เป็นปกติที่เมื่อมาอยู่ในที่ที่เคยเกิดเหตุการณ์ฝังใจแล้วจะนึกถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมา ตุ๊กตาซานตาคลอสในโดมแก้วที่มีหิมะตกอยู่ภายใน เธอได้จากการจับฉลากของขวัญปีใหม่ นั่นเป็นของสวยงามชิ้นแรกที่เธอได้ครอบครอง
เธอนำกลับบ้านเพื่ออวดทุกคน ซึ่งนั่นเป็นการกระทำที่ผิดพลาด เพราะเมื่อมันอยู่ในมือพี่ชายของเธอเพียงไม่กี่วินาทีก็ร่วงลงพื้นแตกกระจาย เธอร้องไห้เสียใจวิ่งไปฟ้องแม่ แต่กลับถูกแม่ดุด่า หนำซ้ำเธอยังโดนพ่อต่อว่าว่าไม่รู้จักดูแลรักษาของส่วนตัวให้ดี
นลินใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่ไหลผ่านสันจมูกลงมาจากการนอนตะแคง หลับตาข่มความหิว สุดท้ายความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวันก็ช่วยให้เธอผล็อยหลับไปอย่างยาวนาน ลากถึงตอนที่แสงแดดแยงตา
นลินดีดตัวขึ้นจากเตียง ห้องนี้เป็นห้องนอนของเธอ เธอจึงจำได้ดีว่าแสงแดดที่แยงตาหมายถึงช่วงกี่นาฬิกา เมื่อนึกได้ว่าสายมากแล้วก็รีบลุกไปทำธุระส่วนตัว เปลี่ยนชุดทะมัดทะแมงออกจากบ้านไป
การเดินเร็วแทบเป็นวิ่งทำให้แผลที่ถูกรอยเท้ากัดเจ็บจี๊ดขึ้นมา จึงลดความเร็วลงแล้วเดินช้า ๆ ออกไปนอกรั้วบ้าน เดินเลียบถนนไปทางไร่องุ่น ได้ยินเสียงรถยนต์แล่นมาใกล้นลินก็หันมอง ทั้งที่รู้แก่ใจว่าสายป่านนี้รถสองแถวที่รับส่งคนงานไปทำงานในไร่องุ่นคงไปถึงและกลับมาเรียบร้อยแล้ว
ภาพที่ต้องคอยชะเง้อคอหารถพ่อในวัยเด็กฉายชัดขึ้นมาในความคิดของนลิน ทำเอารู้สึกเจ็บแปลบอยู่ภายในใจ เธอสลัดมันทิ้งไป เร่งฝีเท้าเดินฝ่าแสงแดดที่เริ่มร้อนต่อไป มีเพียงสองเท้าของเธอเท่านั้นที่จะนำเธอไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ
ตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กแล้ว จำเอาไว้สินลิน เธอโตแล้วเธอไม่ควรร้องไห้ตอนอยู่นอกบ้าน !
นลินเดินเท้ามาถึงไร่ของนายหัวอิทธิพัทธ์ในสภาพอิดโรย สินที่ตามปกติมักวางท่าเรียบเฉยเห็นเข้ายังถึงกับขมวดคิ้ว
“สวัสดีตอนเช้าครับ ผมรอคุณอยู่นานจนคิดว่าจะส่งคนไปตาม ดื่มน้ำหน่อยไหมครับ”
คราวนี้นลินไม่ได้ปฏิเสธอีก เธอรับน้ำขวดเล็กมาจากมือของสินดื่มอย่างรวดเร็วจนหมดขวด โดยไม่ได้ฟังคำเตือนว่าให้ค่อย ๆ ดื่ม
“ถ้าพร้อมแล้วผมจะพาไปฝากคนสอนงาน” สินยังคงยิ้มตอนที่หมุนปลายเท้าเตรียมตัวเดินนำ
“ค่ะ ฉันพร้อมเริ่มงานแล้ว”
โครกคราก !
