ด้วงเดินทางมาไม่นานก็ถึงสถานีกรุงเทพ เพราะบ้านหลักอยู่ห่างจากที่ทำงานเพียงข้ามถนนสองเส้น จึงเดินทางมาได้โดยง่ายไม่ต้องนั่งรถรางให้ยุ่งยาก
เวลานี้ท้องฟ้ายังมืดสนิทเห็นดวงจันทร์แจ่มชัด ผู้คน รถบนถนนบางตา ฝนที่ตกปรอย ๆ เมื่อคืนเมื่อสัมผัสกับผืนดินผืนหญ้าส่งกลิ่นหอมธรรมชาติโชยมาแตะจมูกชวนให้ใจสงบเงียบท่ามกลางบรรยากาศยามไร้ผู้คนในเวลาเช้าตรู่
ขาสูงยาวก้าวอย่างมั่นคงบนทางเท้า มองเหล่าแมลงซึ่งสะท้อนแสงจากโคมไฟรายทางที่พวกมันตอม พลางคิดเรื่องซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่วนอยู่ในหัวเขามาร่วมสิบปี
เขารักคนคนหนึ่ง
รักมาตลอดตั้งแต่วันที่จากลากัน
ทีแรกเขาไม่รู้สึกถึงมัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้าตัวไม่สามารถอยู่ที่แห่งนั้นได้อีกต่อไป นั่นจึงเป็นเขาเองที่ต้องพาเจ้าตัวหนีขึ้นรถไฟจากไอ้พวกคนจัญไรเหล่านั้น
ย้อนนึกไปเท่าไรก็รู้สึกเจ็บปวด ภาพทุกภาพหวนคืนเข้ามาในห้วงความคิดอย่างไม่อาจหักห้ามได้
เรือนไม้สีเข้มเก่าแก่สะท้อนแสงจันทร์ขาวนวลยามค่ำคืน สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านกระทบผิว เหล่าก้านไม้ใบไม้เสียดสีกันชวนให้ค่ำคืนสุดท้ายในที่แห่งนั้นน่าขนลุก และเสียงแปร่งหูของอดีตเพื่อนคนสนิทที่เล็ดลอดออกมาจากเรือนของไอ้โสโครกนั่น
ว่าแล้วมือทั้งก็ยกขึ้นกุมอย่างเป็นไปเอง รอยแผลขีดข่วนจากของมีคมเมื่อนานมาแล้วยิ่งพาให้นึกถึงการกระทำของกลุ่มคนอันเลวทรามที่กระทำต่อเขา
แม้เวลาจะผ่านมาจวนจะยี่สิบปี ความเจ็บปวดของโลหะคมยามมันบาดลึกลงไปบนเนื้อมือยังคงจดจำได้ไม่มีวันลืม รอยฟกช้ำจากการรุมซ้อมทุบตีทุกวันนี้แม้จะหายสนิทแต่เมื่อส่องกระจก จิตสำนึกมันยังคงฉายภาพรอยพวกนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นบุญของเขากับแม่แล้วที่หนีออกมาจากที่แห่งนั้นได้ทันทีเมื่อเกิดเรื่อง ทั้งยังมีคนรับอุปการะ
ดวงตากลมประกายสีม่วงกลาโหมส่อแววเศร้าหมองก้มมองลายบล็อกอิฐบนพื้นถนน รู้ตัวอีกทีเขาก็มาถึงที่ทำงานเสียแล้ว เดินเข้ามาถึงข้างในสิ่งที่เขามองเป็นอย่างแรกคือหน้าปัดนาฬิกาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้มาทำงานสายแล้วจึงเดินไปยังเคาน์เตอร์ตอกบัตรเข้างาน
