ภาพและเรื่องราวตะกี้มันคืออะไร “นี่เราสองคนเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม” เจ้าวั่งซูเหมือนฟื้นจากภวังค์ และ มองที่ฮวาเฟยฟา แม้ภาพจำจะเลือนราง ยังไม่ชัด ความทรงจำที่วิ่งเข้ามายังไม่อาจปะติดปะต่อ บรรยากาศรอบตัวดั่งใบไม้ร่วง และ ดวงหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าที่สะกดใจตัวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เค้าก็มั่นใจว่าคนนี้คือคนสำคัญในชีวิตเค้า
“ใช่ไม๊! เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊ โปรดบอกข้าที” เจ้าวั่งซู เอ่ยถามซ้ำ
ฮวาเฟยฟาหลับตาก้มหน้ายิ้มมุมปาก “ใช่สิเจ้าก็ต้องเห็นและรู้สึกเหมือนที่ข้ารู้สึกสินะ”
“เรื่องราวในความทรงจำเมื่อกี้มันคืออะไร มันช่างคุ้นเคยเหมือนกับข้าเคยผ่านมันมาเอง ไม่ใช่สิเหมือนเป็นเรื่องคนอื่นที่ข้าไปเป็นและรู้สึกแทนเค้า เค้าคนนั้นคือใคร? ทำไม? และทำไมถึงมีท่านในนั้น?” เจ้าวั่งซูเอ่ยถามวกวนสงสัย
“เจ้าคิดว่าพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม
“ใช่! ข้ามั่นใจว่ามีท่านในความทรงจำที่ผ่านเข้ามา แต่ข้าไม่รู้ว่าท่านคือใครและข้าคือใคร” เจ้าวั่งซูตอบยืนยัน
“ข้าก็คิดเหมือนเจ้า เจ้าคิดอะไรข้าก็คิดแบบนั้น ข้าคิดเหมือนเจ้าทุกอย่าง ซูซู” ฮวาเฟยฟาเอ่ยกำกวม
เจ้าวั่งซูมองหน้าฮวาเฟยฟาและงง คิดในใจ “สรุปมันแปลว่าอะไร”
“มันนานมากแล้วนะ ที่ข้าเคยรอเจ้าอยู่ตรงนี้” ฮวาเฟยฟาหันมายิ้มอ่อนโยนมองเจ้าวั่งซู ทั้งสองมองสบตากัน คล้ายระลึกผูกเชื่อมโยงความรู้สึกถึงกัน
แสงอาทิตย์ยามสายกระทบผิวน้ำสะท้อนวิบวับงดงาม เสียงน้ำตกที่ตกกระแทกพื้นน้ำดังเป็นท่วงทำนองที่หนักหน่วง ละอองน้ำที่แตกกระเซ็นใส่ดอกไม้พืชพันธุ์รอบบริเวณ เสียงนกร้องเคียงคู่กัน หงส์ป่าที่ว่ายน้ำคลอเคลียกัน เราสองจะไม่พรากจากกันนิรันดร์ เจ้าวั่งซู่ยืนมองฮวาเฟยฟา ในดวงตาคล้ายเข้าใจความหมายของคำๆ นั้น และในใจก็ตอบกลับไปอย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณนะ ที่เจ้าไม่เคยทอดทิ้งข้าไปไหนเลย มันอาจจะนาน แต่ข้าสัญญาว่าจะไม่ทิ้งให้เจ้าต้องรออีกต่อไป” บรรยากาศใบไม้ร่วงรอบด้านเริ่มหยุดลง เหล่าบรรดาพืชพันธุ์ต่างคืนชีวิตกลับสู่บรรยากาศแห่งภพพืชพันธุ์ปกติ
“แต่ข้าไม่เข้าใจ ข้าจำอะไรไม่ได้ ปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรไม่ได้เลย มีแค่ความรู้สึกที่คุ้นเคย สุข เศร้าเจ็บปวด เต็มไปหมด” เจ้าวั่งซูกล่าว
“เจ้าอย่ากังวลเลย เดี๋ยวเจ้าก็จำได้ และยิ่งมีข้าอยู่ด้วยข้างๆ เจ้าแบบนี้ ข้าคนนี้ไม่ปล่อยให้เจ้าลืมนานขนาดนั้นหรอก” ฮวาเฟยฟาพูดยิ้มเจ้าเล่ห์
