“บึ้ม!” แรงระเบิดอันรุนแรงจากการแตกของเคียวสู่ภพทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนทั่วล้า ประตูทุกภพภูมิเปิดออกกว้างขึ้น เหล่าวิญญาณ ผี ปีศาจ จิตภูติ เดรัจฉาน อมนุษย์ จากต่างภพ ลุกคลืบคลาน ทุกสิ่งผสมผสานเข้าสู้รบตีรันฟันแทงกลืนกินดูดสิงร่างและจิตวิญญาณ วินาทีนั้นทุกสิ่งกำลังมุ่งสู่ความวิบัติเกินผู้ใดจักเยียวยาแก้ไข เฟยฟาพร้อมสัตว์คู่กาย ไป่ชิงหลง มังกรขาว แหวกว่ายทะยานผ่านทุกสิ่งที่ขวางตรงหน้า ตอนนี้ทุกภพที่ขาวสะอาดปะปนแปดเปื้อน วิญญาณร้าย ความดำมืด ภูติผีปีศาจ ไปทุกที่เกลื่อนตา
“วั่งซู! เจ้าอยู่ไหน ตอบข้า วั่งซู!” ไป่ชิงหลงมังกรขาวสัตว์คู่กายเกล็ดสีขาวเงินครีบสีฟ้าน้ำทะเลตัวใหญ่ยักษ์เลื่อยลอยพาดผ่านสิ่งแปลกปลอมที่ตีรันฟันแทงไปแบบทะทุทะลวงอากาศ จนถึงปากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จืออู่ตี้ เสียงในหัวร้องเรียกจาก เจ้าวั่งซูทะลุผ่านโสตประสาทมากระทบใจ
“อยู่ในนี้! ไปเร็ว! ชิงหลง! วั่งซูรอข้าก่อน รอข้า” เฟยฟาควบชิงหลงทะลุทะลวงลงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จืออู่ตี้ผ่านม่านหมอกไอดาราตะกอนสะเก็ดดาวไปยาวไกลสเมือนว่าไม่มีปลายทาง จนเห็นแสงริบหลี่ที่ปลายทาง พร้อมร้องตะโกน “นั่นไงตรงนั้น!”
รอบๆ ตัวเฟยฟาคือมิติกึ่งคนเป็นกึ่งคนตายรอบด้านเงียบสงัดมืดมิด ชิงหลง เลื้อยพุ่งตรงสู่ทางทิศที่มาของลำแสง จนถึง แท้จริงแล้วในนี้คือ
“กระจกบานที่10! กระจกที่สาบสูญ!” เฟยฟาเอ่ย กระจกบานที่10 คือกระจกที่สามารถทะลุหาได้ทุกภพของกะจก เป็นเสมือนกระจกที่เป็นทางลัดสู่ทุกภพภูมิ “แต่นี่เป็นแค่เรื่องเล่าและตำนาน ข้าไม่เคยรู้เลยว่ามีกระจกใบนี้อยู่จริง และเหตุใดจึงมาอยู่ใต้บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้”
“เฟยเฟย” เสียงเรียกที่ดังก้องขึ้นในหู เรียกสติสัมปชัญญะของฮวาเฟยฟากลับมา
“ซูซู! เจ้าอยู่ไหน!” ยังไม่ทันขาดคำฮวาเฟยฟา “นั่นไง ผ่านกระจกเข้าไป”
สิ้นเสียงฮวาเฟยฟา ชิงหลง เลื้อยผ่านกระจกแต่กลับถูกกะจกสกัดกั้นเด้งออก ร่างมังกรขาวไม่อาจผ่านกระจกที่สาบสูญบานนี้ เฟยฟาที่อยู่บนศีรษะหน้าคว่ำเทลงทะลุเข้ากระจกเพียงลำพัง ล้มลงหัวคะมำ เค้าลุกขึ้นคลำหัวบริเวณที่เจ็บ หลังจากประคองตัวลุกขึ้น หันกลับมา
“ชิงหลงเจ้าจงรอข้าตรงนี้” ชิงหลงพยักหน้ารับคำ เฟยฟาร่ายมนต์จุดแสงไฟขึ้นในมือ และ เริ่มกวาดสายตามองหาเจ้าวั่งซู
“วั่งซู เจ้าอยู่ไหน” ทันใดพื้นหมุนกลับหัวกลับหางทุกอย่างหมุนกลับด้านหน้าเฟยฟาคะมำลงกระแทกพื้น
“โอ๊ย! อะไรกันที่นี่!” เมื่อลืมตาขึ้นจากความมึนงง ร่างเจ้าวั่งซู สิ้นสติลอยประทับจูบตรงกัน แต่เหมือนอยู่อีกด้านของกระจก
