ร่างสูงใหญ่ที่นั่งอ่านเอกสารนิ่งโดยไม่พูดจาทำให้เธอมีโอกาสลอบมองเขาเงียบๆ ด้วยใจที่สั่นไหวไม่หาย ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับด้วยดวงตาคมใหญ่ใต้คิ้วหนายาวจรดหางตา จมูกโด่งเป็นสันสวยงามอย่างคนเลือดผสมและริมฝีปากหยักสีเข้มรับกับคางแกร่งมีรอยบุ๋มเล็กน้อยไรเคราที่มีตอหนวดขึ้นจางๆ นั้นไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของเขาลดลงไปแต่กลับทำให้นาวีดูหล่อเหลา เซ็กซี่น่าคลั่งไคล้อย่างที่สาวๆ ในมหาวิทยาลัยกล่าวขานกัน แต่สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาก็ส่งให้นาวีดูเคร่งขรึมเย็นชาจนเหมือนหุ่นขี้ผึ้งในพิพิธภัณฑ์...
บุษกรแอบถอนหายใจเบาๆ ราวกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหายใจของตน ทั้งยังพยายามนั่งให้ชิดประตูรถฝั่งที่ตนนั่งมากที่สุดเพื่อไม่ให้ระยะห่างของเขากับเธอใกล้กันเกินไป แต่รถยนต์หรูกว้างใหญ่ทั้งรูปลักษณ์และยี่ห้อดังระดับโลกก็กว้างขวางจนมันทำให้เธอรู้สึกตัวเล็กลงไปมาก ยิ่งมานั่งอยู่กับคนร่างกายใหญ่โตอย่างนาวีด้วยแล้ว เธอก็ยิ่งเหมือนมดตัวเล็กๆ ที่หลงเข้ามาในปราสาทของอสูรร่างยักษ์ผู้ดุดันเหี้ยมโหด... บุษกรหันมองถนนที่คลาคล่ำด้วยรถราขวักไขว่อย่างเหม่อลอยด้วยความอึดอัดและสับสน...
“นั่งมากับฉันมันทำให้คิดหนักมากรึไง ถึงทำหน้าตาเหมือนกำลังจะตายแบบนั้น...”
จู่ๆ เสียงเข้มดุดันของเขาก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันมากว่าสามสิบนาทีที่นั่งรถมาด้วยกันทำให้บุษกรสะดุ้งโหยงหันขวับมามองเขาหน้าตื่น
“ปละ เปล่า นะคะ บูมแค่ เอ่อ...”
บุษกรพูดตะกุกตะกักรู้สึกคอแห้งปากแห้งจนแสบร้าวไปทั้งลำคอ เธอจึงตวัดลิ้นเล็กๆ นั้นเลียริมฝีปากสีเรื่อที่ของตนเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้มันแล้วก้มหลบตาเขาอย่างขลาดกลัว...
สายตาของเขาน่ากลัวเหลือเกิน มันวาววับราวกับว่ามีเปลวเพลิงอยู่ในหน่วยตาคมคู่นั้น นี่เธอทำอะไรผิดนักหนาเขาจึงต้องทำหน้ายักษ์ใส่ทุกทีที่เจอหน้ากัน ทั้งที่อยู่ในรั้วบ้านเดียวกันแต่เธอกับเขาก็เหมือนคนแปลกหน้า...
ทั้งที่เคย... ไม่นะ เธอจะต้องไม่คิดถึงเรื่องนั้น... บุษกรหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อคิดถึง อดีต ที่ไม่น่าจดจำ...
“เวลาพูดกับผู้ใหญ่ทำไมไม่มองหน้า...”
คนที่อาวุโสกว่าเสียงดังเหมือนตะคอกยิ่งทำให้เธอน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างง่ายดาย ความรู้สึกที่ถูกอัดแน่นบีบคั้นอยู่ในอกก็ยิ่งเพิ่มความกดดันให้เธอจนปวดร้าวไปทั้งช่องท้องกระบอกตาร้อนผ่าว...