“นี่! เค้าจะทำอะไรข้ากันแน่คนนี้” เจ้าวั่งซูคิดในใจ “เอ่อ ข้าไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ขอบคุณเจ้าด้วยละกัน”
“ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงนั่งลงตรงนั้น ทั้งๆ ที่บอกจะลงน้ำกัน ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม
“ข้ารู้สึกได้ว่าวันนี้ ตรงนี้ ในอดีต ข้าเคยทำของสำคัญหล่นหาย ข้าเลยหามันและคิดว่าจะกลับคืนมา ที่นี่คือจุดเริ่มต้น” ฮวาเฟยฟาพูดอมยิ้ม
“ของสำคัญหรอ คงสำคัญกับท่านมากใช่ไม๊” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม
“ไม่ใช่แค่มาก แต่ มากที่สุดในชีวิต” ฮวาเฟยฟาพูดและหันมายิ้ม เจ้าวั่งซูมองเขิลทั้งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร
“เอ๊ะ! หรือร่างที่เห็นทับซ้อนกันในนิมิตรคือปู่ทวดข้า!? เหอะๆ! แต่ตัวข้าเองก็เหมือนมีป้ายตระกูลเจ้าแขวนอยู่บนหน้าผากตลอดเวลาอยู่แล้ว ข้าเดินไปไหน คนหันมามองและเสียงซุบซิบนินทาเรื่องบรรดาเจ้าวั่งซูรุ่นก่อนๆ ก็ดังมาก ข้าไม่เข้าใจ! แม้ชื่อข้าจะเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า แต่หน้าข้าไม่ได้เหมือนพวกเค้าสักหน่อย ข้าก็แค่เด็กคนหนึ่งที่ได้ตกทอดเคียวสู่ภพมาต่อๆ จากตระกูลข้า แต่ทำไมทุกคนถึงได้จับจ้องข้าไม่วางตา เสมือนว่าข้าผู้นี้เป็นทำการระเบิดครั้งใหญ่นั่น” เจ้าวั่งซูกอดอกบ่นคับใจ
“เจ้าพูดแบบนี้ แสดงว่า เจ้าไม่เคยเห็นเหล่าเจ้าวั่งซู โดยเฉพาะผู้เลื่องชื่อรุ่นที่ 1 สินะ” ฮวาเฟยฟาอมยิ้มเอ่ยถาม
“หา! เออไม่เคยนะ! แต่มันหลายร้อยหลายพันปีมาแล้ว ข้าจะไปหารูปมาจากไหน ว่าแต่ทำไมเจ้าเคยเห็นหรอ หน้าตารูปร่างท่านปู่ทวดข้าเป็นยังไง” เจ้าวั่งซูเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“เจ้าลองดูในน้ำนั่นสิ” ฮวาเฟยฟาเอ่ย
“หือ! อะไร มีอะไรในน้ำ” เจ้าวั่งซูถามพร้อมนั่งยองๆ ลงริมน้ำและมอง เห็นหน้าตัวเอง “ก็ไม่เห็นมีอะไร หนิ เจ้าจะให้ข้าดูอะไร” สักพักภาพหน้าในน้ำถูกซ้อนทับด้วยใบหน้าอีกคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่งองค์ทรงเครื่องเหมือนตัวเค้าเอง และ “เดี๋ยวนะ เอ๊ะ หน้านี้มันหน้าข้าหนิ” วั่งซูตกใจ ร้อง “เฮ้ย” ขาก้าวถอยหลังออกจากน้ำสะดุดล้มลงก้นจ้ำเบ้า แต่สติก็ยังไม่มา
“หรือๆ ว่า เจ้าวั่งซูรุ่นที่ 1 ก็คือ......!?” เจ้าวั่งซูหันหน้าเหวอตกใจไปทางฮวาเฟยฟาที่นั่งอยู่บนก้อนหินยักษ์ใต้ต้นไม้ใหญ่
