ด้วงสูดลมหายใจเข้าเมื่อวิ่งมาถึงยังหน้าชานชาลาในการดูแล อีกไม่นานรถไฟขบวนแรกจากชุมพรก็จะเข้าเทียบ เขาต้องมีสมาธิจดจ่อกับหน้าที่และผู้คนเพื่อมองหาใครคนนั้นให้เจอ
ทว่าเหมือนที่เขาแกล้งหัวเราะอาจารย์แกไปเมื่อครู่จะโดนเอาคืน เพราะจู่ ๆ หมวกประจำตำแหน่งก็ถูกถอดออกทำให้เขาต้องหันไปมองจนเห็นว่าเป็นคุณอุ่นที่ยืนถือหมวกเขาอยู่ก่อนจะรีบเดินเข้ามาสวมหมวกให้เหมือนเดิมเมื่อเห็นสีหน้าอันไม่พอใจ
“ผมแกล้งหนักไปเหรอครับ?”
“ถามมาได้”
นายสถานีเม้มปากไม่พอใจ เขาหัวเราะนิดเดียวเองดันมาแกล้งถึงเนื้อถึงตัวกันเสียได้ ไหนเจ้าตัวบอกคนญี่ปุ่นเรียบร้อยตามขนบอย่างไรเล่า
“วันนี้ขอให้โชคดีนะครับ”
สิ่งที่อาจารย์กล่าวก่อนจะขึ้นตู้สื่อถึงคนที่เขากำลังเฝ้าตามหาอยู่ ถึงเขาจะไม่ได้ป่าวประกาศว่ากำลังตามหาคนแต่ก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับแก่คนใกล้ชิด
ด้วงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กระชับปีกหมวกประจำตำแหน่งให้เข้าที่เพราะอีกไม่ถึงนาทีจะถึงเวลารถไฟรอบแรกของวันเข้าเทียบ นัยน์ตาสีดำประกายม่วงไร้แวว มองหัวรถจักร สดับฟังเรียงหวูดอย่างเหม่อลอย เสียงพูดคุยเซ็งแซ่โอื้ออึงอยู่ในหัวผนวกกับเสียงเดินของผู้คนนับสิบนับร้อยซึ่งเดินขวักไขว่ ตรงข้ามกับเขาที่ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย
แม้จะรู้สึกสิ้นหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกเย็นเมื่อไม่เห็นคนผู้นั้นก้าวเดินลงมาจากตู้รถไฟ แต่เมื่อรุ่งอรุณมาถึง จิตใจเขาจะไม่ยอมแพ้และเฝ้ารอต่อไป โดยหวังว่าสักวันความปรารถนาของเขาจะเป็นจริง
แต่คนแล้วคนเล่า ที่เดินถือกระเป๋าลงมาไม่ว่าจะมาแต่เพียงผู้เดียวหรือเป็นหมู่คณะก็ไม่มีคนหน้าคล้ายเลยสักนิด เขามั่นใจว่าหน้าตาตั้งแต่สมัยวัยเยาว์ของบุคคลนั้นเมื่อโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่จะยังคงไว้ซึ่งความงามชวนเสน่หา
ทว่าสงสัยวันนี้มันคงเป็นดังเช่นทุกวัน
จะไม่มีเสียงอันไพเราะน่าฟัง
ไม่มีรอยยิ้มอันน่ามอง
ไม่มี...
"นพ เดี๋ยวครูนั่งรอตรงนี้นะ"
เสียงทุ้มหวานแว่วผสมปนเปมากับเสียงจ้อกแจ้กของคนรอบข้าง ไอบรรยากาศอันคุ้นหู จังหวะการพูดอันเนิบช้าชวนคิดถึงดึงให้นายสถานีหันไปยังต้นเสียง ทันใดนั้นดวงตาจึงสะท้อนภาพของร่างผอมเพรียวในเสื้อแขนยาวกางเกงสีกรมท่า ดวงตากลมดำประกายแสงภายใต้กรอบแว่น และเส้นผมยาวจับเป็นช่อนั้นเขายังคงจำมันได้ดี แม้ทรวดทรง ดวงหน้าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่องค์รวมกลับยังคงเหมือนภาพในอดีตไม่มีผิด
ขายาวก้าวไปข้างหน้าอย่างเป็นไปเองก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตาเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะอันตรธานหายไป
รองเท้าหนังสีดำด้านหยุดลงหน้าม้านั่งที่มีโฉมงามนั่งก้มหน้าก้มตาดูสัมภาระอยู่แต่เพียงผู้เดียว ก่อนจะพยายามเค้นเนื้อเสียงเอ่ยชื่อบุคคลในความทรงจำ
"ไอ้แก้ว..."