“บูม...” สาวน้อยเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาที่ฉ่ำพราวด้วยหยาดน้ำใส พอดีกับที่รถยนต์คันใหญ่เคลื่อนมาจอดยังประตูด้านหลังของคฤหาสน์หลังงาม บุษกรจึงฉวยโอกาสนั้นเปิดประตูลงไปแล้ววิ่งตื๋อไปไขกุญแจแล้วเข้าบ้านไปท่ามกลางสายตาฉุนเฉียวของคนที่มองตามแผ่นหลังเล็กไปอย่างไม่ชอบใจ ก่อนที่คนขับรถจะเคลื่อนรถออกไปเมื่อเห็นว่า คนในปกครอง ของเจ้านายหนุ่มเข้าบ้านแล้วเรียบร้อย...
เมื่อวิ่งเข้ามาหลบภัยในห้องนอนเล็กของตนแล้วบุษกรก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจจะเก็บกักน้ำตาได้อีกต่อไป น้ำตามากมายหลั่งไหลพรั่งพรูเหมือนว่าเขื่อนพัง ร่างเล็กนั่งอย่างหมดแรงลงบนเตียงนุ่มเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก มือน้อยยกขึ้นเช็ดน้ำตาป้อยๆ เหมือนเด็กน้อยหลงทาง
“คุณพ่อ คุณแม่ขา น้องบูมคิดถึงคุณพ่อคุณแม่... ฮือออ... พี่วีใจร้ายกับบูมเหลือเกิน...” สาวน้อยกล่าวเจือสะอื้นกับรูปของบิดามารดาบนหัวเตียงที่ส่งยิ้มมาให้เธอเสมอไม่ว่ายามใด...
หากพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านก็คงโอบกอดเธอและจูบเบาๆ ที่หน้าผาก กล่อมเธอให้หลับด้วยนิทานสักเรื่อง หรือเพลงเพราะๆ จากมารดาสักเพลง แต่ตอนนี้เธอไม่มีใครสักคนที่จะโอบกอดหรือปลอบประโลมยามทุกข์ทนท้อแท้... แม้แต่คนที่รับปากกับพวกท่านก่อนสิ้นใจว่าจะดูแลเธออย่างดีก็ไม่ได้ทำเหมือนที่สัญญาไว้แม้แต่น้อย...
บุษกรล้มตัวลงนอนอย่างอ่อนล้าแล้วค่อยๆ หลับตาลงด้วยความรันทดเมื่อนึกถึงชะตากรรมของตนเอง...
เมื่อสามปีที่แล้วเธอยังเป็นคุณหนูแสนสวยร่ำรวยไฮโซมีบิดามารดาอยู่กันพร้อมหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตงดงามดั่งเจ้าหญิง อยากได้อะไรไม่มีที่จะไม่ได้เพราะบิดามารดารักเธอมาก เนื่องจากเป็นลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ไฟแรงที่อนาคตกำลังไปได้สวย
แต่แล้วก็เหมือนฟ้าเล่นตลกเมื่อจู่ๆ ธุรกิจส่งออกสินค้าอาหารแช่แข็งของบิดาประสบปัญหาขาดทุนอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เธอกำลังจะเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง และในวันที่จะเข้ามอบตัวเป็นนักศึกษานั้นเอง เป็นวันที่บิดามารดาของเธอเสียชีวิต...
“บูมไปมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก เดี๋ยวพ่อกับแม่จะตามไปฉลองด้วยกันทีหลัง... แม่กับพ่อรักลูกนะจ๊ะ”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินจากปากของมารดาที่มาส่งเธอขึ้นรถไปมหาวิทยาลัย ใบหน้าของมารดาดูเศร้าสร้อยแต่ก็มีรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นทุกวันทำให้เธอไม่ได้เฉลียวใจเลยว่ามันจะเป็นรอยยิ้มสุดท้ายของมารดาที่จะได้เห็น...
