ ผมจะไปเอาน้ำให้” ฉางเล่ยลุกขึ้นเดินไปอีกทางไม่ไกลและกรอกน้ำใส่ขวดของเขาจนเต็ม จากนั้นเขานำน้ำมาป้อนให้ซูเมี่ยวจินซึ่งยังคงนอนนิ่งอยู่ริมลำธารอย่างช้า ๆ กระทั่งเธอไม่กินอีก เขาจึงเก็บขวดน้ำ
“ขอบคุณที่ช่วยนะคะ ไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ไหน? แล้วตอนนี้วันที่เท่าไหร่”
ซูเมี่ยวจินมองการแต่งตัวของฉางเล่ยที่ดูล้าหลังจึงได้เอ่ยถามขึ้น เธอไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้แต่งตัวแบบนี้
“ที่นี่คือภูเขาเติ้งจื่อ หลังหมู่บ้านเติ้งของผม วันนี้วันที่ 20 เดือนสิงหาคม ปี 1980 ครับ”
ซูเมี่ยวจินขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินว่าตอนนี้เป็นปี 1980 เธอไม่คิดว่าตัวเองจะตกลงมาจากหน้าผาในปี 2025 แต่กลับย้อนเวลามาในปีที่ประเทศเพิ่งจะเริ่มการพัฒนาได้ เมื่อคิดอยู่พักใหญ่ ซูเมี่ยวจินจึงเอ่ยปากถามเขาอีกครั้ง
“คุณชื่ออะไร? ฉันชื่อซูเมี่ยวจิน”
“ผมฉางเล่ยครับ คุณพอจะลุกเองไหวไหม?”
“ไม่ไหวค่ะ คุณแต่งงานหรือยัง” ซูเมี่ยวจินรำคาญเสียงระบบในหัวที่คอยบอกให้เธอรีบขอแต่งงานกับผู้ชายตรงหน้าจึงได้ถามขึ้น
“เอ่อ… ยังครับ คุณถามทำไม?” ฉางเล่ยหน้าแดงขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าสวยดุถามเรื่องส่วนตัวของเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ฉันกลัวว่าถ้าคุณพาฉันลงจากภูเขา คนอื่นจะหาว่าฉันยั่วยวนคุณน่ะสิคะ”
ซูเมี่ยวจินอ้างเรื่องความเหมาะสมระหว่างชายหญิงเพื่อไม่ให้ไก่ตื่น เธอไม่เคยมีแฟนมาก่อนจึงไม่รู้ว่าต้องทำยังไงให้ผู้ชายตรงหน้าแต่งงานกับเธอ
“อ่า… เป็นผมที่คิดน้อยไป ตอนนี้เลยเที่ยงมามากแล้ว ผมพาคุณกลับบ้านไปให้แม่ช่วยทำแผลให้ดีกว่านะครับ ผมคงต้องแบกคุณลงไป คุณคงไม่ถือสานะครับ”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณมากที่ช่วยฉัน ถ้าคุณอยากให้ฉันตอบแทนยังไงก็บอกได้นะคะ”
ซูเมี่ยวจินไม่อยากบอกตรง ๆ ว่าเธอยินดีใช้ร่างกายตอบแทนเขา เพราะกลัวว่าเขาจะระแวงว่าเธอเป็นคนไม่ดี ซูเมี่ยวจินจึงได้แต่บอกอ้อม ๆ
“ไม่เป็นไรครับ เห็นคนบาดเจ็บบนภูเขาแบบนี้ ผมคงปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่ได้”
ฉางเล่ยจัดตะกร้าใส่สัตว์ที่ดักได้มาไว้ด้านหน้าของตัวเอง จากนั้นจึงก้มลงไปยกร่างของซูเมี่ยวจินมาพาดหลังและบอกให้เธอกอดคอเขาแน่น ๆ จะได้ไม่ตกลงไปจนได้รับบาดเจ็บซ้ำอีก
ระหว่างทางลงเขา ซูเมี่ยวจินถามเรื่องครอบครัวของฉางเล่ยเพื่อดูว่าเธอจะสามารถอยู่ร่วมกับครอบครัวนี้ได้หรือไม่ ฉางเล่ยผู้แสนซื่อไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเล่าให้เธอฟังอย่างมีความสุขถึงครอบครัวสี่คนของเขา และการล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงปากท้องรวมทั้งส่งน้องสาวเรียนได้ ทำให้เขาเล่าอย่างภาคภูมิใจในตัวเองมาก
ซูเมี่ยวจินฟังทุกอย่างจากผู้ชายร่างใหญ่ที่แบกเธออยู่ก็รับรู้ได้ว่าครอบครัวนี้เลี้ยงลูกด้วยความรักและซื่อสัตย์จริง ๆ เธอเพิ่งเคยเห็นผู้ชายที่ซื่อตรงขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยก่อนหน้านี้เธออยู่ในองค์กรที่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ทำให้เธอต้องพบกับประสบการณ์เฉียดตายในครั้งนี้
“ทำไมคุณถึงยังไม่แต่งงานล่ะ” ซูเมี่ยวจินถามเมื่อรู้ว่าเขาอายุมากกว่าเธอปีเดียว
“ครอบครัวผมยากจน ผู้หญิงที่ไหนจะอยากแต่งงานด้วยล่ะครับ”
“แต่คุณเป็นคนดีและขยันขันแข็งนะ ผู้หญิงพวกนั้นไม่เห็นความดีของคุณเหรอ”
“ในหมู่บ้านไม่มีใครชอบคนจนหรอกนะครับ พ่อกับแม่ผมก็บ่นมาตลอด เพราะกลัวว่าผมจะไม่มีครอบครัวสืบทอดตระกูลต่อไป น่าเสียดายที่ไม่มีใครยินดีแต่งงานกับผม” ฉางเล่ยตอบอย่างไม่คิดมากตามประสาคนซื่อ
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ
ความคิดเห็น