นนทิยาหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายคนเดียวในหัวใจ ตั้งแต่สี่ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน
“คุณรับปากก้อยได้ไหมคะ ว่าจะเลิกเจ้าชู้”
“ผมจะพยายาม”
“ต้องไม่ใช่พยายามค่ะ แต่คุณต้องทำให้ได้”
“ผมจะเลิกเจ้าชู้เพื่อคุณ” ผู้หญิงแบบนนทิยาเทียบไม่ได้กับดาวลดาสักนิด ทั้งที่เขาเคยพูดแล้วว่าถ้าอยากให้เขารักและเกรงใจต้องทำตัวแบบไหน แต่เธอก็ยังเป็นเธออยู่วันยังค่ำ ส่วนเขา.. คนเจ้าชู้ก็คือคนเจ้าชู้อยู่วันยังค่ำ ตอนนี้เขาต้องง้อเธอให้หายโกรธก่อน เขาไม่ยอมเสียเธอไปแบบนี้หรอก.. และเขาก็ไม่เลิกเจ้าชู้ด้วย เพียงแต่ต้องระวังให้มากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น “หายงอนแล้วใช่ไหม ถ้าหายแล้วรับดอกไม้ไปสิ ก่อนที่มันจะเหี่ยวเฉาคามือผม”
“ค่ะ” นนทิยาฉีกยิ้ม รับดอกไม้มาถือไว้
“ขึ้นห้องกันเถอะ ผมคิดถึงคุณจะแย่แล้ว” คำพูดของพิษนุแฝงความนัยเอาไว้ แต่นนทิยาเข้าใจดีว่าเขาหมายถึงเรื่องใด
“ค่ะ”…
“วันนี้ฝนคงตกหนักแน่ ๆ ที่นางสาวดาวลดาม
“ผมพูดจากใจ ไม่ได้เสแสร้งนี่ ทำไม?.. คุณอยากให้ผมโกหกว่าไม่เป็นไร คุณไม่ให้ผมก็จะรองั้นเหรอ นั่นไม่ใช่นิสัยผมนะแยม คนเรารักกันต้องคุยกันได้ทุกเรื่อง พอใจไม่พอใจ ความรู้สึกเป็นยังไงเราต้องบอกตามความจริง อย่าใช้คำว่าเกรงใจหรือทำเรื่องงี่เง่ามาลองใจกัน เพราะความรักของเราอาจจะพังไม่เป็นท่า คุณรู้สึกยังไงก็พูดออกมาอย่าเก็บเอาไว้ในใจ เพราะผมอ่านใจคุณไม่ออก จะตบ จะเตะ จะด่าผมยังไงก็ได้ ถ้าผมผิดผมจะขอโทษและปรับปรุงตัว แต่ถ้าผมไม่ผิดผมจะอธิบายพร้อมเหตุผล และคุณก็ต้องขอโทษผมด้วย ตกลงไหม”“ตกลงค่ะ” เขากับพิษนุต่างกันมาก ฝ่ายนั้นมักจะพูดจาสุภาพ อ่อนโยน วางตัวเป็นผู้ใหญ่ เอาใจเก่ง และชอบบอกให้เชื่อใจเขาเสมอ แต่ผู้ชายคนนี้เปิดเผยตรงไปตรงมา เธอชอบตรงที่เขาบอกว่าอย่าเก็บความรู้สึกไว้ในใจ เพราะเขาอ่านใจเธอไม่ออกนี่แหละ อยากจะตบ จะเตะ จะด่าก็ได้ แต่ต้องบอกสาเหตุว่าเพราะอะไร คิก ๆ ๆ ทำไมเขาถึงน่ารักอย่างนี้นะ“มีอีกเรื่องที่ผมอยากบอกคุณ”“บอกมาสิคะ”“ตอนนี้ผมยอมรับว่ารักคุณ แต่ผมไม่สัญญาว่าจะรักคุณไปตลอดชีวิต เพราะอนาคตเ
“อ๋อ แล้วคุณจะไปวันไหน จะกลับมาทันวันคริสต์มาสไหม” ได้ยินคำตอบแล้วเขาก็สบายใจขึ้นมาก“ฉันจะรอเซ็นสัญญากับบริษัทโฆษณาให้คุณก่อนแล้วค่อยไป แต่ไม่รับปากว่าจะกลับมาทันคริสต์มาสหรือเปล่านะ” เธอตอบแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไม่แน่ใจเรื่องตั๋วเดินทางว่าจะได้วันไหน เนื่องจากเป็นช่วงใกล้เทศกาล“พรุ่งนี้ผมจะให้คุณชุนจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ ได้วันไหนก็ไปวันนั้นเลย แต่ต้องกลับมาก่อนวันที่ยี่สิบสี่ ส่วนเรื่องเซ็นสัญญาผมจัดการเองคุณไม่ต้องห่วง” ถ้ารอเซ็นสัญญาเสร็จก็ต้องเสียเวลาไปอีกสี่วัน เขายอมให้เธอกลับไปก่อนและกลับมาให้ทันคริสต์มาสดีกว่า“ก็ดีเหมือนกันค่ะ ฉันจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวนานขึ้นอีกหน่อย” อีกแปดวันจะถึงคริสต์มาส ถ้าเธอได้กลับพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ก็จะดีมาก “ถ้าพ่อฉันตกลงฉันจะอาจจะไปทำเรื่องที่กระทรวงแรงงานให้เรียบร้อยเลยทีเดียว คุณช่วยเตรียมเอกสารการทำงานให้ฉันด้วยนะคะ”“ผมจะแจ้งฝ่ายบุคคลไว้ให้ คุณไปจัดการในส่วนของคุณให้เรียบร้อยก็แล้วกัน” แล้วโทรศัพท์หาผู้จัดการฝ่ายบุคคลทันที คุยรู้เรื่
“แค่กินข้าวไม่เสียเวลาเท่าไหร่หรอก ให้แยมเขาไปช่วยอีกแรงก็น่าจะไวขึ้น” เดือนนภาแนะนำอย่างห่วงใย“ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับพี่สะใภ้ เชิญทานข้าวกันตามสบายนะครับ นาน ๆ จะได้ทานมื้อเย็นพร้อมหน้ากัน ผมขอตัวก่อนนะครับ” เขาโค้งศีรษะให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไป ไม่บอกลาหญิงสาวที่นั่งข้าง ๆ กัน ไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอ“งานด่วนอะไรเหรอแยมมี่” วูซองอาถามน้องเมียขณะมองตามหลังญาติหนุ่มที่รีบร้อนเดินจากไป“ไม่ทราบค่ะ แต่ได้ยินเจสันเขาพูดตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วว่ามีงานสำคัญให้แยมช่วยทำคืนนี้”“ถ้าอย่างนั้นก็รีบกินเถอะแยม จะได้ไปช่วยเจสันเขา” เดือนนภาเตือนน้องสาว“ค่ะพี่เยล คุณแม่บ้านคะ ช่วยจัดอาหารใส่ปิ่นโตให้คุณเจสันด้วยนะคะ”“ได้ค่ะคุณแยมมี่”เจสันหันไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาเพียงเล็กน้อย แล้วหันไปสนใจกับแก้วบรั่นดีเช่นเดิม ทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนอยู่ที่นี่“ไหนบอกว่ามีงานสำคัญ”เขาทำเป็นหูทวนลม ไม่สนใจกับคำพูดของหญิงสาว หย
วันนี้ เธอได้ยินคำที่เคยอยากได้ยินจากปากของเขาแล้ว แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกแย่เอามาก ๆ ไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน อยากจะย้อนเวลากลับไปเปลี่ยนคำพูดนี้ของเขาพิษนุอาศัยจังหวะที่เธอกำลังตกใจ หยิบแหวนเพชรเม็ดโตที่เตรียมมา สวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ“พี่เต้” ดาวลดาหายจากตกตะลึง รีบชักมือหนีและจะถอดแหวนออก แต่ถูกเขารวบมือเอาไว้ก่อน“อย่าตัดรอนพี่แบบนี้สิคะ อย่างน้อยแยมก็น่าจะทบทวนเรื่องของเราอย่างละเอียดอีกสักครั้ง เพราะตอนนี้แยมอาจจะโกรธพี่อยู่” เขาเกลี้ยกล่อมเธอด้วยเหตุผล“แยมคิดดีแล้วค่ะพี่เต้ เราจบกันด้วยดีเถอะค่ะ อย่าทำให้มองหน้ากันไม่ติดเลย” เธอยืนยันเสียงแข็งพร้อมกับกระชากมือออกอย่างไม่พอใจ“นะครับน้องแยม ทบทวนอีกครั้งนะครับ พี่ขอแค่เจ็ดวันเท่านั้น” เขายังดันทุรัง เพราะมั่นใจว่าเธอต้องใจอ่อนจนได้ “ระหว่างนี้พี่สัญญาว่าจะไม่มากวนใจน้องแยมอีก ขอแค่น้องแยมคิดทบทวนเรื่องของเรา และอย่าถอดแหวนออกจากนิ้วเท่านั้น เมื่อครบเจ็ดวันแล้วน้องแยมยังยืนยันคำเดิม พี่ยินดีจะรับแหวนวงนี้คืนอย่างเต็มใจ” ระหว่างน
ก๊อก ๆ ๆดาวลดาเคาะกระจกให้สัญญาณเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ด้านในไม่ได้ใส่หูฟัง แล้วจึงเปิดประตูเข้าไปหาเขาชายหนุ่มละสายตาจากงานตรงหน้า มองหญิงสาวที่เดินเข้ามาหา “ว่าไงครับ หิวหรือเปล่า” ถามด้วยความห่วงใย“ไม่ค่ะ งานยังไม่เสร็จเหรอคะ” คำพูดที่เตรียมไว้เปลี่ยนไปเมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างลึกซึ้งคู่นั้น“น่าจะเสร็จคืนนี้แหละ เพลงนี้ตั้งใจจะให้วงพลีสเขาร้อง” เขาบอกเล่าอย่างยิ้มแย้ม“ค่ะ.. น่าจะดึกใช่ไหมคะ”“ก็น่าจะดึกหน่อย มีอะไรหรือเปล่าครับ” เห็นเธอทำท่าอ้ำอึ้งจึงถามออกไป“ค่ะ.. คือ.. คือว่า.. วันนี้ วันนี้ฉันขอกลับก่อนได้ไหมคะ” ในที่สุดเธอก็พูดออกไปโดยที่ไม่มองหน้าเขาสักนิด“เป็นอะไรหรือเปล่า คุณไม่สบายเหรอ”“ไม่ใช่หรอกค่ะ” เห็นสายตาท่าทางที่เป็นห่วงเป็นใยของเขาแล้วเธอต้องรีบปฏิเสธ “ฉันแค่จะแวะไปหาเพื่อนค่ะ.. พอดีเพื่อนฉันมาจากเมืองไทย.. เราก็เลยนัดเจอกัน” และหลบสายตาบอกเหตุผลที่ไม่ค่อยกระจ่างต่อเขา“อ๋อ ใ
เจสันเดินออกมาจากห้องดนตรี ทันเห็นดาวลดากำลังเปิดประตูเดินออกจากห้องพอดี จึงเรียกเธอไว้“คุณแยม จะไปไหนครับ”“ฉันจะไปพบแขกที่นัดไว้เมื่อวานนี้ค่ะ เขารออยู่ที่ห้องรับรองแล้ว”“อ๋อ แล้วผมต้องไปด้วยไหม”“ไม่ต้องหรอกค่ะ ถ้ามันสำคัญฉันค่อยโทรหาคุณ ไปก่อนนะคะ” เธอโบกมือให้เขาแล้วเดินออกไปจากห้องเจสันได้แต่มองตามเธอผ่านกระจกไปเงียบ ๆ จนกระทั่งเธอเดินเลี้ยวหายไปจากสายตา จึงกลับเข้าไปในห้องดนตรี ใช้สมาธิกับการทำงานเพลงอีกครั้ง...ก๊อก ๆ ๆดาวลดาเคาะประตูกระจกบานใส ให้สัญญาณแขกที่นั่งรออยู่ด้านในก่อนเปิดประตูเข้าไป เธอไม่เห็นหน้าเขาเพราะแม่บ้านที่นำกาแฟมาเสิร์ฟบังเขาไว้ แต่ก็กล่าวทักทายออกไป“สวัสดีค่ะ ฉันแยมมี่ค่ะ”พิษนุยืดตัวตรงเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู ตั้งสติอยู่ชั่วครู่จึงยืนขึ้นและหันไปหาเธอ.. “น้องแยม” เห็นเธอได้แต่มองอย่างตกตะลึงจึงเรียกให้เธอรู้ตัวดาวลดาไม่ได้พูดอะไรออกไป แม้หัวใจเธอจะเต้นรัวแรงเพียงไหนแต่เธอก็ฝืนยิ้มให้เป็นปกติ