ด้วงเอ่ยเรียกนามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ โดยคาดหวังให้คนตรงหน้าเป็นเพื่อนสมัยเด็กของตน จนเมื่อเจ้าของหางม้ายาวเริ่มหันซ้ายหันขวา ความคาดหวังของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี สุดท้ายเมื่อสบสายตากัน คนบนเก้าอี้จึงได้ตัวกระตุกตกใจตาเบิกโพลง
ยิ่งเขามองความใคร่คิดถึง ความเป็นห่วง และความโล่งใจก็พวยพุ่งขึ้นมาเป็นน้ำสีใสที่เอ่อรอบดวงตา
"ไอ้ด้วง..."
น้ำเสียงทุ้มหวานที่เอ่ยเรียกชื่อยิ่งพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าตลอดนานนับสิบปีที่เขาได้แต่เฝ้ารอเหมือนคนโง่ ในที่สุดความพยายามของเขาก็เห็นผล
"ไอ้แก้ว...ไอ้แก้วจริง ๆ ใช่ไหม"
ด้วงพร่ำไถ่ถามคนตรงหน้าเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขากำลังเห็นอยู่ไม่ได้เป็นเพียงห้วงฝัน
"ใช่ ทำไมเอ็ง-*ฟึบ*
เพียงพยางค์แรกที่ถูกเอ่ย คนในชุดเครื่องแบบก็โผเข้ากอดแม่นางรำอย่างไม่อายว่าจะมีใครมองมา ทว่าคนบนเก้าอี้ที่ยังคงทำตัวไม่ถูกก็ได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
"ฉันคิดถึงเอ็ง...คิดถึงเอ็งมาตลอดสิบปี ดีใจมากเลยที่ได้มาเห็นเอ็งยังอยู่ดีแบบนี้"
"อะ...ไอ้ด้วงเอ็ง- ปล่อยก่อน"
ตรีศูลเห็นเพื่อนในเก่าเข้ามาแนบชิดตกอกตกใจ เขาไม่คิดว่าจู่ ๆ คนแข็งกร้าวอย่างเพื่อนคนนี้จะเข้ามาส่งเสียงสะอื้นไห้
*พลั่ก!*
"ไอ้โรคจิต แกจะทำอะไรอาจารย์น่ะ!"
เสียงเด็กจิ๋วโพล่งขึ้นมาพร้อมแรงผลักดันสีข้างส่งให้ตัวเขาเซลงไปนั่งทักทายพื้นกระเบื้อง และด้วยเสียงที่ดังจึงทำให้ผู้คนรอบข้างหันมาให้ความสนใจกับสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมกับเจ้าหน้าที่กำลังพุ่งตัวเข้ามาคุมสถานการณ์ ทว่าไม่นานเจ้าของชื่อ ‘แก้ว’ ก็รีบคว้ามือคนบนพื้นให้กลับมายืนดังเดิม
"เกิดอะไรขึ้นครับ?"
แผนที่อยู่กะเดียวกันเดินเข้ามาถามก่อนจะสังเกตเห็นถึงเพื่อนสนิทตัวเองซึ่งกำลังถูกใครบางคนพยุงตัวขึ้น
"ไม่มีอะไร เอ็งไปทำงานเถอะ"
"ดะ...เดี๋ยว!? ไอ้ด้วงนี่เอ็ง!"