นลินยกมือขึ้นกุมท้อง สินเหลือบตามองแต่ไม่ได้พูดถึงเสียงท้องร้องเลยตลอดทางที่เดินไป
งานแรกในไร่องุ่นของนลินเป็นงานเก็บผลผลิต แต่เพราะยังไม่เป็นงานพี่เลี้ยงของเธอจึงให้ทำงานแบบเด็กฝึกงานไปก่อน
โดยการดูตัวอย่างรุ่นพี่ที่เก็บองุ่นสีแดงลูกเต่ง ๆ พวงใหญ่อวบลงแพ็กเกจ จากนั้นดันให้ไหลไปตามสายพานที่จะส่งต่อไปยังตะกร้าที่อยู่ปลายทาง ลำเลียงขึ้นรถขนส่งเพื่อกระจายขายเป็นขั้นตอนสุดท้าย
“องุ่นนี้ส่งขายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ”
พี่พร พี่เลี้ยงสอนงานของเธอให้ข้อมูล เมื่อเห็นว่าเธอมองรถ ที่จอดรับผลผลิตอย่างสนอกสนใจ
“อ๋อค่ะ”
“ถ้าดูจนเข้าใจแล้วก็ลองทำดู”
นลินลงมือทำ แต่เพราะใหม่กับงานและเรี่ยวแรงเหลือน้อย จึงเผลอทำองุ่นขาดไปหลายพวง ทำแพ็กเกจฉีกขาดอีกห้าชิ้น
“อันที่เสียที่แยกไว้น่ะกินได้นะ” พรชี้ไปยังกององุ่นที่ถูกแยกออกไปวางอยู่ข้างตัว จากการถูกนลินทำให้พวงขาดจนกลายเป็นตำหนิ
ท้องของนลินร้องโครกครากขึ้นมาอีกครั้งจนเพื่อนร่วมงานส่งเสียงรำคาญในลำคอ
“กินได้จริงเหรอคะ” เธอยังคงลังเล
ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในไร่เธอรู้ดีว่าไม่เป็นที่ต้อนรับของนายหัวมากนัก การที่คนมีอัธยาศัยอย่างสินจะทำเป็นไม่ได้ยินเสียงท้องเธอร้อง หรือแม้แต่จะถามไถ่การเดินทางมาทำงานของเธอ คงไม่พ้นเป็นข้อปฏิบัติที่ตานี่ตั้งเอาไว้ ดังนั้นจะหยิบจับอะไรเธอก็อยากให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดปัญหา
“กินได้ เลิกงานก็เอากลับบ้านไปด้วยได้เลย”
“ค่ะ” เธอยากจนถึงขั้นไม่กล้าซื้ออาหารตามสั่ง เรื่องอะไรจะทำหน้าบางปฏิเสธของฟรี
องุ่นลูกอวบอ้วนลูกแรกถูกส่งเข้าปาก ตอนที่เคี้ยวแล้วน้ำชุ่มฉ่ำแตกกระจายไปโดนต่อมรับรสหวาน ส่งผลให้องุ่นลูกนั้นมีรสชาติที่อร่อยล้ำ เธอส่งลูกที่สองเข้าปาก ลูกที่สาม สี่ ห้าจนหมดพวง ท้องที่แสบร้อนเพราะขาดอาหารรู้สึกอุ่นวาบ น้ำย่อยน้ำกรดถูกส่งออกมาย่อยอาหารอย่างกระตือรือร้น
“เอ่อนี่หนู”
นลินเงยหน้าขึ้นเมื่อมีคนเดินมาคุยด้วย
“หนูเป็นลูกของตาเสริฐกับยายวิใช่ไหม”
“ค่ะ หนูชื่อลินนะคะ”
“อ้อ” คนงานวัยกลางคนตอบกลับเพียงเท่านั้นก็เดินจากไป ก่อนไปได้ชำเลืองมององุ่นในมือของเธอแว็บหนึ่งด้วย
นลินก้มมององุ่นในมือด้วยความกังวล รู้สึกหวั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อมีเสียงซุบซิบดังมาจากโซนงานที่ป้าคนนั้นเดินมาถามว่าเธอเป็นลูกของพ่อแม่หรือเปล่า
เธอไม่ชอบแบบนี้เลย จึงตั้งใจจะลุกเข้าไปถาม แต่กลับถูกคนงานที่ยืนแพ็กองุ่นอยู่แถวถัดไปตะคอกสั่งให้เลิกอู้งานเสียที
กว่าจะเลิกงาน ร่างกายอันอ่อนล้าของนลินก็แทบลากสังขารมาเกือบไม่ถึงจุดรอรถสองแถว อีกทั้งยังหนักองุ่นเกือบห้ากิโลกรัมที่ถือติดมือมาด้วย
มีคนงานกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา นลินอ้าปากร้องทัก แต่คนงานกลุ่มนั้นก็ทำเหมือนอีกหลาย ๆ คนในไร่ นั่นคือการเดินเลี่ยงออกห่าง ทำท่าไม่อยากขานตอบ
“ทำไมทุกคนถึงไม่ชอบเรานะ”
นลินถามตัวเอง และเมื่อนั่งรออยู่จนแน่ใจว่าจะไม่มีรถสองแถวมารับ ก็ลุกขึ้นแล้วออกเดินเท้าเช่นตอนขามา
ไกลออกไปยังมุมหนึ่งของไร่ มีชายร่างสูงบนรถกอล์ฟที่จ้องมองร่างแบบบางเดินลากขาออกไปโดยไม่ได้พูดอะไร มีเพียงสินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
“กว่าจะทำความสะอาดเรือนไทยกับสำนักงานเสร็จ รถสองแถวก็ไม่อยู่รอเธอแล้ว ต้องเดินทั้งขาไปขากลับ และดูเหมือนว่าทั้งวันเธอจะไม่ได้กินอะไรนอกจากองุ่นพวกนั้นที่เธอคิดว่าได้ฟรี”
“ถ้านายใส่ใจแม่นั่นมากนัก พรุ่งนี้ก็ตักกับข้าวในโรงครัวแยกไว้ต่างหากสิ แล้วถ้ากลัวว่าแม่นั่นจะเหนื่อยเดินนายก็ใช้เงินเก็บส่วนตัวซื้อรถเก๋งให้สักคัน หรือจะใช้หนี้แทนแม่นั่นเลยก็ได้ ไม่แน่นะว่านายทำดีครั้งนี้อาจจะได้สิ่งตอบแทนแบบถึงใจ”
“นายหัวก็พูดไปผมจะทำสิ่งที่ขัดคำสั่งนายหัวได้ยังไง ลูกหนี้ของนายหัวก็คือสมบัติของนายหัว ผมไม่กล้า”
“ไม่กล้าก็ดี ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า…” ประโยคหลังไม่ได้หลุดออกมาจากปากของอิทธิพัทธ์ ประโยคหยามเหยียดว่าแม่นั่นจะทนได้อีกสักกี่น้ำก่อนจะหันมาพยายามปีนเตียงเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ
อิทธิพัทธ์อมยิ้มเล็กน้อย โน้มตัวลงบดจูบริมฝีปากบวมแดงอย่างหลงใหลแค่นลินเผยอปากเพียงนิดเดียว ลิ้นอุ่นของอีกฝ่ายก็เข้ามากวาดความหวานอย่างตามใจ ไม่รู้ว่าจูบนั้นเพลิดเพลินและโหยหากันและกันมากแค่ไหน พอรู้ตัวอีกทีแผ่นหลังของเธอก็นาบลงบนเตียงนุ่ม ส่วนผัวรักของเธอก็ยังคงรักษาคอนเซปต์ของความป่าเถือนอย่างคงเส้นคงวาแคว่ก ! เพนตี้ลูกไม้ขาดถูกโยนออกไปไกล“นี่ ! นายหัว ฉีกมันอีกแล้วนะ ไอ้โรค อื้อ…”คำว่า ‘จิต’ ค้างอยู่ในลำคอเมื่อลิ้นอุ่นเลื่อนลงไปทักทายกลีบกลางอย่างรวดเร็ว“ลิน