“วั่งซู วั่งซู ฟื้นสิ! เจ้าได้ยินข้าไหม!” เฟยฟายันมือขึ้นถอยปากประกบออกจากปากเจ้าวั่งซู และ ร้องเรียกพร้อมทุบบานกระจกที่กั้นระหว่างพวกเขา “ปึ้ง! ปึ้ง!” วั่งซูนอนไร้สติพร้อมเคียวสู่ปรภพประกบข้างกาย
เฟยฟาหยิบพู่กัน เขียนยันต์บนกระจกพร้อมร่ายเวทย์ “มนต์ทะลายภาพสะท้อน”
“ไป!” ตัวอักษรบนกระดาษลอยเด่นกระแทกพื้นกระจกแตกทำลาย เจ้าวั่งซูกับร่างที่ไร้สติหล่นลงในอ้อมกอดเฟยฟา
“ซูซู! ซูซู! เจ้าฟื้นสิ! เจ้าได้ยินข้าไหม!” เฟยฟาเรียก เขย่า พร้อมร่ายมนต์เรียกสติ ส่งต่อจรดบนหน้าผาก เจ้าวั่งซู เกิดแสงกระจายทะลุจักราในร่างกายเปิดสติ เจ้าวั่งซูค่อยๆ ลืมตา และเมื่อเห็นเฟยฟาก้ ยิ้มมุมปาก และ เอ่ย
“ข้ารู้เจ้าต้องมา! ข้าร้องเรียกหาเจ้า เมื่อใดที่ข้าเรียกหาเจ้าต้องมา ข้ารู้ ข้ารู้เสมอ!”
“เจ้าจะพูดอะไร ข้าอยู่กับเจ้าเสมอ ไม่เคยห่างไปไหน” ฮวาเฟยฟาตอบคนรัก พร้อมน้ำตาใสรื้นในดวงตา
“ข้าขอโทษ ข้าทำพลาด ข้าทำอะไรไม่ได้เลย ทุกสิ่งกำลังพังลง รวมทั้งข้าด้วยที่กำลังดับสูญ เคียวนี้แตกสลาย ไม่มีอะไรผนึกประตูสู่ภพต่างๆ ทุกสิ่งกำลังมารวมกัน และมุ่งสู่ความวิบัติ ข้าทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว” เจ้าวั่งซูพยายามเล่าเหตุการณ์ด้วยเสียงและลมอ่อนระทวย น้ำตาไหลอาบนองหน้า
“ช่างมันเถอะไม่มีอะไรสำคัญกว่าการที่เจ้ายังอยู่ในตอนนี้” ฮวาเฟยฟาน้ำตาไหลพราก กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนปนเศร้า
เจ้าวั่งซูฝืนยิ้มเต็มกำลัง “ขอบคุณที่เจ้ามา ขอโทษที่ข้าผิดสัญญา ข้าไม่อาจร่วมเดินทางกับเจ้าชั่วนิรันดร์ดังที่ข้าเคยให้คำมั่น ชาตินี้ไม่อาจตอบแทนเจ้า ขอตอบแทนชาติหน้า”
“ไม่นะ! เจ้าพูดอะไร ข้าจะพาเจ้ากลับไป!” ฮวาเฟยฟากล่าวทั้งน้ำตา
“ไม่ได้ การที่จะเข้ามาในนี้จะถูกขังในมิติระหว่างภพแห่งนี้ชั่วนิรันดร์ ข้าได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยในที่แห่งนี้ ที่นี่คือที่ของข้า และเวลาของข้า เจ้าจงออกไปจากที่นี่ซะ ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า เมื่อเจ้าออกไป ร่างกายนี้ก้จะแตกดับตามวาระ เวลาข้าหมดแล้วในชาตินี้ เฟยเฟยที่รัก ให้ข้าได้เก็บเกี่ยวผลแห่งกรรม เจ้าเข้าใจข้านะ” เจ้าวั่งซูพูดยิ้มให้ฮวาเฟยฟาน้ำตาอาบแก้ม และ เสียงที่อ่อนระทวยเหมือนกำลังจะขาดใจ
“ไม่นะ! วั่งซู! มันต้องมีทาง”
“เจ้าอย่าห่วง ข้าจะกลับมา ข้าจะหาทางกลับมา ข้าสัญญา เจ้ารอข้านะ” เจ้าวั่งซูเอ่ยอ่อนโยนพร้อมพยายามยกมือที่อ่อนแรงขึ้นลูบเช็ดคราบน้ำตาบนหน้าคนรัก
“รอ! ข้ารอ ต่อให้อีกกี่ปี กี่ฤดู กี่ชาติภพที่เปลี่ยนไป ข้าสัญญา!”