ฮวาเฟยฟากล่าวตอบ “ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เจ้าต้องรู้ ข้าถึงบอกไง ว่าข้าไม่ปล่อยให้มันนานเกินไปหรอก” ฮวาเฟยฟาหันมาอมยิ้มทำตาพริ้ม
“ห่ะ! นี่เจ้าๆ นี่ข้าอยู่กับเซียนบทสวรรค์หรือปีศาจจากนรก คนๆ นี้เป็นคนยังไงกันแน่นะ” เจ้าวั่งซูคิดหวั่นในใจ
“สำหรับเรื่องเจ้าวันนี้พอแค่นี้ก่อน ไปกันเถอะ” ฮวาเฟยฟาเอ่ยชวนพร้อมก้าวเท้าลงจากหินยักษ์
“ไปไหน” เจ้าวั่งซูถาม
“ไปทำในสิ่งที่เจ้าทำค้างไว้ไง” ฮวาเฟยฟาเอ่ยยิ้มอ่อนโยน
ในหัวเจ้าวั่งซูเหมือนความทรงจำในอดีตลอยมาแว่บนึง พร้อมเสียงแผ่วกระซิบ “สุราดอกซ่างฮัวหลัว ไปกันเฟยเฟย พวกเราต้องเป็นคนแรกที่ได้กินปีนี้”
“ดื่มสุราดอกซ่างฮัวหลัวจอกแรกของปีที่ฝังอยู่ใต้ต้นไม้แห่งชีวิตในกระจกภพพืชพันธุ์” เจ้าวั่งซู ได้สติก็ “เอ๊ะข้าพูดอะไรไป”
“ว่าแต่พวกเราจะดำน้ำลงไปหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยสงสัย
ไป่ชิงหลงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทั้งสาม และคายไอฟองอากาสห่อหุ้มร่างทั้งหมด และช้อนอุ้มขึ้นไว้ในกรงเล็บมือทั้งสองที่แข็งแรง ดวงตาสีฟ้าดุจไพลินเปล่งแสงแหวกทางน้ำร่างกายเกล็ดสีขาวสะท้อนดั่งไข่มุก กระโจนตัวทะยานดำดิ่งลงด้านล่างพื้นน้ำอย่างรวดเร็ว
ภายใต้ผิวน้ำนั้นเต็มไปด้วยเส้นรากแก้วเปล่งแสงสีฟ้าระยิบระยับ รากของต้นไม้แห่งชีวิตที่ชอนไชทั่วบริเวณเพื่อถ่ายทอดพลังชีวิตให้แก่ทุกสรรพสิ่ง บรรยากาสใต้น้ำสว่างงดงามมีพืชพันธุ์แปลกๆ มากมายหลากสีสัน เชื่อมต่อกับรากของต้นแม้แห่งชีวิตเปล่งแสงสว่างขยับมีชีวิตทั่วบริเวณ นี่คือสวรรค์ใต้น้ำ ในขณะที่ไป่ชิงหลงดำดิ่งลึกลงเรื่อยๆ ผ่านพืชพันธุ์รอบด้านนานา ก็เริ่มรู้สึกถึงการบีบรัดและอึดอัด บรรยากาศรอบด้านเริ่มแปลกๆ ไป เหล่าต้นไม้เริ่มยืดกิ่งก้านมุ่งหมายเข้ารัดจับตัวชิงหลง และบางต้นกลับมีฟันเขึ้ยวแหลมคมพุ่งเข้าโจมตี แต่ชิงหลงมีบาเรียหุ้มร่างกายไว้จึงไม่สะทกสะท้านอะไร
“นี่พวกต้นไม้พวกนี้ล้วนมีชีวิต จากพลังจากต้นไม้แห่งชีวิตด้านบน ข้าเข้าใจว่า หลานหลี่เซ่อ คือคนจำลองทุกอย่างที่นี่ขึ้น และเป็นคนเติมพลังชีวิตให้สิ่งเหล่านี้ แต่ทำไม มันถึงได้สามารถให้พลังชีวิตได้เหมือนต้นจริงที่มีชีวิตอยู่ที่ภพพืชพันธุ์” เจ้าวั่งซูถามสงสัย
“เฟยเฟย เจ้าเคยเห็นภพพืชพันธุ์ของจริงไม๊ มันเป็นตามตำราว่าไว้หรือไม่”
“บรรยากาศภพท้องฟ้าเปิดสว่าง มีเพียงพันธุ์พืชหลากสีสัน พืชบก พืชน้ำ พืชผล พืชใบ พืชยืนต้น พืชล้มลุก ดอกไม้นานาพันธุ์เกิดโตทอดกายทับซ้อนกัน ทำให้บรรยากาศโดยรวม บางส่วนคล้ายโลกบรรพกาล พันธุ์ไม้และดอกไม้มากมายในภพนี้ คือสิ่งที่หายากทั้งหมด และไม่สามารถพบได้ในภพไหนๆ เพราะมีการผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์ของพันธุ์พืชมากมายที่นี่ ในตำรากล่าวว่า
จะมีดวงจิตปฏิสนธิจากภพเดรัจฉานเพียงชนิดเดียวที่สามารถอยู่ร่วมและขยายพันธุ์ในภพพืชพันธุ์ได้นั่นคือ “ผีเสื้อราตรี” ผู้ที่ทำหน้าที่ช่วยนำเกสรของพืชต่างพันธุ์เข้าผสมข้ามพันธุ์เพื่อขยายพืชต่างๆ ให้เจริญแตกแขนงสายพันธุ์ระเบิดออก ผีเสื้อราตรีโดยปกติจะกระจุกตัวอยู่รอบต้นไม้แห่งชีวิต เพื่อรับไอแห่งชีวิต เฉกเช่นเดียวกับพืชอื่นๆ ในภพนั้น
ในอดีตกาลที่เกิดเหตุระเบิดที่จัตุรัสเฟิงสุ่ย ทำให้เมล็ดพืชพันธุ์นานาชนิดแตกระเบิดกระจายและไปกำเนิดภพภูมิอื่นๆ แต่ก็น้อยนักที่จะยังสามารถมีชัวิตรอดและเจริญเติบโตในรูปแบบเดิม จะเหลือเพียงการเปลี่ยนรูปทรงให้ง่ายขึ้นไร้ความประหลาด และความงามที่น่าฉงน กลับคงไว้เพียงรูปลักษณ์ของต้นไม้ดอกไม้ปกติที่พวกเราได้เห็น เช่น เหล่าพืชพันธุ์ในภพมนุษย์ก็เช่นกัน และที่สำคัญคือพืชพันธุ์ที่จุติต่างภพจะไร้วิญญาณตั้งอาศัย นั่นหมายความว่า ในขณะที่เผ่าพันธุ์ต้นไม้ดอกไมที่ปฏิสนธิที่ภพพืชพันธุ์ จะสามารถพูดขยับและมีพลังจักราไม่ต่างจากดวงวิญญาณในภพอื่นๆ นั่นก็เพราะต้นไม้แห่งชีวิต เหล่าพืชพันธุ์จะเชื่อมต่อรับพลังและกำเนิดดวงจิตเปล่งแสงขยับ ปกป้อง และโจมตี ได้ แต่จะสูญเสียดวงจิตนั้นไป คงเหลือเพียงร่างพืชพันธุ์ยืนต้นธรรมดาในภพนั้นๆ เพราะขาดไร้ซึ่งพลังจากต้นไม้แห่งชีวิต”
“ถ้าอย่างั้น เจ้าคิดเหมือนข้าไม๊ ว่าที่นี่แหล่ะคือภพแห่งพืชพันธุ์” เจ้าวั่งซูเอ่ยกับฮวาเฟยฟา
ทั้งสองนิ่งและมองหน้ากัน แล้วทำไมภพพืชพันธุ์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ มันมีอยู่เพื่อจุดประสงค์อะไร คงมีแต่หลานหลี่เซ่อเท่านั้นที่ให้คำตอบได้ แต่เค้าไม่ได้อยู่ที่เรือนตอนที่พวกเราเข้ามา หลานหลี่เซ่อ ต้นไม้แห่งชีวิต ลำธารแห่งชีวิต สุราดอกซ่างฮัวหลัว กระจกพืชพันธุ์ และภพพืชพันธุ์ เหล่านี้ข้องเกี่ยวกันอย่างไร
“ข้ารู้สึกกลิ่นไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้” เจ้าวั่งซูเอ่ย
เฟยฟาพยักหน้ารับแบบเห็นด้วย “งั้นพวกเราเริ่มจากปมแรก “สุราดอกซ่างฮัวหลัว” หาให้เจอน่าจะมีเบาะแสชี้นำไปสิ่งอื่น”