จุดจำหน่ายตั๋วแต่ก่อนเปิดหกโมงถึงบ่ายเพราะไม่สามารถเดินรถในช่วงกลางคืนได้เนื่องจากระหว่างการเดินรถนั้นไม่มีไฟรายทางอย่างทางเท้าพระนครบรรยากาศมืดครึ้มเกรงว่าเดินทางผ่านป่าเขาจะเกิดอันตราย แต่เดี๋ยวนี้เข้าใกล้ปีห้าร้อยเทคโนโลยีดีขึ้นโขเมื่อเทียบกับสมัยเขายังอยู่ในวัยเยาว์ ทำให้บางเส้นทางสามารถเดินทางในเวลาพลบค่ำได้แล้ว จุดจำหน่ายตั๋วจึงถูกปรับเป็นหกโมงเช้าถึงสองทุ่ม
นี่ก็ใกล้เวลาที่รถไฟขบวนแรกจะเข้าเทียบชานชาลา ผู้คนที่พักค้างคืน ณ โรงแรมราชธานีต่างพากันส่งสัมภาระลงมาจากอาคารตะวันตกเก่าแก่กว่าหลายสิบปี เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดูจะครึกครื้นตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน
ขณะที่ผู้โดยสารพูดคุยถึงจุดหมายปลายทางอย่างมีความสุขในทางกลับกันเมื่อเขามองไปตามแนวหมอนรางจนสุดสายตากลับมีแต่ความเศร้าหมอง ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความสุขที่ได้มาทำงานนี้ แต่นี่คือสถานที่สุดท้ายที่เขาบอกให้บุคคลอันเป็นที่รักหนีมา
เขาคาดหวังอยู่ในทุกวันที่ก้าวเท้าเข้ามาทำงาน หวังให้คนคนนั้นเดินลงมาจากตู้รถไฟเมื่อเสียงหวูดหยุดลง หรือหวังให้มีคนคนนั้นเดินสวนทางขึ้นตู้แต่มันกลับไม่มีเลย ไม่มีใครหน้าคุ้น ไม่มีใครจะเทียบเท่าคนคนนั้นได้เพียงสักนิด
"ไอ้ด้วง มาเช้าอีกแล้วนะเอ็ง พักบ้างก็ได้ ฮ่า ๆ "
เสียงเจี๊ยวจ๊าวคุ้นหูของเพื่อนคนสนิทเข้ามาคล้องคอทักทายด้วยความสดใสร่าเริง ใบหน้าธรรมดาทั่วไปผิวสีเปลือกไข่ส่วนสูงพอกับเขา กลับกันเมื่อเทียบกับเขาที่พี่ชายบอกว่ายิ้มเก่งแล้วเจ้าตัวยิ้มได้ทั้งวัน พูดได้ทั้งวัน สนิทกับคนไปทั่ว และต่อบทสนทนาได้อย่างลื่นไหล เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเกินมนุษย์
“เอ็งอย่ามาจับน่า รำคาญ”
ด้วงกล่าวอย่างภาษาคนสนิท พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนช่างกลทั้งยังพร้อมใจมาสมัครงานในตำแหน่งเดียวกัน จะมีอะไรเหมาะเจาะไปมากกว่านี้
"กะจะเก็บไว้ให้เมียจับอย่างเดียวเลยสิ!"
“เมียอะไรไอ้แผน กูไม่คิดจะมี”
เจ้าของชื่อทำหน้ามุ่ย นั่งยองลงกับพื้นเงยหน้าสบตาพ่อหนุ่มหน้ายักษ์ แรกเริ่มเดิมทีจนถึงการเป็นพนักงานฝ่ายปฏิบัติก็ไม่เห็นเจ้าตัวจะใฝ่รักหญิงสักคน ทั้ง ๆ ที่มันเองก็ใช่ว่าจะไม่มีสาวมาวอแว กลับกันเห็นแบบนี้เพื่อนเขาเป็นคนน้ำจิตน้ำใจดี เห็นใครเดือดร้อนเป็นไม่ได้ต้องเข้าไปช่วยเหลือตรงข้ามกับหน้าตาที่ใครก็ต่างกลัว
"แล้วคนที่เอ็งรอเขากลับมาอยู่เนี่ย ไม่ได้กะจะเอามาทำเมียรึ?"