เจ้าวั่งซูมอบพัดคู่กายไว้แก่เฟยฟา “เจ้าจำได้ไหมครั้งแรกที่เราพบกัน ฤดูใบไม้ร่วงของพวกเรา และเจ้าจะรู้เอง อย่าวิตกไป รีบไป รีบออกจากที่นี่ ก่อนทุกสิ่งจะหายไป” เจ้าวั่งซูยกมือเร่งพลังจักราสีทองเข้าห่อหุ้มร่างคนรัก
“ไม่นะ! ซูซู ไม่! อย่าทิ้งข้าไป!” ฮวาเฟยฟาน้ำตาไหลนองหน้า
เจ้าวั่งซูยิ้มให้คนรักครั้งสุดท้าย “ลาก่อน” และผลักลูกบอลสีทองที่โอบอุ้มร่างฮวาเฟยฟาลอยฝ่า กระแทกกระจกแตกทะลุกันนับชั้นไม่ถ้วน จนบอลสีทองวิ่งลิ่วทะลุกลับออกมา ปากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ภพมนุษย์
เจ้าวั่งซูคว้าเคียวที่แตกทำลาย ดึงพลัง ทำลายปรภพแสงสีขาววาบ “บึ้ม!” เกิดแรงระเบิดที่แรงมากและสั่นสะเทือนไปทุกภพ จนทุกสิ่งเกือบดับสูญ
ขณะที่ทั้งสองสบตากัน เหล่าพืชพันธุ์บริเวณรอบเริ่มร่วงหล่น ดั่งฤดูใบไม้ผลิกลืนกินอาณาบริเวณนี้ฉับพลัน
“เอ่อ! ข้า ข้า ไม่ได้ตั้งใจมาแอบดู แค่บังเอิญข้าเดินผ่านมา” เจ้าวั่งซูกล่าวแก้ตัว
“อย่ากังวล ข้าหาได้คิดงั้นไม่ ขอทราบนาม เราเคยพบเจอกันมาก่อนไหม” ฮวาเฟยฟาเอ่ย
“ข้าก็รู้สึกบรรยากาศที่คุ้นเคยนี้ ใบไม้ร่วงหล่น แต่กลับไม่เห็นไอมารหรือพลังด้านมืดแผ่ออก แต่ กลับสัมผัสได้แค่ความอบอุ่น แต่ข้าคิดว่าเราไม่เคยพบกันมาก่อน เอ่อ! ขออภัย! ข้า “เจ้าวั่งซู” ทายาทโดยธรรมแห่งสกุลเจ้ารุ่นที่ 11” เจ้าวั่งซู แววตาเคลิ้ม ประหม่ากล่าวตอบ
“ออ งั้นท่านก็คือ คุณชายเจ้าที่โด่งดังไปทั่วสิ ช่างงดงามสมคำร่ำลือ ข้า “ฮวาเฟยฟา” หัวหน้ามือปราบมาร สำนักคุ้มภัยเก้าจักยุตกราแห่งหุบเขาเก้ากระจกหมู่บ้านชุนเทียน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ คู่หู” ฮวาเฟยฟากล่าวและยิ้มมุมปาก
“ฮะฮะ งั้นท่านก็คือ บุตรชายหนึ่งเดียวในรอบหมื่นปีของเทพแสงอาทิตย์ และ แม่ของท่านคือเทพธิดาองค์เดียวในรอบหมื่นปีของเจ้าเผ่าพันธุ์มังกรขาว”
เจ้าวั่งซู อ้าปากค้างและตกใจ ในใจก็คิดว่าเหตุใดคนที่มาเป็นคู่หูข้าถึงได้ยิ่งใหญ่คับฟ้า มีแต่ชื่อเสียงระบือในความเมตตาและสร้างความดีไปทั่ว เมื่อเทียบกับข้า คนที่โดนสาปแช่งนิรันดร์ มาอยู่ด้วยกัน ข้าจะกลายเป็นตัวอะไรในสายตาผู้คน!