ระหว่างที่รอบิดามารดาเข้ามาจัดการเรื่องเรียนที่มหาวิทยาลัยเธอรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก ซ้ำสร้อยคอทองคำขาวเส้นงามที่มีจี้รูปหัวใจซึ่งข้างในมันเป็นรูปครอบครัวของเธอนั้นก็ขาดอย่างไม่มีสาเหตุทำให้เธอโทรศัพท์กลับมาหามารดา แต่ปลายสายไม่มีใครรับ เธอพยายามโทรศัพท์หาใครสักคนในบ้าน แต่แล้วก็ไม่มีใครรับจนเมื่อนาวีมารับเธอให้ไปโรงพยาบาลด้วยกัน ทำให้เธอได้รู้ว่ามีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นกับพวกท่าน...
บิดาของเธอฆ่าตัวตายพร้อมด้วยมารดา...
ตอนที่54.อวสานสามคนพ่อแม่ลูกกลับมาถึงบ้านคุณปู่คุณย่าก็ออกมารับหลานรักไปอาบน้ำอาบท่า น้องนาวาก็เล่าเรื่องราวที่ตนได้ไปพบเจอให้คุณปู่คุณย่าฟังอย่างตื่นเต้นด้วยคำพูดที่ชัดบ้างไม่ชัดบ้างแต่ก็ทำให้คนฟังยิ้มด้วยความสุขเมื่อพ่อหนูน้อยเล่าขาน คุณปู่ก็คอยเสริมคำพูดที่ไม่ชัดให้กับหลานชาย“นาวาให้อาหางปาด้วยล่ะ ปาตัวหย้ายหย่าย”“อาหาร ครับเด็กดีไม่ใช่ อาหาง”“อาหาร” เด็กชายพูดตามคุณปู่แล้วยิ้มแป้นเมื่อคุณปู่ยกนิ้วโป้งขึ้นชื่นชมว่าเยี่ยมมาก “ย่าว่าเราไปอาบน้ำกันดีกว่า แล้วลงมาทานข้าว”“ดีคับ เดี๋ยวนาวาหอมแก้มคุงแม่บูมก่อง...”เด็กชายบอกแล้ววิ่งมาหามารดาซึ่งก็เอียงแก้มไว้รอท่า พอหอมแก้มคุณแม่แล้วก็ไม่ละเลยที่จะหอมแก้มคุณพ่อด้วย“แก้มคุงพ่อไม่หอมเลย”น้องนาวาทำทีเบะปากคุณพ่อจึงแกล้งกอดรัดร่างกลมๆ นั้นแล้วหอมแก้มใสของลูกชายแรงๆ น้องนาวาหัวเราะชอบใจก่อนจะดิ้นรนออกจากวงแขนคุณพ่อวิ่งไปหาคุณปู่คุณย่า“เจ้าตัวร้าย..” นาวีมองตามหลังลูกชายที่เดินร้องเพลงเจื้อยแจ้วไปกับคุณปู่คุณย่า“ความร้ายกาจคงได้มาจากคุณพ่อเต็มๆ ค่ะ” บุษกรย้อนสามียิ้มๆ“ก็ถ้าไม่ร้ายกาจ จะมีเมียสวยๆ ลูกน่ารักๆ เหรอครับ”“ค่า ร้ายกาจจน
ตอนที่53.“อื้ม พี่วี อย่าซนสิคะ พอแล้ว...” เสียงหวานห้ามปรามกระเส่าแผ่วพร่าเมื่อมือร้อนผ่าวของสามีไม่อยู่สุข“ก็พี่ยังไม่อิ่มนี่นา บูมสนใจแต่น้องนาวาไม่สนใจพี่นาวีเลย”ปากว่าแต่มือไม่หยุดยุ่มย่ามกับนวลเนื้อนุ่มมือของภรรยาที่นับวันยิ่งสวยผุดผาดบาดตาบาดใจจนเขาอดใจไม่ไหวทุกครั้งที่อยู่ใกล้เธอ ตอนนี้น้องนาวีครบหนึ่งขวบแล้ว และวันนี้คุณปู่คุณย่าพาน้องนาวาไปซื้อของขวัญวันเกิดแบบพิเศษหลังจากที่ทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านแล้วและเดินทางไปทำบุญเลี้ยงอาหาร พร้อมทั้งแจกทุนการศึกษาให้เด็กกำพร้า