คนเป็นเพื่อนงงงวย จู่ ๆ มันพูดอะไรออกมา
เจ้าแผนยิ้มแห้งปนอึ้ง เขาไม่เคยเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้มาก่อน เห็นมันยิ้มปากแทบฉีกถึงรูหูแล้วก็ขนลุกซู่ ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เป็นที่ทำงานเขาจะถือว่ามันปกติ แต่เวลาอยู่สถานีใคร ๆ ก็รู้ว่านายดลรวี ก้องภัชรกุลจะเป็นคนจริงจัง ตั้งใจทำงาน ตอนอยู่กับใคร ๆ มักจะทำหน้าดุเป็นยักษ์ กระทั่งผู้โดยสารมาถามทางมันยังทำหน้าถมึงทึงใส่แต่นี่อะไร คุยไปยิ้มไปอย่างกับคนบ้า
"เอ็งเป็นอย่างไรบ้าง"
ด้วงไม่สนใจสายตาของไอ้แผนที่มองมา รวมไปถึงเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเจ้านพที่กระโดดโหยงเหยงโวยวายอยู่ทั้งสองข้าง ดวงตาคมกริบจดจ้องไปที่โฉมงามตรงหน้าแต่เพียงอย่างเดียว
"ก็...สบายดี"
คล้ายว่าเจ้าตัวจะยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก จู่ ๆ ก็มาเจอเพื่อนสนิทที่ห่างกันไปนานแสนนาน ทำตัวไม่ถูกถือเป็นเรื่องสามัญและเขาพึ่งมารู้ตัวว่าตนอุกอาจเกินควรจึงถอนมือที่จับถือแขนออกมายืนอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
"ฉันขอโทษ เอ็งยังกลัวอยู่หรือเปล่า"
เขาย้อนนึกไปถึงอดีต มันคงจะไม่ง่ายหากเจ้าตัวที่เคยประสบเรื่องร้ายมาจะปรับตัวได้ทันท่วงทีในสถานการณ์แบบนี้
"ไม่กลัว แล้วตอนนี้เอ็งเป็นอย่างไรบ้าง"
"กะ...ก็สบายดี"
"ฮ่า ๆ อย่าลอกคำตอบกันสิ"
คู่สนทนาหัวเราะเสียงใส เป็นที่ชื่นใจของนายสถานี ยิ่งมองยิ่งคิดถึง คุ้มแล้วกับสิบปีที่รอมาตลอด
"แก้ว... เอ็งไปกับฉั-
"อาจารย์ ไปกันได้แล้วนะ"
เสียงของเจ้าเด็กปากแจ๋วพูดขึ้นพร้อมกระตุกข้อมือของอาจารย์เจ้าตัวให้เดินออกรั้วกั้นตามกันไป
"ฉันต้องไปแล้ว ลาก่อนนะ"
ด้วงไม่ชอบคำนี้เอาเสียเลย ประหนึ่งว่าการพบกันครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้าย เขาไม่อยากให้มันจบลงเท่านี้ เขาอยากสานสัมพันธ์ต่อ อยากพูดคุยให้มากกว่านี้
"เราจะยังได้เจอกันอยู่ใช่ไหม!?"
"อื้อ ได้สิ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันมาหา"
เสียงใสตอบรับก่อนจะผละมือออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นโบกมือลาง่าย ๆ ดวงหน้ากลมเผยรอยยิ้มสดใสเจิดจ้า
ด้วงยืนโบกมือส่งคนงามไปจนลับสายตา นัยน์ตาดำมืดยังคงจับจ้องไปยังทางเดินเรียบอันว่างเปล่าด้วยความคะนึงหา แววเนตรเหม่อลอยคล้ายคนไร้สติจนเพื่อนอย่างเจ้าแผนที่แอบซุ่มมองสถานการณ์มาสักพักเข้ามาทัก
"ไอ้ด้วง"
แผนพูดเสียงปกติทว่าไอ้เพื่อนยากก็ดูจะไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเอาแต่มองทางข้างหน้าอย่างเหม่อลอย
"ไอ้ด้วง!!"
"เอ็งจะตะโกนทำไม"
"ก็เอ็งมัวแต่เหม่อ"
"เฮ้อ ไปทำงานได้แล้วไป"
ด้วงทอดถอนหายใจออกมาก่อนจะนึกถึงคำของแม่คนงามเมื่อครู่ที่กล่าวว่า 'เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันมาหา' แล้วจึงคิดเรื่องดี ๆ ออก
"วันนี้ฉันลา พรุ่งนี้ก็ด้วย"
"เอ้า?"