“ม่ายยยย!” เจ้าวั่งซูเผลอ ตะโกนร้องออกมาหลังจากความคิดอันน่าตกใจในใจ
“ฮะ! ท่านเป็นอะไรไปหรือ หรือท่านไม่พอใจที่จะมีข้าเป็นคนสนิทของท่าน” ฮวาเฟยฟา แกล้งเอ่ยถาม อมยิ้ม
“ปะปะ! เปล่า! ข้าไม่ได้! คิดอะไรแบบนั้น! แต่ข้าแค่!....” คำพูดหยุดหายไป ....แค่คิดว่ามายืนคู่คนยิ่งใหญ่แบบเจ้าข้าจะกลายเป็นฝุ่นผงธุลีไร้ค่าในสายตาผู้คน” ความคิดวิ่งต่อในใจและไร้ซึ่งเสียง
เจ้าวั่งซูยิ้มแหยๆ และ เอ่ยถามฮวาเฟยฟา “ท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่ เหตุใดไม่เข้าร่วมงานในตอนนี้” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม
“ข้าไม่ชอบพบปะผู้คน และ อยู่ท่ามกลางผู้คนมากๆ ข้าแค่ชอบที่จะอยู่เงียบๆ กับคนที่ข้าไว้ใจ เช่นเจ้า ในอนาคต” ฮวาเฟยฟา พูดพร้อมก้มต่ำเหลือบหางตามองไปที่เจ้าเว่ยซูแบบมีเสน่ห์สะกดและเจ้าเล่ห์
. ” อะ! ฮ่าๆๆ! แหมท่านฮวาเฟยฟา ท่านก็พูดไปข้ามันคนบาปที่ใครเห็นก็รุมประณาม อยู่กับท่านมีแต่จะทำให้ข้าแปดเปื้อนลดราศี แหะแหะ!” เจ้าวั่งซูกล่าวถ่อมตัวติดตลก
“หาได้ไม่! ข้ากลับคิดว่าแท้จริงแล้วท่านต่างหากที่ยิ่งใหญ่ ด้วยภาระหน้าที่ และ พลังความสามารถขนาดนั้นของสกุลเจ้าที่ตกทอดมา และ ปกป้องชีวิตผู้คนมากมายจากภยันต์อันตราย รวมถึงการเป็นเจ้าภพมนุษย์ เหล่านี้หาใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่และควรได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนหรือ” เฟยฟากล่าวเงียบสงบ ทิ้งให้คิด
พลังที่ยิ่งใหญ่หรอ ภาระที่ใหญ่ยิ่งหรอ ผู้คนตายเกลี้ยง หมู่บ้านชุนเทียนกลายเป็นดินแดนผสมสิ่งประหลาดแปลกปลอม โดนผู้คนสาปแช่ง หึหึ! วั่งซูคิดในใจ และพูดออกมาว่า “ข้าอยากให้ผู้คนคิดแบบที่ท่านว่า มันคงเป็นอะไรที่น่าดีใจหาที่สุดๆ ไม่ได้”
ฮวาเฟยฟาหันมองหน้าเจ้าวั่งซูอย่างอ่อนโยนและเข้าใจ “แน่นอน เจ้าอย่าห่วงเลย ผู้คนจะเข้าใจสิ่งนี้ในวันหนึ่ง ว่าเรื่องที่เหล่าบรรพบุรุษสกุลเจ้าทำมาล้วนเพื่อปกป้อง ผู้คน และ ภพภูมิมนุษย์ และท่านจะมีข้าคอยอยู่ข้างๆ คอยย้ำเตือนและสนับสนุนให้มันเกิดขึ้นจริงเสมอ และ เร็วขึ้น” ฮวาเฟยฟายิ้มอ่อนโยน
เจ้าวั่งซูมองไปที่ฮวาเฟยฟา ตาทั้งสองพบสบกันอีกครา และ เหมือนความทรงจำจะพาย้อนสู่เวลา บางส่วนในอดีตวันวาร
แสงแดดยามบ่ายสาดส่องเข้ามาในห้องเรียน ที่นี่คือสำนักฝึกตนหลิงชงหมิงของเหล่าเซียน ขณะที่อาจารย์กำลังสอน วั่งซูเอนหน้าแนบลงกับโต๊ะเรียน ข้างๆ ถัดไปคือเฟยฟาสงบนิ่งตั้งใจเรียน ทั้งสองคือสหายสนิทตั้งยังวัยเยาว์
ฮวาเฟยฟาสงบเยือกเย็นดั่งมังกรยามหลับรอผงาด แต่ พลังจักรารุนแรงดั่งแสงตะวันสาดยามเที่ยงวัน รูปงาม ความคิดเฉียบคม เฟยฟาใส่ชุดสีขาวปักเลื่อมลายมังกรฟ้าพาด มีสัตว์ภูติประจำตัวมังกรฟ้าสีขาว “ไป่ชิงหลง” พี่น้องและสหายคู่ใจที่กำเนิดมาพร้อมกัน