หวานมาก” เขาหยุดแล้วส่งเสียงอู้ ๆ อี้ ๆ บอกเธอก่อนจะทำการชำแหละหาความหมอหวานต่อนลินดิ้นเร่าอ้าขาออกกว้างอย่างหน้าไม่อาย แน่นอนว่าเธอคิดถึงความสุขสุดยอดนี้แค่ไหน นึกว่าอีตาผัวกระทิงควายจะกลายเป็นโรคประสาท สมองกลับจนไม่ทำแบบนี้ให้เธออีกต่อไปแล้ว โอ้วววแม่เจ้า ขอต้อนรับกลับบ้านค่ะนายหัวผัวกระทิงควาย นลินคิดในใจขณะเคลิบเคลิ้มวิ่งเล่นอยู่บนดวงจันทร์“ฉัน อื้อ เสียว ไม่ไหวแล้วค่ะนายหัว”อิทธิพัทธ์หยุดการเคลื่อนไหว นั่นทำให้นลินยิ่งประหลาดใจ ดวงตาพร่าสวาทกำลังเพลิดเพลินอยู่นั้นก็กว้างขึ้น นัยน์ตาดำขลับมีรูปเครื่องหมายคำถาม ( ?
พยายามจะสะกดใจ แต่…นลินถือไดร์เป่าผมสะบัดไปมาบนผมเปียกที่พึ่งสระเสร็จอยู่หน้ากระจก ท่าทางของเธอเหมือนตั้งใจจะให้ผมนั้นกลับมาแห้งสสวยโดยเร็ว ๆ ทว่าจริงแล้วดวงตากลมโตไม่ได้สนใจผมของตัวเองสักนิด แต่กำลังมองผ่านกระจก ดูเรือนร่างกำยำที่ใส่ผ้าขนหนูในลักษณะหมิ่นเหม่ กำลังเช็ดผมแบบลวก ๆ ทำท่าเหมือนจะอ่อยเธอ นลินนึกถึงเมื่อตอนบ่ายของวันนี้ที่สินประกาศดังลั่น“เอาล่ะทุกคนตอนนี้นายหญิงของไร่ร่างกายอ่อนเพลียมากต้องการพัก เชิญทุกคนไปสังสรรค์ร้องโฮ่ฮู้กันต่อได้ที่โรงอาหาร”เสียงเฮดังลั่นขณะที่เรือนร่างของเธอถูกว่าที่เจ้าบ่าวอุ้ม ตอนนั้นเธอเข้าใจว่าคงต้องปรนเปรอนายหัวกระทิงควายเป็นแน่ เธอคิดถึงเขา เขาคิดถึงเธอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากการกลับมาเจอกันอีกครั้งจะกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์แบบนันสต็อปทว่ากลับผิดคาดเมื่อเขาวางตัวเธอลงบนโซฟาห้องรับแขก ตรงหน้าคืออาหารชั้นดีบำรุงครรภ์ พยาบาลบอกด้วยหน้าตา ยิ้มแย้มแจ่มใส ตามมาด้วยยาสำหรับคุณแม่ท้องอ่อน แน่นอนว่าตานายหัวอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับเธอ“นายหัวกินข้าวได้เยอะแบบนี้ผมก็เบาใจ”“นายไปร่วมส
“ทำไม คุณเสียใจมากหรือไงที่ฉันท้อง หรือคุณจะหาว่าฉันท้องกับคนอื่น”“ลิน” อิทธิพัทธ์ทำหน้าตกใจ เมื่อหันกลับไปพบนลินยืนเท้าสะเอวอยู่ จึงถามเสียงสั่นว่า“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”“ไม่สำคัญหรอก” เธอบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกตามตรงว่าเธอมาตั้งแต่ตอนที่เขาพูดคุยกับนายหัวหนุ่ยทำให้เธอเพิ่งรู้ถึงเหตุผลอันแท้จริงของการที่เขาไล่เธอออกไปจากไร่ และเขายอมเสี่ยงแค่ไหนเพื่อจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง มันทำให้ความโกรธในใจหายไปราวกับปลิดทิ้ง แทนที่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง เขาเป็นคนเดียวในชีวิตที่ยืนหยัดเพื่อเธอมากขนาดนี้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเธอยอมกลืนน้ำลายตัวเอง“ฉันไม่เคยคิดว่าเธอท้องกับคนอื่นเลยนะ ฉันมั่นใจว่าลูกเป็นลูกของฉัน ฉันถึงได้ซื้อของใช้เด็กอ่อนเอาไว้มากมายรอลูกของเรา ฉันอยากให้ลูกเกิดมาบนความพร้อม และความรัก ฉันสัญญาว่าจะทำหน้าที่พ่ออย่างดีที่สุด จะไม่ทำให้ลูกขาดความอบอุ่น หรือรู้สึกต่ำต้อยกว่าคนอื่น ลูกอินทร์ชื่อลูกของเรา มาจากลินกับอิทไง ฉันตั้งเอง”นลินขมวดคิ้วให้กับชื่อนั้น“เห็นไหม บอกแล้วว่าฉันตั้งใจกับหน้าที่พ่อมากแค่ไหน และฉันสัญญาว่าจะเป็นสามีที่ดี เราคืนดีกันนะ”“ง่ายไปหรือเปล่า”“อะไรง่าย”
26 เหตุผล“มีอะไร” อิทธิพัทธ์ถามเสียงขุ่น ยกมือออกจากหน้าขาของอีกฝ่ายนลินรู้สึกขัดเขินกับความใกล้ชิดต่อหน้าคนอื่น จึงดึงผ้าห่มขึ้นห่มถึงคาง เบือนหน้าออกไปทางหน้าต่างมองแปลงองุ่นที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา“นายหัวหนุ่ยโทร. มาครับ แจ้งว่าต้องการคุยกับนายหัวด่วน คงจะเป็นเรื่อง…”สินหยุดพูดไปเท่านั้น แต่ทุกคนก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่าคงเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้ นอกจากเรื่องที่เขาพานลินเข้าบ้านนี่เป็นการผิดสัญญาที่เขาเคยรับปากกับนายหัวหนุ่ยไว้ ตอนที่ให้นลินย้ายออกไป เขาถูกนายหัวหนุ่ยเรียกพบเพื่อพูดคุยกันเรื่องนี้ ความจริงแล้วนายหัวหนุ่ยไม่ได้สนใจว่าเขาจะนอนกับใครหรือไล่ใครออกจากงาน ที่เขาสนใจเรื่องนี้เพราะมันกระทบกับลูกสาวของเขา นั่นย่อมหมายถึงกระทบกับตัวเขาเช่นเดียวกันการที่อิทธิพัทธ์ยอมหักหน้าภาพิมลเพื่อแม่บ้านคนเดียว เป็นเรื่องที่รู้ถึงไหนอายเขาไปถึงนั่น ลูกสาวของเขาถึงจะผิดจะถูกอย่างไรก็เป็นคุณหนูชาติตระกูลดี จะปล่อยให้ถูกคนงาน เยาะเย้ยว่าแพ้แม่บ้านก็เหลือทนนายหัวหนุ่ยบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าเรื่องนี้ตนรับไม่ได้ ในเมื่ออิท