เพื่อเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต และเหมือนว่าคุณปู่คุณย่าจะวางแผนไว้ดี ตกค่ำก็หลอกล่อพาหลานชายไปนอนด้วยเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ซึ่งนาวีอยากใช้เวลานี้ให้คุ้มค่าที่สุด“พี่วีน่ะมักมาก ต่อให้บูมสนใจพี่วีแค่ไหนก็ไม่พอหรอกค่ะ”หญิงสาวหันมามองสามีตาเขียวแล้วก็หน้าแดงก่ำเมื่อตัวตนของเขาที่ยังอยู่ในร่างสาวเหยียดขยายขึ้นมาอีกรอบพร้อมทั้ง
ตอนที่52.บุษกรรู้สึกสงสารชะตากรรมของธัญญาลักษณ์จนน้ำตาซึมกับเรื่องราวอันน่าหดหู่นั้น“ทีนี้น้องบูมเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่าทำไมพี่ยังคบหากับแคทอยู่ แต่เธอก็คงจะอยู่กับเราได้ไม่นาน อาการของเธอแย่ลงทุกวัน”“ค่ะ บูมขอโทษที่คิดมากเรื่องนี้”“พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษที่ไม่ได้บอกน้องบูม ก็เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าฟังนัก แต่พี่ลืมไปว่า เรื่องนี้อาจจะทำให้เมียพี่เข้าใจผิดและมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ”“บูมยอมรับค่ะว่าหึงพี่วีกับพี่แคท...”บุษกรสารภาพเสียงอ่อย ก่อนจะเงยหน้ามองเขาตาโตที่ตนเผลอพูดออกไปแต่ทำให้คนฟังหัวใจพองโตรู้ได้ทันทีว่าเธอเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับเขา“พี่รักบูม / บูมรักพี่วี...”หนุ่มสาวพูดออกมาพร้อมกันโดยไม่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งตัวเช่นกัน“เอ่อ... พี่วีแย่งบูมพูดทำไมคะ คนเขาอุตส่าห์ว่าจะพูดก่อน” เธอทุบอกกว้างของเขาเขินๆ ในขณะที่นาวียิ้มกว้างด้วยความอิ่มเอมใจ
ตอนที่51บุษกรย่องออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่ขลุกอยู่ในนั้นเกือบครึ่งชั่วโมงเพื่อทำใจ ร่างที่กลับมาบอบบางดังเดิมแต่ก็อวบอิ่มขึ้นในส่วนที่ควร หลบให้ร่างสูงที่เดินสวนเข้าไปในห้องน้ำด้วยใจเต้นไม่เป็นจังหวะ“สู้ๆ นะบูม เราต้องทำได้...”หญิงสาวบอกตนเองขณะเดินไปนั่งอ่านหนังสือรอสามีทำธุระส่วนตัว สิบนาทีผ่านไปนาวีก็ออกมาจากห้องน้ำร่างแกร่งที่กลับมาแข็งแรงทรงเสน่ห์ดังเดิมสวมเพียงกางเกงผ้าฝ้ายขายาวตัวเดียวเท่านั้น ทำให้บุษกรเมินหน้าหนีด้วยใจที่เต้นแรง ไอ้ที่คิดๆ ไว้ว่าจะพูดกับเขาเริ่มตีกันสับสนวุ่นวายอยู่ในหัว“น้องบูมอ่านอะไรอยู่เหรอครับ”ร่างสูงเดินมาหาคนที่ก้มหน้างุดอยู่กับหนังสือในมือ ท่าทางตื่นๆ ของเธอทำให้ชายหนุ่มยิ้มอย่างเอ็นดู บุษกรก็ยังคงเป็นสาวขี้อายตื่นกลัวเขาอยู่เสมอ แต่ยามที่เจ้าหล่อนดื้อรั้นเย็นชาก็ทำให้เขาเกรงๆ เธออยู่ไม่น้อย“บูมกำลังจะไปนอนแล้วค่ะ”หญิงสาวรีบวางหนังสือแล้วลุกขึ้นคิดว่าจะหลบไปตั้งหลักก่อน เพราะตอนนี้หัวใจเธอเต้นแรงเหลือเกิน แต่