ภาพและเรื่องราวตะกี้มันคืออะไร “นี่เราสองคนเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม” เจ้าวั่งซูเหมือนฟื้นจากภวังค์ และ มองที่ฮวาเฟยฟา แม้ภาพจำจะเลือนราง ยังไม่ชัด ความทรงจำที่วิ่งเข้ามายังไม่อาจปะติดปะต่อ บรรยากาศรอบตัวดั่งใบไม้ร่วง และ ดวงหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าที่สะกดใจตัวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เค้าก็มั่นใจว่าคนนี้คือคนสำคัญในชีวิตเค้า“ใช่ไม๊! เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊ โปรดบอกข้าที” เจ้าวั่งซู เอ่ยถามซ้ำฮวาเฟยฟาหลับตาก้มหน้ายิ้มมุมปาก “ใช่สิเจ้าก็ต้องเห็นและรู้สึกเหมือนที่ข้ารู้สึกสินะ”“เรื่องราวในความทรงจำเมื่อกี้มันคืออะไร มันช่างคุ้นเคยเหมือนกับข้าเคยผ่านมันมาเอง ไม่ใช่สิเหมือนเป็นเรื่องคนอื่นที่ข้าไปเป็นและรู้สึกแทนเค้า เค้าคนนั้นคือใคร? ทำไม? และทำไมถึงมีท่านในนั้น?” เจ้าวั่งซูเอ่ยถามวกวนสงสัย“เจ้าคิดว่าพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม“ใช่! ข้ามั่นใจว่ามีท่านในความทรงจำที่ผ่านเข้ามา แต่ข้าไม่รู้ว่าท่านคือใครและข้าคือใคร” เจ้าวั่งซูตอบยืนยัน“ข้าก็คิ
แสงตะเกียงเริ่มถูกจุดขึ้นทั่วหมู่บ้านชุนเทียน ลามต่อมาตามเส้นทางสู่หุบเขา แต่ละวิญญาณเริ่มแยกออกจากร่าง และ ทุกคนกลับคืนรูปเดิม ใบหน้ายิ้มแย้มและเปี่ยมสุข บรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยชีวิต บรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยความปิติ เสียงหัวเราะ ความยินดี และเปี่ยมสุข เสียงสรวลเฮาฮาของผู้คนทั้งจากภพมนุษย์ ภูติ อมนุษย์ เดรัจฉาน วิญญาณ และอื่นๆ ที่ถูกคำสาปให้ติดอยู่ที่หมู่บ้านต้องสาปแห่งนี้ เริ่มดังก้องเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความยินดีนี้แสงสว่างและเสียงโห่ร้องสะกิดให้ เจ้าวั่งซูหยุดเป่าซวินดำสิบสองซุ่น และหันมาทาง ฮวาเฟยฟา “เฟยเฟย ที่หมู่บ้านเริ่มสว่างหมดแล้ว ข้าได้ยินเสียงงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ข้าอยากไปเห็นผู้คนที่นั่น พวกเราไปกันเถอะ” เจ้าวั่งซูเอ่ยชวนเร่งรีบฮวาเฟยฟาหยุดนิ้วเรียวสวยและเงยหน้ามองเจ้าวั่งซู ยิ้มอ่อนโยน “สิ่งที่เจ้าอยากไปชมที่สุดคงเป็นสุราดอกซ่างฮัวหลัวสินะ”“ฮ่าๆๆๆ! เจ้าช่างรู้ใจข้า แม้สุราที่ดีที่สุดของข้าต้องเป็นสุราจาก ดอกมฤตยูดำ ที่เรือนสกุลเจ้าของข้าปลูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าสุราที่ทำจากดอกซ่างฮัวหลัวที่กำเนิดในหมู่บ้านของพวกเร