คนเป็นเพื่อนอย่างแผนงงกับท่าทีอันผิดแผกของไอ้ด้วง นับตั้งแต่ใช้ชีวิตเป็นเพื่อนกันมาเขาไม่เคยได้ยินคำว่า ลา ออกมาจากปาก เป็นอะไรของมันวะ หรือเมื่อกี้ลื่นล้มจนสมองกลับไปแล้วหรือ? แต่เมื่อคิดดี ๆ ที่มันยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งต่อหน้าสุดสวยคนนั้น ถ้าไม่ใช่ว่าที่เมียมันแล้วจะเป็นใครได้
!!!
ไอ้ด้วงมันเจอคนที่มันรอแล้วเหรอ!?ผู้ชายคนนั้นน่ะนะ!
“ตื่นมาก็ทำงานเลยหรือ?”องค์กษัตริย์ไถ่ถามมเหสี ที่เคยนอนด้วยกันปกติจะเป็นเขาที่ออกมาทันทีหลังแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเนื่องจากมีราชกิจกับเหล่าเสนาบดี แต่วันนี้เนื่องจากเป็นวันดีที่จะได้ไปส่งมเหสีขึ้นเกี้ยวกลับไปเยี่ยมมารดาพวกเขาจึงตื่นสายหน่อยและให้เวลาส่วนตัวแก่มเหสีคนใหม่ จึงมาอาบน้ำด้วยตัวเอง“ข้าไม่คิดว่าท่านจะทำได้จึงมีงานวังหลังเหลืออยู่”“เช่นนั้นเจ้าก็เลือกสนมรองขึ้นมาช่วยงานสิ งานบัญชีเยอะเช่นนี้เจ้าทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”“หากข้าเลือกขึ้นมาแล้วท่านสัญญาได้ไหมว่าจะปันเวลาให้พวกนาง”เขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำสอง อย่างไรพระสนมส่วนใหญ่ถึงบางรายอาจไม่แสดงออกแต่ลึก ๆ ทุกคนล้วนต้องการความรักจากองค์จักรพรรดิทั้งสิ้น“ข้าทำไม่ได้มเหสี”“เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่ข้าจำต้องตื่นแต่เช้ามาทำงานแต่เพียงผู้เดียว”ว่าแล้วอดีตพระสนมจึงวางพู่กันลงลุกขึ้นจากเบาะรองนั่งเดินตรงไปยังส่วนอาบน้ำโดยไม่แม้แต่จะสบตาพระสวามีผู้ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ปิ่นปักผมหงส์กนกมาครองแม้วันนี้พวกเขาจะมีนัดไปเยี่ยมมารดาแต่ก็ยังคงตื่
“ท่านพี่ ท่านพี่เพคะ ท่านพี่ว่าปิ่นปักผมชิ้นนี้เข้ากับน้องไหมเพคะ?”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงในชุดผ้าแพรยาวสีสันสดใสพร้อมด้วยสองมวยผมที่จับมักเป็นมวยกลมตกแต่งด้วยดอกไม้หยกห้อยระย้าประดับกรอบหน้างามอย่างคุณหนูลูกสาวขุนนางใหญ่ เธอหยิบปิ่นปักผมดอกกล้วยไม้ขึ้นมาทาบศีรษะกล่าวถามเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่ปลอมตัวเป็นคนรวยเข้ามาเดินเล่นในชุมชนในกลางเมืองเด็กหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลผินใบหน้าแววตาเหยียดมองคู่หมั้นที่ติดสอยห้อยตามเขามาด้วย ทำเอาเสียอารมณ์ไม่ใช่น้อย แทนที่จะได้เดินดูทุกข์ราษฎรแล้วเอาไปเขียนรายงานส่งท่านอาจารย์กลายเป็นต้องมาดูแลประคบประหงมลูกคุณหนูเสียอย่างนั้น“กระจกก็มีเจ้าไม่ส่องดูเอาเองล่ะ”ไร้ซึ่งความเห็นใจ เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็งเดินสะบัดก้นหนีจนองครักษ์ซึ่งติดตามมาด้วยถึงกับทำตัวไม่ถูกเฉกเช่นเดียวกับพระคู่หมั้นที่ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้วองค์รัชทายาทในวัยสิบสองขวบปีเดินกระชับปีกหมวกคล้องลูกปัดหลบเลี่ยงมายังตรอกซอกซอยหนึ่งโดยมีองครักษ์ในชุดชาวบ้านเดินติดสอยห้อยตามมาคุ้มครองด้วย‘เดินถัดจากตลาดมานิดเดียวก็เจอศพคนตายแล้ว’