ตอนที่50.“ว้าว ลูกชายพ่อแต่งตัวหล่อจัง หล่อเหมือนพ่อเลย”บุษกรค้อนคุณพ่อสุดหล่ออย่างหมั่นไส้แล้วหน้าแดงกับแผงอกเปล่าเปลือยของเขา ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน นาวีก็ยังทำให้ใจสาวหวั่นไหวได้ไม่เสื่อมคลาย ยิ่งเห็นเขาในสภาพที่ล่อแหลมเซ็กซี่ขยี้ใจแบบนี้เลือดในกายสาวก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างน่าละอาย“ทำไมพี่วีไม่แต่งตัวเสียทีล่ะคะ”“อะไรนะ...” นาวีมัวแต่ยิ้มให้ลูกชายไม่ทันฟังที่เธอพูดและคิดว่าตนเองหูแว่วเมื่อได้ยินสรรพนามที่สนิทสนมของเธอ แต่หญิงสาวก็ลุกขึ้นอุ้มลูกออกไปเสียก่อน เขาจึงรีบแต่งตัวตามออกไปสามพ่อลูกเดินลงมาหาคุณปู่คุณย่าที่รอรับหลานรักไปเดินเล่น บุษกรยื่นร่างอวบของลูกชายให้ผู้เป็นย่าซึ่งยื่นแขนมารอรับเจ้าตัวเล็กก็รู้อ้อนรีบยื่นแขนอวบๆ ไปหาผู้เป็นย่าแล้วหอมแก้มเหี่ยวย่นด้วยไร้เดียงสาเพราะเด็กชายจำได้ดีเมื่อคุณย่า คุณปู่อุ้มจะต้องหอมแก้มตนดังนั้นน้องนาวาจึงเรียนรู้ที่จะทำตามซึ่งมันทำให้คุณปู่คุณย่าทั้งรักทั้งหลงหลานตัวน้อย“หนูบูมกับวีไปทานข้าวกันเถอะลูก
ตอนที่ 49.“ก็แล้วทำไมไม่พูดไม่บอกความจริงในใจให้น้องรับรู้ล่ะ มานั่งถอนหายใจทิ้งมันมีประโยชน์อะไร”“คุณพ่อรู้ได้ยังไงครับว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่”“ก็สิ่งที่ลูกเป็น คือสิ่งที่พ่อเคยผ่านมาก่อนไงล่ะ” คุณบดินทร์วางหนังสือพิมพ์ลงแล้วมองหน้าลูกชายจริงจัง“ฟังพ่อนะวี ตอนนี้ลูกทั้งสองคนเหมือนคนป่วย ป่วยทางจิตใจ ใจที่ขาดความรักก็เหมือนใจที่ตายแล้ว อะไรที่ตายแล้วก็ไร้ประโยชน์...”“แต่ผม... เธอคงเกลียดผม”นาวีไม่รู้จะพูดอะไรดี เพราะในใจของเขานั้นมันตื้อตันและสับสนไปเสียทุกอย่าง“นาวี ตอนนี้ลูกมีครอบครัวที่เกือบจะสมบูรณ์แล้วนะ มีเมียและลูกที่น่ารัก ตาหนูเป็นดังแก้วตาดวงใจของเราทุกคน ตาหนูคงไม่ต้องการเติบโตมาท่ามกลางความหวาดระแวงแคลงใจของพ่อแม่หรอกนะ”“ผม...”“วีควรบอกน้อง ในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองรู้สึก พ่อบอกได้เพียงเท่านี้” คุณบดินทร์ตบบ่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเบ