ด้วงเดินออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดเขาก็เจอแล้ว
ในเมื่อแก้วบอกว่าจะมาหาเขาวันพรุ่ง เช่นนั้นวันนี้เขาจะตะลอนหาที่นั่งสบาย ๆ รอบพระนครตระเตรียมแผนการเดินทางให้โฉมงามเพื่อนสมัยเด็กได้ประทับใจ
รวมไปถึงการบอกเรื่องนี้กับพี่ไกร เพราะเจ้าตัวเมื่อเช้าดูจะเป็นกังวลในเรื่องนี้มากโข ไว้เดี๋ยวคืนนี้เขาจะอยู่รอนั่งเล่าให้ฟัง ในเมื่อเป้าหมายในชีวิตเขาสำเร็จแล้ว คุณพี่ชายจะได้ไม่ต้องมาหนักใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ผู้กำกับ เหม่ออีกแล้วนะครับเมื่อคืนนอนน้อยรึหรือไง?”
“มาค้ง มาครับอะไรไอ้พูน เรียกชื่อฉันเหมือนเดิมเถอะ แสลงหู”
พูนเพื่อนร่วมงานบุ้ยปาก ไอ้เขาก็อยากทำตัวมีมารยาทกับพ่อพันตำรวจเอกผู้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่สน.เสียหน่อย ดันมาขัดขากันได้
“ตกลงกันว่าจะเริ่มคดีเสือขามวันนี้ใช่ไหม?”
“นอกเรื่อง”
“กำลังจะเข้าเรื่อง”
พูนกอดอกกลอกตามองบน เขาล่ะหน่ายใจกับท่าทีเก๊กขรึมของคุณพ่อลูกหนึ่งคนนี้จริง ๆ หวังว่ากันต์ธีร์หลานน้าจะโตมาไม่เจ้ามาดเจ้าภาพลักษณ์แบบบิดา
ไกรวิชญ์เอื้อมมือไปหยิบแฟ้มเอกสารประวัติคดีที่ทำเตรียมไว้เมื่อวานสำหรับเริ่มประสานกับกลุ่มเพื่อวางแผนการ
คดีในการดูแลของพวกเขาในตอนนี้มีอยู่ ๓ คดี ไม่นับเรื่องฉกชิงวิ่งราวประปราย ซึ่งล้วนเป็นการจับหัวหน้ากลุ่มโจรมาสำเร็จโทษทางอาญาทั้งสิ้น
แม้พวกเขาจะเป็นตำรวจนครบาลไม่มีเอี่ยวกับส่วนภูมิภาค แต่เมื่อสองปีที่แล้วพวกเขาสามารถเข้าจับกุมเสือสุพรรณนาม ‘เสือหิน’ มาเข้าตะรางได้ ซึ่งนับเป็นโจรผู้ร้ายนอกจากปล้นชิงทรัพย์ซ้ำร้ายยังฆ่าคนแม้แต่คนบริสุทธิ์ก็ไม่เว้น ด้วยชื่อกระฉ่อนแบบนั้นเมื่อผู้คนได้ยินข่าวจึงให้ความสนใจกับมันเป็นพิเศษ นั่นจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยให้พวกเขาต้องมามีส่วนร่วมในคดีต่างจังหวัดแบบนี้
พันโทพรั่งพรูลมหายใจออกมาด้วยความหนักใจ ก่อนจะเดินผ่านวงกบประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามเดิม เขาเป็นหัวหน้าคนจะแสดงความอ่อนแอออกมาไม่ได้
ผู้กำกับสูงสุดฝากเพื่อนคนสนิทแจกจ่ายรายงานให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
“อย่างที่ทุกคนทราบ เป้าหมายของเราในรอบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ใช่ว่าเราจะทำไม่ได้ ถึงใครเขาจะบอกว่าพวกเรามันเป็นขี้ข้าเศรษฐี แต่ให้เรารู้ตัวเราเองก็พอว่าทำอะไร หากสำเร็จคนพวกนั้นจะเห็นเป็นที่ประจักษ์เอง”
“ครับ!”