“เชิญๆ” พูดเสร็จก็ผายมือโต๊ะอาหารยาวพร้อมอาหารก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่“เชิญๆ นั่งก่อน” หลี่เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยผายมือ“นี่ท่านอาศัยอยู่ในเรือนที่ตกทอดแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม“จริงๆ แล้ว ข้าคือรุ่นแรก ยังไม่มีการสืบทอดกระจกแห่งภพฝัน ข้าคือคนดูแลแต่เพียงผู้เดียว เคยมีคนมาฝึกเผื่อจะรับช่วงต่อแต่ดูเหมือนพวกเค้ายังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงภพฝัน ข้าคิดว่าคงเป็นข้านี่แหละที่ต้องดูแลไปอีกร้อยปีพันปี” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่า“แล้วทำไมท่านไม่แก่ชรา เอ่อ ข้าขออภัย” เจ้าวั่งซูเผลอหลุดปาก“ฮ่าๆๆ! ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ จริงแล้วมันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากข้ามาอยู่ ข้าได้ฝึกวิชา บำเพ็ญตน เพื่อเชื่อมต่อและเข้าสู่ภพฝันหวังเพื่อจะเข้าใจทุกสิ่งในภพนั้นและยึดโยงภพนั้นเข้าเสมือนเป็นส่วนเดียวกัน และวันหนึ่งข้าก็เหมือนเจออาจารย์สองคน ท่านเป็นเทพเซียนจากบนสวรรค์เมตตาชี้นำทางข้า พวกท่านสอนทุกอย่างเกี่ยวกับภพฝันแห่งความเงียบงันให้ข้า การใช้พลังภพฝันนามธรรมและรูปธรรม การสื่อสาร การผนวกรวม การรักษาสมดุลแห่งภพ
“เชิญๆ” พูดเสร็จก็ผายมือโต๊ะอาหารยาวพร้อมอาหารก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่“เชิญๆ นั่งก่อน” หลี่เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยผายมือ“นี่ท่านอาศัยอยู่ในเรือนที่ตกทอดแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม“จริงๆแล้ว ข้าคือรุ่นแรก ยังไม่มีการสืบทอดกระจกแห่งภพฝัน ข้าคือคนดูแลแต่เพียงผู้เดียว เคยมีคนมาฝึกเผื่อจะรับช่วงต่อแต่ดูเหมือนพวกเค้ายังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงภพฝัน ข้าคิดว่าคงเป็นข้านี่แหล่ะที่ต้องดูแลไปอีกร้อยปีพันปี” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่า“แล้วทำไมท่านไม่แก่ชรา เอ่อ ข้าขอภัย” เจ้าวั่งซูเผลอหลุดปาก“ฮ่าๆๆ! ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ จริงแล้วมันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากข้ามาอยู่ ข้าได้ฝึกวิชา บำเพ็ญตน เพื่อเชื่อมต่อและเข้าสู่ภพฝันหวังเพื่อจะเข้าใจทุกสิ่งในภพนั้นและยึดโยงภพนั้นเข้าเสมือนเป็นส่วนเดียวกัน และวันนึงข้าก็เหมือนเจออาจารย์สองคน ท่านเป็นเทพเซียนจากบนสวรรค์เมตตาชี้นำทางข้า พวกท่านสอนทุกอย่างเกี่ยวกับภพฝันแห่งความเงียบงันให้ข้า การใช้พลังภพฝันนามธรรมและรูปธรรม การสื่อสาร การผนวกรวม การรักษาสมดุลแห่งภพ แล
