LOGINร่างสูงยันกายลุกขึ้นนั่ง มือแกร่งคลายปมอาภรณ์ชั้นนอกของซูอวี้หนิงอย่างเคยตัว หญิงสาวตะลึงจนตาค้าง มือบางรีบคว้าปมเสื้อตนเองไว้แน่น “ทะ~ท่านอ๋องจะทำอันใดกันเพคะ?” หลี่หยางเฉิงจ้องมองใบหน้าตื่นตระหนกของนาง ภายในใจทั้งขบขันและเอ็นดูท่าทีของนางไปพร้อมกัน “ไม่ต้องอายแล้ว เมื่อคืนข้าก็เห็นหมดแล้ว” ปั้ง! เสียงดังสนั่นราวฟ้าผ่าดังขึ้นในหัวของอวี้หนิง "เห็นหมดแล้ว?" คำนี้ทำให้นางหน้ามืด สมองขาวโพลนไปชั่วขณะ “หะ...เห็น? เห็นอันใดกัน... นี่ท่านอ๋องไม่ใช่ว่า...” อวี้หนิงไม่รู้จะพูดอย่างไรดี นางทั้งอายทั้งโมโหที่โดนฉินอ๋องฉวยโอกาส ดวงตาคู่งามพลันแดงก่ำด้วยความคับแค้นใจ หยางเฉิงเห็นดังนั้นก็ไม่คิดกลั่นแกล้งนางอีก ใบหน้าที่ดูหยิ่งผยองอ่อนลงเล็กน้อย “ข้าเพียงจะฝังเข็มระงับความเจ็บปวดให้เจ้า ไม่ได้คิดทำสิ่งที่เจ้าคิด แต่จำเป็นต้องฝังเข็มในจุด ซี่ไห่” มือแกร่งของเขาวางลงบนหน้าท้องของนาง อวี้หนิงมองตามมือของเขาก็เข้าใจความหมาย หญิงสาวจึงค่อย ๆ สงบใจลง ใบหน้าที่งอง้ำกลับ
เซียนจื่อหลานถูกวางไว้กลางห้องบรรทม สมุนไพรนี้แม้เป็นเพียงพืชต้นหนึ่งในกระถางดินเผา กลับดูเย่อหยิ่งราวกับมีความรู้สึกนึกคิดเช่นคนทั่วไป หยางเฉิงดึงมีดสั้นข้างกายขึ้นมา เตรียมจรดลงบนหน้าอกของตน ทว่าประตูห้องบรรทมกลับเปิดออกอีกครั้ง พร้อมมีดสั้นอีกเล่มที่พุ่งเข้าหาเขา ด้วยวรยุทธ์ของหยางเฉิง เขาหลบเลี่ยงได้โดยไม่ยาก มีดสั้นเล่มนั้นจึงปักลงบนผนังห้องแทน สายตาคมมองไปยังที่มาของมีดสั้น ร่างชายชราปรากฏหน้าประตูห้องบรรทม เบื้องหลังมีบุรุษรูปงามสองคน รุ่นราวคราวเดียวกับหยางเฉิงปรากฏขึ้น ฉินอ๋องเมื่อเห็นผู้มาเยือนก็ไม่สบอารมณ์นัก เขาหยุดให้ความสนใจทันทีก่อนจะเตรียมมีดสั้นกรีดเลือดบนหน้าอกของตนเช่นเดิม “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงชายแก่ดังขึ้น หยุดการกระทำของหยางเฉิงได้ทันที “ข้าสอนเจ้ามาเช่นนี้หรือ? พึ่งถอนพิษได้ก็จะยอมเจ็บตัวเพื่อสตรีนางหนึ่งอีกแล้ว” หยางเฉิงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับเสียงทรงอำนาจของผู้อาวุโสเบื้องหน้า “เช่นนั้นท่านก็เอายาถอนพิษมา” ฟู่ไป๋เฉินแค่นเสียงในลำคอ ก่อนจ้อง