เพราะหลายเดือนมานี้มีข่าวบุกปล้นบ้านผู้มากลาภยศมากขึ้นจากกลุ่มขโมยขโจรเล็กใหญ่ กระนั้นพวกเขาทำได้แค่จับตัวเล็ก ๆ มาเข้ากรงขัง แต่พวกมันน้อยนักที่จะสารภาพความผิดเพราะอุดมการณ์ชาติโจรมันค้ำคอ
ทว่าเรื่องพรรค์นั้นมีหรือเขาจะสนใจ โจรก็คือโจรอยู่วันยังค่ำ ที่ที่เหมาะสมกับพวกมันไม่ใช่เรือนไม้บนภูเขาหรือบ้านชานเมืองแต่เป็นห้องขัง
ส่วนไอ้เศรษฐีคดโกงพวกนั้นที่ได้ทรัพย์สมบัติคืนไปเขาในตอนนี้ขอปล่อยมันเสวยสุขไปก่อน ไว้จัดการเรื่องปีนี้เสร็จจะเร่งถอนรากถอนโคนพวกมันให้สิ้น
“เราจะเรียงคดีตามความถี่ในการออกปล้นเพื่อลดทอนผู้เสียหาย”
เริ่มจากชุมเสือขาม ๑ เดือน ๕ คดี, ชุมเสือแหงน ๑ ปี ๑๒ คดี และสุดท้ายซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ ชุมเสือหิน ๑๕๐ คดี ๒๐ ปี ยังไม่รวมคดีที่พึ่งเกิดสดร้อน ๆ เมื่อไม่นานมานี้อย่างการปล้นรถไฟ ทั้ง ๆ ที่เขาเข้าไปยืนยันว่าเสือหินมันยังมีชีวิตอยู่ในแดนประหาร แล้วทำไมมันยังมีชื่อปรากฏอยู่ ณ ภายนอก
“สองชุมแรกมีความเชื่อมโยงกัน หากรู้ข้อมูลของชุมใดชุมหนึ่งได้ก็เท่ากับเราจะปราบมันทั้งสองได้แน่นอน”
“พูดแบบนี้คิดจะส่งคนแฝงตัวเข้าไปใช่ไหมครับ?”
“ใช่”
“ว่าแต่จะเอาใครไปดีล่ะ คนที่นี่พวกมันคงจำหน้ากันได้หมดแล้ว”
“พูน เอ็งนั่นแหละ”
“ห๊ะ! ฉันเหรอ!?”
ด้วยว่าหลังจากสน.ขึ้นชื่อเรื่องการกำราบโจรจึงมีงานเข้ามาให้ทำไม่ขาด ออกไปนอกสถานที่พบปะประชาราษฎร์ก็บ่อยจนผู้คนจดจำหน้าได้ก็พากันซื้อของมาฝากยกใหญ่แม้จะดูว่าดีแต่ความโด่งดังคล้ายจะเป็นดาบสองคม หากหนึ่งในโจรมันรู้ถึงการเคลื่อนไหวคนใดคนหนึ่งของพวกเขาล่ะก็ แผนคงล่มตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม
“เดี๋ยว ทุกท่าน เอาจริงดิ!”
พูนเป็นอดีตตำรวจภูธรจากจังหวัดพิษณุโลกที่เข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือน ทั้งมนุษยสัมพันธ์พอใช้ได้ ไหลตามน้ำได้ตลอด คนแบบนี้เมื่อเทียบกับตัวเขาที่คนรู้จักทั้งอำเภอคงใช้การได้ประสิทธิผลมากกว่า
พูนผู้พึ่งได้รับหน้าที่อันยิ่งใหญ่กระดืบ ๆ หลบเลี่ยงสายตาอันคาดหวังจากเพื่อนร่วมงาน มากระซิบข้างหูเพื่อนซี้
‘ไกร ฉันไม่ทำได้ไหม’
‘ไม่ได้’
‘โถ่ ฉันยังจีบน้องแผนไม่ติดเลยนะ’
‘แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคดี’
‘ก็มัน-’
‘ทำ’
‘แต่-’
‘ถ้าเอ็งทำสำเร็จแล้วเอาไปเล่าให้น้องเขาฟัง เขาจะไม่ภูมิใจในตัวเอ็งเหรอวะ’
‘ฉันทำเอง ใครบอกไม่ทำกัน โว้ะ!’