"เงียบได้แล้ว คนอื่นเขามอง"
"แหม เนียนเลยนะ"
แผนลากเสียงยาวยกมือป้องปากแซะแซวเพื่อนขี้เก๊ก เขามองไปรอบ ๆ แต่ละคนที่ลงมาจากโรงแรมไม่นั่งกินมื้อเช้าก็นั่งสัปหงกกันทั้งนั้นจะมีใครมาสนใจบทสนทนาฉันเพื่อนระหว่างพวกเขากันเล่า
ด้วงบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ เบนหน้าเมินสายตาของเพื่อนร่วมงานที่จ้องมา นายสถานีมาดเข้มลุกขึ้นกระชับปีกหมวกประจำตำแหน่งให้เข้าที่เพราะอีกไม่กี่นาทีจะถึงเวลารถไฟรอบแรกของวันเข้าเทียบ
สีดำดุจปีกกาหมองสนิทไร้แวว มองหัวรถจักร สดับฟังเรียงหวูดอย่างเหม่อลอย เสียงพูดคุยเซ็งแซ่อื้ออึงอยู่ในหัวผนวกกับเสียงเดินของผู้คนนับสิบนับร้อยซึ่งเดินขวักไขว่ ไม่ใช่แค่คนไทยแต่หลังจากรัฐบาลไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว ก็มีชาวญี่ปุ่นเดินพลุกพล่านกันมากขึ้นโดยเฉพาะทหารไม่ว่าจะนอกเครื่องแบบหรือในเครื่องแบบก็ตาม แต่ก็ยังมีอีกประเภทที่เข้ามาพักอาศัยประกอบอาชีพในประเทศก่อนหน้านั้นอยู่
“คุณดลรวี อรุณสวัสดิ์ครับ”
เสียงทุ้มต่ำกล่าวประโยคสำเนียงติดภาษาบ้านเกิดสะท้อนบุคลิกภาพภูมิฐานจิตใจเอื้ออารีของผู้เป็นอาจารย์ได้ดีเทียบเท่าแว่นกรอบสี่เหลี่ยมบนใบหน้าคมสันรวมไปถึงทรงผมดำขลับหวีจนเนี้ยบ และกระเป๋าเอกสารห้อยป้ายชื่อ ‘暖機’ (ดันกิ) อาจารย์แกเคยบอกกับเขาว่าชื่อนี้ในภาษาไทยแปลว่าความอบอุ่น แต่เพราะเขาบอกว่าพูดคำภาษาต่างประเทศแล้วไม่คุ้นปากจึงสามารถเรียกว่าคุณอุ่นได้
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณอุ่น รถไฟจะออกอีกประมาณ ๑๕ นาทีเชิญนั่งพักก่อนนะครับ”
ชายสัญชาติญี่ปุ่นพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินไปนั่งตามคำของนายสถานีผิวสีน้ำผึ้ง ในตอนที่เขามาที่นี่แรก ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จะเดินทางไปไหนคนเดียวก็ลำบาก ยิ่งในสถานีที่ผู้คนวุ่นวายเขาก็ไม่รู้จะถามใคร เพราะแค่เห็นว่าเป็นคนญี่ปุ่นก็โดนเหยียดหยาม ไม่ก็ถูกมองด้วยสายตาอันไม่เป็นมิตร แต่กับนายสถานีคนนี้กลับไม่ใช่
ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าจะขึ้นลงสถานีไหน จึงตระเวนถือกระดาษเขียนด้วยลายมือภาษาไทยเข้าไปถามแต่เจ้าหน้าที่บางคนก็ไม่อยากคุย บางคนก็วิ่งหนี จะมีก็แค่คุณดลรวีที่พยายามสื่อสารหาทางช่วยแม้ว่าตอนนั้นเขาจะยังพูดภาษาไทยไม่คล่องก็ตาม
“อาจารย์เดินทางบ่อยจังเลยนะครับ”
ด้วงประสานงานกับเพื่อนร่วมงานเสร็จเมื่อเห็นว่าเหลือเพียงแต่นั่งรอเวลาก็รวบธงแดงเขียวมานั่งสนทนาข้าง ๆ ฆ่าเวลาเสียเลย
“มหาวิทยาลัยผมอยู่ห่างจากที่นี่ครึ่งชั่วโมง”
“ผมได้ยินว่าเขาเริ่มเรียนกันตอนช่วงสาย ทำไมถึงออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงล่ะครับ?”