หานหลี่เจี๋ยล้วงขวดดินเผาขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ “นี่คือยาถอนพิษทุกข์ระทม ขอเพียงสตรีพรหมจรรย์ดื่มยานี่เข้าไป และนำเลือดของนางมาให้ท่านอ๋องดื่ม เท่านี้พิษในกายท่านอ๋องก็จะถูกถอนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวี้หนิงมองยาในขวดนั้น ก่อนจะยื่นมือไปรับ “นำมาให้ข้า” “ไม่ได้!” หยางเฉิงแววตาแข็งกร้าวมองไปยังหานหลี่เจี๋ย แม้ตอนนี้เขาขจะทรมานน้อยลง แต่ก็ไม่อาจมีแรงพอที่จะลุกขึ้นต่อต้านได้ “พระชายาโปรดไตร่ตรอง ยาถอนพิษนี้หากผู้ใดดื่มเข้าไปจะอยากหลับไหลไม่รู้ตื่น แต่ทุกราตรีร่างกายจะเจ็บปวดทรมานจนมิอาจข่มตาหลับได้ และจะมีชีวิตเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น” อวี้หนิงแม้ได้ยินเช่นนั้นกลับไม่ได้ทำให้นางเปลี่ยนใจ ร่างบางมองใบหน้าของบุรุษที่นอนอยู่บนเตียง นางเห็นเพียงใบหน้าแสนอ่อนโยนขององค์ชายหยางเฉิงวัยสิบสองปีทาบทับใบหน้าหล่อเหลาของฉินอ๋องในวัยหนุ่ม “หม่อมฉันล้างมลทินให้ตระกูลเหรินได้แล้ว ทำความหวังสุดท้ายของท่านแม่จบสิ้นแล้ว แต่ท่านอ๋องยังไม่อาจล้างมลทินให้พระมารดาได้ เช่นนั้นพระองค์สมควรมีชีวิตต่อนะเพคะ
“ถูกพิษ! ถูกพิษได้อย่างไรกัน” ทั้งที่เขาระวังตัวมากถึงเพียงนี้ ยังมีคนวางยาได้อีกหรือ “เป็นนายท่านฟู่ ท่านตาของท่านอ๋องเป็นผู้มอบให้พ่ะย่ะค่ะ” ครานี้เป็นเฟิ่งจ้าวหานที่ทนเห็นฉินอ๋องเจ็บปวดไม่ไหว เอ่ยตอบคำถามของนาง คำตอบของจ้าวหานยิ่งทำให้สมองนางขาวโพลน “ได้อย่างไรกัน เหตุใด...ท่านอ๋องเป็นหลานชายไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใด...” ซูอวี้หนิงไม่รู้ว่าจะเอ่ยอย่างไรดี นางรู้เพียงว่าท่านอ๋องมีท่านตาที่เป็นชาวบ้านธรรมดาในเมืองเหอเจียง แต่ไม่รู้ว่าตระกูลของอดีตหวงกุ้ยเฟยมีความเป็นมาอย่างไร หานหลี่เจี๋ยมองบุรุษที่เขาเป็นผู้ฝึกฝนมาสิบสองปี แม้ตัวเขาจะสาบานว่าจะรับใช้ตระกูลฟู่ ซื่อสัตย์ต่อผู้นำตระกูลเพียงผู้เดียว แต่เขาก็ไม่อาจทนให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนต้องทรมานเช่นนี้ได้อีก จึงเป็นฝ่ายเล่าเรื่องราวทั้งหมดแทน “นั่นเป็นเพราะฉินอ๋องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดีของตระกูลเหรินและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าหรือ?” ครานี้อวี้หนิงงุนงงยิ่งกว่าเดิม หานหลี่เจี๋ยพยักหน้า พลางหันมองหยางเฉิงที่ค่อย ๆ สงบลงด้วยฤทธิ