แน่นอนว่าลูกค้าคนสำคัญทำให้เธอมีเงินเหลือเก็บ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันจะเป็นเพียงระยะเวลาอันสั้น เด็กสมัยนี้โตไวซื้อของไปก็ใช้ได้แค่แป๊บเดียวเอง เธอจึงอยากหาลูกค้าแบบนี้เพิ่มหลังจากปล่อยให้ความคิดของตัวเองล่องลอยไปได้เพียงไม่นาน นลินก็กลับมาสนใจออเดอร์ของลูกค้าอีกครั้ง จัดแจงกดเบอร์ในมือถือโทรไปยังร้าน ‘โลกของเด็ก’ เป็นร้านขายของใช้เด็กของป้าสวย เพื่อสอบถามสต๊อกและยืมรถสำหรับนำส่งลูกค้าประจำคนนี้เมื่อถึงเวลานัดส่งมอบสินค้า นลินกับเบิ้ม เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี เป็นหลานชายป้าสวย ได้ไปตามสถานที่นัดก่อนเวลานัดหมายสิบนาที และพบว่าพี่ลูกอินทร์ก็มาก่อนเวลาเช่นเดียวกันแต่ผิดคาดเล็กน้อยเมื่อพบว่าลูกค้าดีเด่นคนนี้เป็นผู้ชาย แล้วยังเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่เธอคิดจะขายของใช้เด็กอ่อนให้ !“นายหัว !”“เธอจะตะโกนทำไม” อิทธิพัทธ์สวมแว่นตาดำ ทำให้มองไม่เห็นแววตาของเขา แต่จากสีหน้าสามารถบอกได้ว่าเขารู้สึกพอใจ“ฉันเอาของมาแล้ว ฉันไม่ได้เอามาให้นายหัวเล่นสนุกนะ”“ใครบอกเธอว่าฉันเล่นสนุก ฉันจะซื้อทุกอย่างจริง ๆ”“นี่มันของใช้เด็กอ่อน”“แล้วไง”“ถามมาได้ว่าแล้วไง นายหัวไม่มีลูกจะซื้อของพวกนี้ไปทำไม อ๋อ แล้วที
“ฉันนึกว่าเมื่อรู้แล้วว่าฉันปลดหนี้ได้ แม่จะกลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเมื่อก่อนก็ได้น่ะ” ต่อให้รู้สึกห่างเหินกับมารดา ที่ตอนนี้มีศักดิ์เป็นป้า แต่นลินก็คือนลินเด็กกตัญญูอย่างไรเล่า จึงไม่อาจละเลยที่จะไม่เลี้ยงดู“แกปลดหนี้ได้แล้วเหรอ หนี้ที่พวกฉัน…” หญิงวัยกลางคนละอายใจเกินกว่าจะพูดต่อ“ฉันนึกว่าแม่รู้”“ไม่รู้ ดูเหมือนว่านายหัวจะไม่ไว้ใจ กลัวว่าฉันจะมาเกาะแกกินเลยไม่ยอมบอกเรื่องนี้”“ถ้าแม่กับมินตราสัญญาว่าจะปรับตัวใหม่ ตั้งใจทำมาหากิน จะกลับมาอยู่ด้วยกันฉันก็ไม่ว่า”“แกเป็นคนดีจริง ๆ ลิน น่าเสียดายที่แกต้องอยู่ในการเลี้ยงดูของฉัน ถ้าแกได้อยู่กับแม่แท้ ๆ หรือตายายของแก ชีวิตของแกคงจะมีแต่ความสุข”“พวกเขาไม่ได้เป็นคนเลี้ยงฉัน แต่แม่เป็นคนที่เลี้ยงฉันมา ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง และสำหรับกำไลทองนี่ ทั้งที่แม่จะขายทิ้ง เอาเงินมาใช้จ่ายเหมือนสมบัติชิ้นอื่น ๆ ของแม่ฉันก็ได้”วิภาวีพยักหน้าเล็กน้อย แววตายังคงเศร้าปนระอายใจ“ถือว่ามันเป็นสิ่งดีสิ่งเดียวที่ฉันมอบให้ก่อนจากกันก็แล้วกัน เอาล่ะ นี่ก็ดึกแล้ว ฉันจะกลับก่อน”“แม่จะกลับยังไง”“อ๋อ มีพลเมืองดีไปรับไปส่งน่ะ ไม่ต้องงง คนพวกนี้เป็นลูกน้องของ