“ผมต้องไปเตรียมแผนการสอน เอกสารส่วนใหญ่ผมก็อยู่ที่นู่น สะดวกกว่าเอากลับมาทำที่บ้านครับ”
“อ๋อ”
นายสถานีหนุ่มอ้าปากร้องอ๋อ ทำหน้าทำตาสนอกสนใจคิดไตร่ตรองตามทำให้ผู้เป็นคุณครูยกยิ้มขึ้นตามด้วยความเอื้อเอ็นดูอย่างเป็นไปเอง
“แล้วสรุปที่ผมให้ไปครั้งก่อนได้ใช้บ้างไหมครับ?”
คุณอุ่นหมายถึงสมุดจดประโยคสำเร็จรูปสำหรับใช้สื่อสารกับชาวต่างชาติ มีทั้งจีน อังกฤษแล้วก็ญี่ปุ่น
“ได้ใช้เยอะกว่าที่คิดครับ ปกติจะพูดแต่ละคำต้องวิ่งถามคนอื่น ๆ พัลวัน ขอบคุณอาจารย์จริง ๆ นะครับ”
“พัน...ละวัน?”
“แปลว่าวุ่นวายครับ เพราะผมต้องวิ่งหาศัพท์ไปมา สวนทางคนนู้น วิ่งผ่านคนนี้ก็เลยวุ่นวาย”
“ผมไม่เคยได้ยินนักศึกษาใช้คำนี้”
“คงเพราะผมเริ่มแก่แล้วมั้งครับ วัยรุ่นสมัยนี้ใช้คำแปลกใหม่ขึ้นเยอะ”
“ผมเห็นด้วยครับ”
“คุณอุ่นเห็นด้วยที่ผมแก่ หรือเห็นด้วยที่ผมบอกว่าวัยรุ่นสมัยนี้ใช้คำไม่คุ้นหูกันครับ”
“มะ...หมายถึงอย่างที่สองต่างหากล่ะครับ ผมจะไปบอกว่าคุณแก่ได้ยังไง”
คุณครูชาวญี่ปุ่นล่กไปไม่เป็นไม่รู้เก็บมือไม้ไว้ตรงไหน เขาไม่พูดทักเรื่องอายุกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันหรอก
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผมแค่ล้อเล่นเอง ไม่ต้องพูดขนาดนั้นก็ได้”
ด้วงส่งเสียงหัวคิกคักต่อการกระทำอันน่าเอ็นดูของอาจารย์ แม้เจ้าตัวจะแก่กว่าเขาถึงห้าปีแต่ก็ยังมีมุมน่าขบขันโผล่ออกมาให้เห็นเสมอ
“ถ้าเป็นนักศึกษาของผม คุณคงโดนหักคะแนนจิตพิสัยไปแล้วนะครับ”
“แค่เพราะผมหัวเราะคุณน่ะเหรอ?”