ชนชั้นในสถานที่อันปวงประชาภายนอกรั้วมองเข้ามาล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันถึงสิ่งปลูกสร้างอันประณีตงดงาม สวนดอกไม้อันเขียวชอุ่มและอาหารเลิศรสที่สามัญชนแม้เฝ้าเก็บเงินมาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถลิ้มลองจานของโอรสสวรรค์ได้ท่ามกลางความอู้ฟู่โอฬารเหล่านั้น ภาพสวยหรูที่ใครต่อใครซึ่งพรายกระซิบกันมาผ่านกำแพงสูงกลับถูกสกัดด้วยมุมมืดของวังหลวงแห่งนี้พระราชโอรสได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์เมื่อพระราชบิดาสิ้นอายุขัย พระคู่หมั้นเข้าพิธีอภิเษกสมรสและได้ครอบครองปิ่นปักผมหงส์กนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมารดาแห่งแผ่นดิน ทั้งสองปกครองเคียงคู่กันมาจนให้กำเนิดองค์รัชทายาท เป็นที่รักใคร่เอ็นดูต่อเหล่านางกำนัลน้อยใหญ่พระราชโอรสชาญฉลาดนัก ใฝ่เรียนใฝ่รู้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นอาจิณ กระนั้นยังคงไว้ซึ่งประกายสดใสในแววตาเปล่งปลั่ง ประหนึ่งดวงตะวันน้อยที่ค่อย ๆ เจริญเติบโตและกลายมาเป็นที่พึ่งพิงของผืนฟ้าจนมาวันหนึ่ง ท่ามกลางโต๊ะไม้สักลายมังกรวางเรียงรายด้วยจานอาหาร เมื่อพระมเหสีได้ตักเนื้อข้าวเสวยเข้าไปเพียงคำเดียว เสียงช้อนเงินซึ่งค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำร่วงหล่น
"กันต์มาทำงานใกล้บ้านไม่ได้เหรอ อาไม่อยากให้เราไปอยู่ที่ไหนนาน ๆ เลย”“ผมไปอยู่นั่นแค่ปีเดียว เดี๋ยวก็ได้ย้ายมาศูนย์พระนครแล้วครับ”จนแล้วจนรอดคุณอาที่เลี้ยงดูหลานชายมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนยามนี้มีงานมีการทำก็ยังเป็นห่วงแล้วเป็นห่วงอีก กลับมาบ้านครั้งหนึ่งก็จัดอาหารชุดใหญ่เอาไว้ให้เสียอลังการ พอจะกลับไปวิทยาลัยอาเจ้าก็เอาของกินใส่ปิ่นโตมาให้ทั้งยังหาอาหารที่เก็บได้นาน ๆ จัดใส่กระเป๋าเอาไว้ กลัวว่าหลานชายจะไม่มีอะไรกินเมื่ออยู่ที่นั่นตอนนี้กันต์ธีร์โตเป็นหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาได้พ่อ กำลังเรียนต่อชั้นป.โทจากทุนที่ได้มาทันทีหลังจบป.ตรี ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในนักวิจัยพรรณพืชของวิทยาลัยแม้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนในครอบครัว ทว่าคุณอาไม่ชอบใจเท่าไรที่ที่เรียนที่ทำงานไกลจากบ้านเหลือเกิน เขาอดใจรอหลานเรียนจบ หวังจะได้กลับมาเห็นหน้าค่าตาทุกวันเหมือนวันวานกลายเป็นต้องเหินห่างกันเหมือนเดิมไปอีกหนึ่งปีเสียได้“เดี๋ยวผมจะพยายามกลับมาให้ได้ทุกสัปดาห์นะครับ”“มันจะไม่รบกวนเราไปใช่ไหมกันต์?”เดินทางครั้งหนึ่งนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายแล้วยั
กันต์ธีร์ × อาจารย์น้ำหวานคุณอานายสถานีในวัยสามสิบสี่ย่างสามสิบห้านั่งปักผ้าเตรียมทำถุงหอมให้พี่ชายคนรักและกันต์ธีร์ที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์นี้ โดยมีพี่ชายนั่งกกกอดอยู่ด้านหลังซุกไซ้ใบหน้าไปมาตามกิจวัตรอยู่บนเตียงนุ่ม แทนที่จะเรียกว่าเอือมระอาให้เรียกว่าชินชาเสียมากกว่า ทว่าอย่างไร ณ จุดจุดนี้อ้อมกอดของพี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาปักผ้าลำบากขึ้นมากนักหรอกเห็นว่ามหาวิทยาลัยกันต์ธีร์อยู่ไกลจึงจำต้องไปอาศัยพักหอในที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเอาไว้ให้ ดีที่เจ้าตัวเก่งพอจะได้ทุนการศึกษา ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จึงไม่ได้หนักหนาอะไรมาก เผลอ ๆ อาจราคาพอกันกับสมัยมัธยมเลยกระมังทว่าแม้จะผ่านมาครบหนึ่งปีที่หลานชายที่รักต้องออกไปใช้ชีวิตคนเดียวก็ยังมีเรื่องที่คุณอาคนนี้กังวลใจอยู่ไม่หาย“เฮ้อ...”“ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้ครับ ค่อยเย็บใหม่วันพรุ่งนี้”“น้องไม่ได้เหนื่อยเรื่องนั้น น้องแค่เป็นห่วงน้องกันต์”“กันต์โตเป็นหนุ่มแล้ว ปล่อยให้เขามีชีวิตเป็นของตัวเองบ้างก็ได้ ไว้มีปัญหาพี่เชื่อว่ากันต์จะมาบอก
“ด้วง เรามาโกนหนวดให้พี่ได้ไหมครับ?”ไกรวิชญ์ในทุกอาทิตย์มักจะเข้ามาอ้อนขอน้องชายถึงสิ่งนี้เป็นประจำ บางครั้งด้วงก็งงงวยว่าทำไมเจ้าพี่เมื่อก่อนก็จัดการเคราบนหน้าได้เองตามปกติแต่ทำไมหลังจากที่เขาโกนให้ครั้งแรกถึงได้ติดอกติดใจนัก“พี่เตรียมของไว้นะ เดี๋ยวผมตามเข้าไป”ด้วงซึ่งอาสาเช็ดโต๊ะทานอาหารหลังมื้อเช้าเสร็จบอกดังนั้นก่อนจะเห็นพี่ไกรเดินเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี หากเทียบตัวตนของพี่ไกรวิชญ์เมื่อปีที่เรื่องราวเกิดขึ้นล้านแปดแล้วเหมือนเป็นคนละคนตอนนั้นเขามองหน้าพี่แทบไม่ติดคล้ายจะมีรังสีความน่ากลัวแผ่ออกมาตลอด คุยกันครั้งหนึ่งต้องมีทะเลาะเบาะแว้งไม่ลงรอย แต่มาเดี๋ยวนี้พี่เจ้าแค่มองหน้าเขาก็ยิ้มร่า มักจะชอบวิ่งเข้าหามาช่วยเขาไม่ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน จนบางครั้งก็เหมือนได้เห็นภาพซ้อนของกันต์ธีร์ในวัยเยาว์อย่างไรอย่างนั้น คิดแล้วก็ขำกับตัวเอง นี่เขาเห็นพี่มีนิสัยเหมือนเด็กเล็กอย่างนั้นหรือด้วงคิดสะระตะก่อนเดินไปพาดตากผ้าขี้ริ้วกับระเบียงด้านนอก จัดแจงเก้าอี้ให้เข้าที่แล้วจึงพาตัวเองเดินเข้าห้องนอนไปทำตามที่พี่เจ้าร้องขอไว้