ขณะที่ เทพธิดาเม่งเซี๊ยะลอยสูงขึ้นสว่างไสวเหนือบ่อศักดิ์สิทธิ์ และ ยังเล่าเรื่องราวต่างๆ อยู่นั้นภายในบ่อก็เกิดประกายพวยพุ่งสีแดงออกจากปากบ่อ พร้อมกับอีกร่างที่ลอยตัวขึ้น นั่นคือยักษ์ถูหลัน!ใบหน้าคือมังกรและมีเขาโค้งงอนงามยาวเป็นวงจากด้านหน้าม้วนไปด้านหลังและยาวออกด้านข้าง กายหยาบสีแดง ในมือถือกู่เจิง ลักษณะคล้ายแพะทะเล“เอ๊ะ! หรือว่า ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ยักษ์ถูหลันคือ เทพจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก เทพแพะทะเล” เฟยฟากล่าว“ใช่ ข้าคือถูหลัน อดีตเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก กลุ่มจักราแพะทะเล ส่วน เม่งเซี๊ยะคือเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าทางตะวันตกกลุ่มจักราหญิงพรหมจรรย์ เราทั้งสองจะโคจรมาบรรจบกันปีละครั้งและนั่นก็เป็นจุดกำเนิดความรักของเราสองคน”แต่ทางองค์จักพรรดิ และ องค์จักรพรรดินี รู้ข่าวเลยสั่งให้แยกกันเด็ดขาด แต่พวกเราสองคนไม่ยอม เลยโดนเนรเทศให้มาอยู่ในดินแดนขาวดำแห่งนี้ ภพฝันแห่งความเงียบงัน ภพที่ไม่มีตัวตนของดวงจิตที่ชัดเจน เป็นเพียงภพชั่วคราวของการผ่านของวิญญาณ ร่างที่พวกเจ้าเห็นนั้นคือ ยังมีดวงจิต แต่ดวงจิตล่องลอยในภพฝันนามธรรม”“ข้ามีเรื่องอยากถามท่านทั้งสอง ทำไม พวกท่านสอง
ทั้งสองเดินต่อเข้าไปจนถึงใจกลางถ้ำก็ได้พบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จืออู่ตี้ (บ่อน้ำแห่งจินตนาการ) แสงสว่างเจิดจ้าจากปากบ่อดั่งผงเกล็ดมุกเปล่งประกายระยิบระยับคล้ายมีมนต์เรียกหาล่อลวงให้ผู้พบเห็นเดินเข้าไป แสงวิบวับสะท้อนใบหน้าหวาดกลัวตกใจของเหล่าศีรษะที่ถูกตรึงอยู่ปากเพดานรอบๆ คล้ายว่าสิ่งเหล่านั้นกำลังแยกเขี้ยวร้องโหยหวนเตรียมตะครุบบริเวณรอบๆ เหล่าจิตภูตบินอยู่บนปากบ่อมากมาย เมื่อเจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟาเดินเข้าไปใกล้ ก็พึ่งเห็นแสงสว่าง ฉายเข้ากับหน้าจิตภูติ ตาโตดำ หูตั้งชันสูง ไม่มีจมูก เขี้ยวแหลมเต็มปาก“นี่มันภูติผีรึเปล่าเนี๊ยะ!” เจ้าวั่งซูคิด แต่ก็เพราะหน้าตาเหยเกปนน่ารักน่าชังของเจ้าจิตภูตินี้ ทำให้สติของวั่งซูไขว้เขวถูกดึงกลับมาชั่วครู่“นี่มันมนต์ยั่วยุกลีบบุปผา” เจ้าวั่งซูสะบัดพัดดำในมือร่ายเวทย์ “มนต์สะกดลวงตา จงหายไป!” และโบกสะบัด แสงสีพวยพุ่งตามแฉกกรีบพัด พัดพาเหล่าจิตภูติร้องกระเจิงแตกวง ไอหมอกไอควันวิบวับจากปากบ่อบางตาลงเหลือเพียงไอหมอกใสใส มองผ่านไอหมอกไปอีกด้านขอบบ่อ ฮวาเฟยฟากำลังหมดสติและล้มลงปากบ่อ เจ้าวั่งซูกระโจนเข้าโอบรับและดึงร่างทั้งสองออกห่างปากบ่อ ตอนนี้ฮวาเฟยฟาหมดสติอ