เพราะติดนิสัยขี้กลัวขี้เกียจเป็นทุนเดิม ไกรวิชญ์จึงต้องสร้างแรงกระเพื่อมให้เพื่อนมันเสียหน่อย
ที่เข้ากันได้ขนาดนี้คงเพราะรู้ความลับกันและกันด้วยกระมัง ใครจะไปรู้ว่าทั้งผู้กำกับและรองผู้กำกับมีรสนิยมชอบสรีระเพศเดียวกัน
จบการประชุมในช่วงเช้าเขาทำงานไปก็คิดถึงหน้าน้องชายไป เจอกันอีกทีก็เวลาเที่ยงเพราะสน.เขาอยู่ใกล้บ้านไม่ต่างจากที่ทำงานของด้วง จึงมักกลับมากินข้าวที่บ้าน จริง ๆ เขาติดนิสัยนี้มาจากด้วงเพราะอีกฝ่ายแรกเริ่มเดิมทีไม่ได้โตมาพร้อมสินทรัพย์มากมายเหมือนเขา ติดดินติดทราย เป็นคนประหยัด (มากจนเกินไป) ที่แม้แต่เงินค่าอาหารกลางวันไม่กี่สตางค์ก็ไม่ยอมเสียถ่อสังขารกลับมากินข้าวที่บ้าน ส่วนเขาที่อยากเจอหน้าน้องชายก็พลอยทำตามไปด้วย
ในเวลาเที่ยงเศษป่านนี้ด้วงคงถึงบ้านก่อนแล้ว ทว่าเมื่อมาถึงเขากลับเจอแต่ความว่างเปล่า กับพ่อบ้านเพียงคนเดียว
“ลุงแดง ด้วงยังไม่กลับมาเหรอ?”
“คุณด้วงกลับมาเปลี่ยนชุดครู่เดียวแล้วก็ออกไปครับคุณผู้ชาย”
“เปลี่ยนชุด?”
“เห็นบอกว่าวันนี้ลางานกะทันหัน จะไปเดินดูย่านการค้า”
เมื่อได้ยินเขาที่ยืนกอดอกครุ่นคิดอยู่ถึงกับชะงัก
นี่มันผิดปกติ
เจ้าตัวไม่เคยลางานสักครั้งหากไม่ป่วยล้มหมอนนอนเสื่อ หรือกระทั่งออกไปเดินเตร็ดเตร่ในย่านการค้าเจ้าตัวก็ดูจะไม่ค่อยชื่นชอบเพราะมันต้องใช้เงินเยอะ แต่เพียงวันเดียวกลับทำลายความเชื่อของเขาไปจนหมด
วันนี้ที่สถานี มันเกิดอะไรขึ้น
“ตื่นมาก็ทำงานเลยหรือ?”องค์กษัตริย์ไถ่ถามมเหสี ที่เคยนอนด้วยกันปกติจะเป็นเขาที่ออกมาทันทีหลังแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเนื่องจากมีราชกิจกับเหล่าเสนาบดี แต่วันนี้เนื่องจากเป็นวันดีที่จะได้ไปส่งมเหสีขึ้นเกี้ยวกลับไปเยี่ยมมารดาพวกเขาจึงตื่นสายหน่อยและให้เวลาส่วนตัวแก่มเหสีคนใหม่ จึงมาอาบน้ำด้วยตัวเอง“ข้าไม่คิดว่าท่านจะทำได้จึงมีงานวังหลังเหลืออยู่”“เช่นนั้นเจ้าก็เลือกสนมรองขึ้นมาช่วยงานสิ งานบัญชีเยอะเช่นนี้เจ้าทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”“หากข้าเลือกขึ้นมาแล้วท่านสัญญาได้ไหมว่าจะปันเวลาให้พวกนาง”เขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำสอง อย่างไรพระสนมส่วนใหญ่ถึงบางรายอาจไม่แสดงออกแต่ลึก ๆ ทุกคนล้วนต้องการความรักจากองค์จักรพรรดิทั้งสิ้น“ข้าทำไม่ได้มเหสี”“เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่ข้าจำต้องตื่นแต่เช้ามาทำงานแต่เพียงผู้เดียว”ว่าแล้วอดีตพระสนมจึงวางพู่กันลงลุกขึ้นจากเบาะรองนั่งเดินตรงไปยังส่วนอาบน้ำโดยไม่แม้แต่จะสบตาพระสวามีผู้ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ปิ่นปักผมหงส์กนกมาครองแม้วันนี้พวกเขาจะมีนัดไปเยี่ยมมารดาแต่ก็ยังคงตื่