อวี้หนิงออกจากจวนตระกูลซูตรงไปยังร้านค้าต่าง ๆ ของตน นางไม่อยากจะกลับไปพบกับหลี่หยางเฉิงในเวลาเช่นนี้ จึงทำได้เพียงหลีกหนีการพบหน้าก็เท่านั้น กว่าจะกลับถึงจวนฉินอ๋อง แสงสุดท้ายของวันก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว หญิงสาวตรงไปยังห้องนอนทว่าพบว่าเจ้าชิงชิง แมวขาวขนปุยตัวอ้วนยังคงนอนอยู่ข้างล่างเตียงนอนของนางเช่นเดิม อวี้หนิงยอบกายจ้องมองแมวน้อยที่บัดนี้ดวงตากลมโตของมันก็เงยหน้ามาจ้องมองนางเช่นกัน “เจ้านายของเจ้าไม่คิดตามหาเจ้าเลยหรือ” ชิงชิงปานรู้ความ เมื่อนางถามเช่นนั้นมันกลับเบือนหน้าหนี ราวคนกำลังเศร้าสร้อย ร่างบางถอนหายใจ อดสงสารแมวขาวตัวนี้ไม่ได้ ชะตาชีวิตของมันไม่ต่างจากนางในตอนนี้เอาเสียเลย “มาเถอะ ข้าจะพาเจ้ากลับไปหาเจ้านาย” นางอุ้มแมวไว้ในอ้อมแขน ก่อนเดินตรงไปยังเรือนอี้เหยา ภายในเรือนอี้เหยาเงียบสนิท แม้ไฟถูกจุดทั่วทุกห้อง ทว่าเจ้านายของเรือนกลับไม่อยู่ อวี้หนิงถือวิสาสะเดินตรงไปยังห้องบรรทม ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยขออนุญาตเจ้าของเรือน เสียงร้อนรนของกัวเจียงเฟิงก็ดังลอดออกมา “ท่านอ๋อง เห
ตระกูลซูเป็นเพียงตระกูลเล็กที่มาจากชนบท ป้ายวิญญาณของบรรพชนจึงมีไม่มาก อวี้หนิงจ้องมองป้ายวิญญาณของมารดาผู้ล่วงลับ ภาพสตรีผู้งดงามในความทรงจำของนางผุดขึ้นมาในหัว มารดาของนางเป็นดั่งโพธิสัตว์โดยแท้จริง ชั่วชีวิตของมารดา อวี้หนิงไม่เคยเห็นนางโกรธเกลียดผู้ใดเลย แม้แต่หลินซือเหยียนที่เป็นอนุของบิดา สตรีที่เข้ามาทำลายชีวิตคู่ของนาง มารดายังไม่เคยขุ่นเคือง ซ้ำยังคอยช่วยเหลือไม่ให้สตรีชั่วช้าผู้นั้นได้รับความไม่เป็นธรรมเสียอีก จนวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง อวี้หนิงจึงเห็นความโกรธแค้นในสายตาของมารดาเป็นครั้งแรก “ท่านแม่ อีกไม่นานคนชั่วที่ทำกับท่าน กับตระกูลเหรินก็จะได้รับโทษแล้ว ท่านจะได้ปล่อยวางเสียที” เสียงหวานเจือด้วยความเศร้าเอ่ยกับป้ายวิญญาณเบื้องหน้า ก่อนที่อวี้หนิงจะลุกขึ้นปักธูปลงหน้าป้ายวิญญาณของซูเยว่หลิง น่าเสียดายที่ถึงวันสุดท้าย ท่านแม่ของนางก็ยังรักบุรุษไร้หัวใจเช่นบิดาของนางอยู่ ตอนอยู่ก็เป็นคนตระกูลซู พอตายไปแล้วมารดาของนางก็ยังเป็นผีตระกูลซู หญิงสาวเดินออกจากหอบรรพชนโดยมีเสี่ยวเหม่ยคอยประคอง นางตั้งใจอ้อยอิ่งรอดูจุดจบของหลินซือ