“เพราะคุณทำผมอายต่างหาก”
“น่าอายตรงไหน น่ารักจะตาย”
ด้วงยังคงพูดไปกลั้วหัวเราะไปไม่หยุด ดันกิเห็นคนเด็กกว่าไม่ยอมเลิกจึงคิดจะดีดหน้าผากนั้นเบา ๆ สักที แต่เจ้าตัวดันหูตาไว รีบรวบก้านธงลุกออกไปจากที่นั่งเสียก่อน ทำเอาเขาต้องกระชับกรอบแว่นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สิ่งที่เหมือนกันระหว่างนักศึกษากับนายสถานีคนนี้คงจะเป็นความแก่นซนกระมัง
และเมื่อคิดกลับไปยังบทสนทนาเมื่อครู่ หากเขาใช้คำว่า ‘เขิน’ น่าจะสื่อสารได้ตรงจิตตรงใจมากกว่า ไว้คราวหน้าหากมีโอกาสค่อยพูดก็แล้วกัน
“ตื่นมาก็ทำงานเลยหรือ?”องค์กษัตริย์ไถ่ถามมเหสี ที่เคยนอนด้วยกันปกติจะเป็นเขาที่ออกมาทันทีหลังแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเนื่องจากมีราชกิจกับเหล่าเสนาบดี แต่วันนี้เนื่องจากเป็นวันดีที่จะได้ไปส่งมเหสีขึ้นเกี้ยวกลับไปเยี่ยมมารดาพวกเขาจึงตื่นสายหน่อยและให้เวลาส่วนตัวแก่มเหสีคนใหม่ จึงมาอาบน้ำด้วยตัวเอง“ข้าไม่คิดว่าท่านจะทำได้จึงมีงานวังหลังเหลืออยู่”“เช่นนั้นเจ้าก็เลือกสนมรองขึ้นมาช่วยงานสิ งานบัญชีเยอะเช่นนี้เจ้าทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”“หากข้าเลือกขึ้นมาแล้วท่านสัญญาได้ไหมว่าจะปันเวลาให้พวกนาง”เขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำสอง อย่างไรพระสนมส่วนใหญ่ถึงบางรายอาจไม่แสดงออกแต่ลึก ๆ ทุกคนล้วนต้องการความรักจากองค์จักรพรรดิทั้งสิ้น“ข้าทำไม่ได้มเหสี”“เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่ข้าจำต้องตื่นแต่เช้ามาทำงานแต่เพียงผู้เดียว”ว่าแล้วอดีตพระสนมจึงวางพู่กันลงลุกขึ้นจากเบาะรองนั่งเดินตรงไปยังส่วนอาบน้ำโดยไม่แม้แต่จะสบตาพระสวามีผู้ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ปิ่นปักผมหงส์กนกมาครองแม้วันนี้พวกเขาจะมีนัดไปเยี่ยมมารดาแต่ก็ยังคงตื่
“ท่านพี่ ท่านพี่เพคะ ท่านพี่ว่าปิ่นปักผมชิ้นนี้เข้ากับน้องไหมเพคะ?”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงในชุดผ้าแพรยาวสีสันสดใสพร้อมด้วยสองมวยผมที่จับมักเป็นมวยกลมตกแต่งด้วยดอกไม้หยกห้อยระย้าประดับกรอบหน้างามอย่างคุณหนูลูกสาวขุนนางใหญ่ เธอหยิบปิ่นปักผมดอกกล้วยไม้ขึ้นมาทาบศีรษะกล่าวถามเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่ปลอมตัวเป็นคนรวยเข้ามาเดินเล่นในชุมชนในกลางเมืองเด็กหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลผินใบหน้าแววตาเหยียดมองคู่หมั้นที่ติดสอยห้อยตามเขามาด้วย ทำเอาเสียอารมณ์ไม่ใช่น้อย แทนที่จะได้เดินดูทุกข์ราษฎรแล้วเอาไปเขียนรายงานส่งท่านอาจารย์กลายเป็นต้องมาดูแลประคบประหงมลูกคุณหนูเสียอย่างนั้น“กระจกก็มีเจ้าไม่ส่องดูเอาเองล่ะ”ไร้ซึ่งความเห็นใจ เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็งเดินสะบัดก้นหนีจนองครักษ์ซึ่งติดตามมาด้วยถึงกับทำตัวไม่ถูกเฉกเช่นเดียวกับพระคู่หมั้นที่ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้วองค์รัชทายาทในวัยสิบสองขวบปีเดินกระชับปีกหมวกคล้องลูกปัดหลบเลี่ยงมายังตรอกซอกซอยหนึ่งโดยมีองครักษ์ในชุดชาวบ้านเดินติดสอยห้อยตามมาคุ้มครองด้วย‘เดินถัดจากตลาดมานิดเดียวก็เจอศพคนตายแล้ว’
ชนชั้นในสถานที่อันปวงประชาภายนอกรั้วมองเข้ามาล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันถึงสิ่งปลูกสร้างอันประณีตงดงาม สวนดอกไม้อันเขียวชอุ่มและอาหารเลิศรสที่สามัญชนแม้เฝ้าเก็บเงินมาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถลิ้มลองจานของโอรสสวรรค์ได้ท่ามกลางความอู้ฟู่โอฬารเหล่านั้น ภาพสวยหรูที่ใครต่อใครซึ่งพรายกระซิบกันมาผ่านกำแพงสูงกลับถูกสกัดด้วยมุมมืดของวังหลวงแห่งนี้พระราชโอรสได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์เมื่อพระราชบิดาสิ้นอายุขัย พระคู่หมั้นเข้าพิธีอภิเษกสมรสและได้ครอบครองปิ่นปักผมหงส์กนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมารดาแห่งแผ่นดิน ทั้งสองปกครองเคียงคู่กันมาจนให้กำเนิดองค์รัชทายาท เป็นที่รักใคร่เอ็นดูต่อเหล่านางกำนัลน้อยใหญ่พระราชโอรสชาญฉลาดนัก ใฝ่เรียนใฝ่รู้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นอาจิณ กระนั้นยังคงไว้ซึ่งประกายสดใสในแววตาเปล่งปลั่ง ประหนึ่งดวงตะวันน้อยที่ค่อย ๆ เจริญเติบโตและกลายมาเป็นที่พึ่งพิงของผืนฟ้าจนมาวันหนึ่ง ท่ามกลางโต๊ะไม้สักลายมังกรวางเรียงรายด้วยจานอาหาร เมื่อพระมเหสีได้ตักเนื้อข้าวเสวยเข้าไปเพียงคำเดียว เสียงช้อนเงินซึ่งค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำร่วงหล่น
"กันต์มาทำงานใกล้บ้านไม่ได้เหรอ อาไม่อยากให้เราไปอยู่ที่ไหนนาน ๆ เลย”“ผมไปอยู่นั่นแค่ปีเดียว เดี๋ยวก็ได้ย้ายมาศูนย์พระนครแล้วครับ”จนแล้วจนรอดคุณอาที่เลี้ยงดูหลานชายมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนยามนี้มีงานมีการทำก็ยังเป็นห่วงแล้วเป็นห่วงอีก กลับมาบ้านครั้งหนึ่งก็จัดอาหารชุดใหญ่เอาไว้ให้เสียอลังการ พอจะกลับไปวิทยาลัยอาเจ้าก็เอาของกินใส่ปิ่นโตมาให้ทั้งยังหาอาหารที่เก็บได้นาน ๆ จัดใส่กระเป๋าเอาไว้ กลัวว่าหลานชายจะไม่มีอะไรกินเมื่ออยู่ที่นั่นตอนนี้กันต์ธีร์โตเป็นหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาได้พ่อ กำลังเรียนต่อชั้นป.โทจากทุนที่ได้มาทันทีหลังจบป.ตรี ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในนักวิจัยพรรณพืชของวิทยาลัยแม้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนในครอบครัว ทว่าคุณอาไม่ชอบใจเท่าไรที่ที่เรียนที่ทำงานไกลจากบ้านเหลือเกิน เขาอดใจรอหลานเรียนจบ หวังจะได้กลับมาเห็นหน้าค่าตาทุกวันเหมือนวันวานกลายเป็นต้องเหินห่างกันเหมือนเดิมไปอีกหนึ่งปีเสียได้“เดี๋ยวผมจะพยายามกลับมาให้ได้ทุกสัปดาห์นะครับ”“มันจะไม่รบกวนเราไปใช่ไหมกันต์?”เดินทางครั้งหนึ่งนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายแล้วยั