“ท่านพี่ ท่านพี่เพคะ ท่านพี่ว่าปิ่นปักผมชิ้นนี้เข้ากับน้องไหมเพคะ?”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงในชุดผ้าแพรยาวสีสันสดใสพร้อมด้วยสองมวยผมที่จับมักเป็นมวยกลมตกแต่งด้วยดอกไม้หยกห้อยระย้าประดับกรอบหน้างามอย่างคุณหนูลูกสาวขุนนางใหญ่ เธอหยิบปิ่นปักผมดอกกล้วยไม้ขึ้นมาทาบศีรษะกล่าวถามเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่ปลอมตัวเป็นคนรวยเข้ามาเดินเล่นในชุมชนในกลางเมืองเด็กหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลผินใบหน้าแววตาเหยียดมองคู่หมั้นที่ติดสอยห้อยตามเขามาด้วย ทำเอาเสียอารมณ์ไม่ใช่น้อย แทนที่จะได้เดินดูทุกข์ราษฎรแล้วเอาไปเขียนรายงานส่งท่านอาจารย์กลายเป็นต้องมาดูแลประคบประหงมลูกคุณหนูเสียอย่างนั้น“กระจกก็มีเจ้าไม่ส่องดูเอาเองล่ะ”ไร้ซึ่งความเห็นใจ เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็งเดินสะบัดก้นหนีจนองครักษ์ซึ่งติดตามมาด้วยถึงกับทำตัวไม่ถูกเฉกเช่นเดียวกับพระคู่หมั้นที่ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้วองค์รัชทายาทในวัยสิบสองขวบปีเดินกระชับปีกหมวกคล้องลูกปัดหลบเลี่ยงมายังตรอกซอกซอยหนึ่งโดยมีองครักษ์ในชุดชาวบ้านเดินติดสอยห้อยตามมาคุ้มครองด้วย‘เดินถัดจากตลาดมานิดเดียวก็เจอศพคนตายแล้ว’
ชนชั้นในสถานที่อันปวงประชาภายนอกรั้วมองเข้ามาล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันถึงสิ่งปลูกสร้างอันประณีตงดงาม สวนดอกไม้อันเขียวชอุ่มและอาหารเลิศรสที่สามัญชนแม้เฝ้าเก็บเงินมาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถลิ้มลองจานของโอรสสวรรค์ได้ท่ามกลางความอู้ฟู่โอฬารเหล่านั้น ภาพสวยหรูที่ใครต่อใครซึ่งพรายกระซิบกันมาผ่านกำแพงสูงกลับถูกสกัดด้วยมุมมืดของวังหลวงแห่งนี้พระราชโอรสได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์เมื่อพระราชบิดาสิ้นอายุขัย พระคู่หมั้นเข้าพิธีอภิเษกสมรสและได้ครอบครองปิ่นปักผมหงส์กนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมารดาแห่งแผ่นดิน ทั้งสองปกครองเคียงคู่กันมาจนให้กำเนิดองค์รัชทายาท เป็นที่รักใคร่เอ็นดูต่อเหล่านางกำนัลน้อยใหญ่พระราชโอรสชาญฉลาดนัก ใฝ่เรียนใฝ่รู้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นอาจิณ กระนั้นยังคงไว้ซึ่งประกายสดใสในแววตาเปล่งปลั่ง ประหนึ่งดวงตะวันน้อยที่ค่อย ๆ เจริญเติบโตและกลายมาเป็นที่พึ่งพิงของผืนฟ้าจนมาวันหนึ่ง ท่ามกลางโต๊ะไม้สักลายมังกรวางเรียงรายด้วยจานอาหาร เมื่อพระมเหสีได้ตักเนื้อข้าวเสวยเข้าไปเพียงคำเดียว เสียงช้อนเงินซึ่งค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำร่วงหล่น
"กันต์มาทำงานใกล้บ้านไม่ได้เหรอ อาไม่อยากให้เราไปอยู่ที่ไหนนาน ๆ เลย”“ผมไปอยู่นั่นแค่ปีเดียว เดี๋ยวก็ได้ย้ายมาศูนย์พระนครแล้วครับ”จนแล้วจนรอดคุณอาที่เลี้ยงดูหลานชายมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนยามนี้มีงานมีการทำก็ยังเป็นห่วงแล้วเป็นห่วงอีก กลับมาบ้านครั้งหนึ่งก็จัดอาหารชุดใหญ่เอาไว้ให้เสียอลังการ พอจะกลับไปวิทยาลัยอาเจ้าก็เอาของกินใส่ปิ่นโตมาให้ทั้งยังหาอาหารที่เก็บได้นาน ๆ จัดใส่กระเป๋าเอาไว้ กลัวว่าหลานชายจะไม่มีอะไรกินเมื่ออยู่ที่นั่นตอนนี้กันต์ธีร์โตเป็นหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาได้พ่อ กำลังเรียนต่อชั้นป.โทจากทุนที่ได้มาทันทีหลังจบป.ตรี ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในนักวิจัยพรรณพืชของวิทยาลัยแม้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนในครอบครัว ทว่าคุณอาไม่ชอบใจเท่าไรที่ที่เรียนที่ทำงานไกลจากบ้านเหลือเกิน เขาอดใจรอหลานเรียนจบ หวังจะได้กลับมาเห็นหน้าค่าตาทุกวันเหมือนวันวานกลายเป็นต้องเหินห่างกันเหมือนเดิมไปอีกหนึ่งปีเสียได้“เดี๋ยวผมจะพยายามกลับมาให้ได้ทุกสัปดาห์นะครับ”“มันจะไม่รบกวนเราไปใช่ไหมกันต์?”เดินทางครั้งหนึ่งนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายแล้วยั
กันต์ธีร์ × อาจารย์น้ำหวานคุณอานายสถานีในวัยสามสิบสี่ย่างสามสิบห้านั่งปักผ้าเตรียมทำถุงหอมให้พี่ชายคนรักและกันต์ธีร์ที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์นี้ โดยมีพี่ชายนั่งกกกอดอยู่ด้านหลังซุกไซ้ใบหน้าไปมาตามกิจวัตรอยู่บนเตียงนุ่ม แทนที่จะเรียกว่าเอือมระอาให้เรียกว่าชินชาเสียมากกว่า ทว่าอย่างไร ณ จุดจุดนี้อ้อมกอดของพี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาปักผ้าลำบากขึ้นมากนักหรอกเห็นว่ามหาวิทยาลัยกันต์ธีร์อยู่ไกลจึงจำต้องไปอาศัยพักหอในที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเอาไว้ให้ ดีที่เจ้าตัวเก่งพอจะได้ทุนการศึกษา ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จึงไม่ได้หนักหนาอะไรมาก เผลอ ๆ อาจราคาพอกันกับสมัยมัธยมเลยกระมังทว่าแม้จะผ่านมาครบหนึ่งปีที่หลานชายที่รักต้องออกไปใช้ชีวิตคนเดียวก็ยังมีเรื่องที่คุณอาคนนี้กังวลใจอยู่ไม่หาย“เฮ้อ...”“ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้ครับ ค่อยเย็บใหม่วันพรุ่งนี้”“น้องไม่ได้เหนื่อยเรื่องนั้น น้องแค่เป็นห่วงน้องกันต์”“กันต์โตเป็นหนุ่มแล้ว ปล่อยให้เขามีชีวิตเป็นของตัวเองบ้างก็ได้ ไว้มีปัญหาพี่เชื่อว่ากันต์จะมาบอก
“ด้วง เรามาโกนหนวดให้พี่ได้ไหมครับ?”ไกรวิชญ์ในทุกอาทิตย์มักจะเข้ามาอ้อนขอน้องชายถึงสิ่งนี้เป็นประจำ บางครั้งด้วงก็งงงวยว่าทำไมเจ้าพี่เมื่อก่อนก็จัดการเคราบนหน้าได้เองตามปกติแต่ทำไมหลังจากที่เขาโกนให้ครั้งแรกถึงได้ติดอกติดใจนัก“พี่เตรียมของไว้นะ เดี๋ยวผมตามเข้าไป”ด้วงซึ่งอาสาเช็ดโต๊ะทานอาหารหลังมื้อเช้าเสร็จบอกดังนั้นก่อนจะเห็นพี่ไกรเดินเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี หากเทียบตัวตนของพี่ไกรวิชญ์เมื่อปีที่เรื่องราวเกิดขึ้นล้านแปดแล้วเหมือนเป็นคนละคนตอนนั้นเขามองหน้าพี่แทบไม่ติดคล้ายจะมีรังสีความน่ากลัวแผ่ออกมาตลอด คุยกันครั้งหนึ่งต้องมีทะเลาะเบาะแว้งไม่ลงรอย แต่มาเดี๋ยวนี้พี่เจ้าแค่มองหน้าเขาก็ยิ้มร่า มักจะชอบวิ่งเข้าหามาช่วยเขาไม่ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน จนบางครั้งก็เหมือนได้เห็นภาพซ้อนของกันต์ธีร์ในวัยเยาว์อย่างไรอย่างนั้น คิดแล้วก็ขำกับตัวเอง นี่เขาเห็นพี่มีนิสัยเหมือนเด็กเล็กอย่างนั้นหรือด้วงคิดสะระตะก่อนเดินไปพาดตากผ้าขี้ริ้วกับระเบียงด้านนอก จัดแจงเก้าอี้ให้เข้าที่แล้วจึงพาตัวเองเดินเข้าห้องนอนไปทำตามที่พี่เจ้าร้องขอไว้