กันต์ธีร์ × อาจารย์น้ำหวานคุณอานายสถานีในวัยสามสิบสี่ย่างสามสิบห้านั่งปักผ้าเตรียมทำถุงหอมให้พี่ชายคนรักและกันต์ธีร์ที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์นี้ โดยมีพี่ชายนั่งกกกอดอยู่ด้านหลังซุกไซ้ใบหน้าไปมาตามกิจวัตรอยู่บนเตียงนุ่ม แทนที่จะเรียกว่าเอือมระอาให้เรียกว่าชินชาเสียมากกว่า ทว่าอย่างไร ณ จุดจุดนี้อ้อมกอดของพี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาปักผ้าลำบากขึ้นมากนักหรอกเห็นว่ามหาวิทยาลัยกันต์ธีร์อยู่ไกลจึงจำต้องไปอาศัยพักหอในที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเอาไว้ให้ ดีที่เจ้าตัวเก่งพอจะได้ทุนการศึกษา ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จึงไม่ได้หนักหนาอะไรมาก เผลอ ๆ อาจราคาพอกันกับสมัยมัธยมเลยกระมังทว่าแม้จะผ่านมาครบหนึ่งปีที่หลานชายที่รักต้องออกไปใช้ชีวิตคนเดียวก็ยังมีเรื่องที่คุณอาคนนี้กังวลใจอยู่ไม่หาย“เฮ้อ...”“ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้ครับ ค่อยเย็บใหม่วันพรุ่งนี้”“น้องไม่ได้เหนื่อยเรื่องนั้น น้องแค่เป็นห่วงน้องกันต์”“กันต์โตเป็นหนุ่มแล้ว ปล่อยให้เขามีชีวิตเป็นของตัวเองบ้างก็ได้ ไว้มีปัญหาพี่เชื่อว่ากันต์จะมาบอก
“ด้วง เรามาโกนหนวดให้พี่ได้ไหมครับ?”ไกรวิชญ์ในทุกอาทิตย์มักจะเข้ามาอ้อนขอน้องชายถึงสิ่งนี้เป็นประจำ บางครั้งด้วงก็งงงวยว่าทำไมเจ้าพี่เมื่อก่อนก็จัดการเคราบนหน้าได้เองตามปกติแต่ทำไมหลังจากที่เขาโกนให้ครั้งแรกถึงได้ติดอกติดใจนัก“พี่เตรียมของไว้นะ เดี๋ยวผมตามเข้าไป”ด้วงซึ่งอาสาเช็ดโต๊ะทานอาหารหลังมื้อเช้าเสร็จบอกดังนั้นก่อนจะเห็นพี่ไกรเดินเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี หากเทียบตัวตนของพี่ไกรวิชญ์เมื่อปีที่เรื่องราวเกิดขึ้นล้านแปดแล้วเหมือนเป็นคนละคนตอนนั้นเขามองหน้าพี่แทบไม่ติดคล้ายจะมีรังสีความน่ากลัวแผ่ออกมาตลอด คุยกันครั้งหนึ่งต้องมีทะเลาะเบาะแว้งไม่ลงรอย แต่มาเดี๋ยวนี้พี่เจ้าแค่มองหน้าเขาก็ยิ้มร่า มักจะชอบวิ่งเข้าหามาช่วยเขาไม่ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน จนบางครั้งก็เหมือนได้เห็นภาพซ้อนของกันต์ธีร์ในวัยเยาว์อย่างไรอย่างนั้น คิดแล้วก็ขำกับตัวเอง นี่เขาเห็นพี่มีนิสัยเหมือนเด็กเล็กอย่างนั้นหรือด้วงคิดสะระตะก่อนเดินไปพาดตากผ้าขี้ริ้วกับระเบียงด้านนอก จัดแจงเก้าอี้ให้เข้าที่แล้วจึงพาตัวเองเดินเข้าห้องนอนไปทำตามที่พี่เจ้าร้องขอไว้