เจ้าวั่งซู หนุ่มรูปงามใบหน้าหยก แต่ ขี้เล่นอารมณ์ดี จิตใจงดงาม รักการฝึกวิชาการต่อสู้ เป็นคนสร้างเสียงหัวเราะและเป็นที่รักของทุกคน เป็นต้นสกุลเจ้ารับการตกทอดเคียวสู่ภพเหมือนเจ้าวั่งซูรุ่นอื่นๆ ก่อนหน้า เจ้าวั่งซูรุ่นที่ 1 ยอมสละแลกชีวิตตนและชื่อเสียงตัวและสกุลที่มาแต่โบราณในฐานะผู้รักษาความสมดุลแห่งภพ ยอมระเบิดศาสตราที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของตระกูล เพียงเพื่อหวังว่าจะนำพาความสงบปิดประตูทุกภพ ทำลายทุกดวงวิญญาณที่แปลกปลอม จบภัยพิบัตรให้กับภพมนุษย์ใบนี้ แต่ผลกลับตรงข้าม ทุกภพเกิดรอยแยก และ หมู่บ้านต้องสาปแห่งภพภูมิมนุษย์ยังถูกกลืนกินไม่อาจจะหลุดจากคำสาป ผู้คนก็ต่างพากันเข้าใจผิด คิดว่าสกุลเจ้าเป็นพวกปรภพและต้องการปกครอง ทำลายภพมนุษย์ ทำให้สกุลเจ้าโดนสาปแช่งชั่วนิรันดร์
หลังจากสละชีวิตตนดวงจิตกลับชาติมาเกิดเป็นหลานรุ่นที่11 (ชื่อ หน้าตา รูปร่าง ดวงจิต เฉกเช่นเดิม) อาภรณ์สีดำขลิบทองมีพัดสีดำขลับทองพู่ทองประจำตัว มีเคียวสู่ภพอาวุธประจำกาย และมีสัตว์ภูติ “หลิ่งกวาง” จิ้งจอกดำเก้าหางภูตประจำกายวั่งซู
เจ้าวั่งซู และ ฮวาเฟยฟา ทั้งสองคนร่วมเรียนเขียนอ่านฝึกฝนวิชาจนคนหนึ่งกลายเป็นผู้กล้านำตระกูลเซียน อีกคนหนึ่งเป็นเทพตำแหน่งสูงบนภพสวรรค์ ด้วยสมองและสติปัญญา รวมถึงชาติกำเนิดและพลังเวทย์ ทำให้เป็นที่นับถือละบือไปไกลทุกภพภูมิ แต่ทั้งคู่ก็อยู่ร่วมกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน ใช่เวลาร่วมกัน เฉกเช่นสหายรักจนถึงเวลาแยกจาก
“หลังจากเรียนจบเจ้าอยากทำไรวั่งซู” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม
“เป็นเจ้าภพมนุษย์ เป็นปรมาจารย์ เป็นผู้นำสกุลเจ้า รักษาสมดุลระหว่างภพ ปกป้องผู้คนจาก อันตราย ตามหน้ามี่ที่มีมาแต่ต้นตระกูลข้า จะตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม”เจ้าวั่งซูกล่าวตอบอย่างมั่นใจและภูมิใจ
ฮวาเฟยฟาเหลือบมองสีหน้าที่จริงจังและจริงใจของเค้าอยู่ด้านข้าง และยิ้มอย่างพอใจและภูมิใจ
“จริงๆ แล้ว ท่านเป็นได้มากกว่านั้นนะ แต่ข้าก็จะขอติดตามท่าน เป็นสหายที่รู้ใจร่วมสนับสนุนท่านตลอดไป” ฮวาเฟยฟากล่าว
“ทำไมท่านต้องทำขนาดนั้น เจ้าเป็นเทพ เจ้าไม่ต้องพิสูจน์อะไร “เจ้าวั่งซูกล่าว
“เราทั้งสองล้วนต้องพิสูจน์ วันหนึ่งเจ้าก็จะรู้เอง ว่าทำไม หรือว่าเจ้าอยากจะไปตามทางเจ้าไม่ต้องมีข้า” ฮวาเฟยฟาพูดขึ้นหางเสียงถาม
“ไม่! ไม่! ท่านฮวาเฟยฟา ข้าน้อยมิบังอาจ มนุษย์ธรรมดาเฉกเช่นข้าได้ท่านผู้สูงศักดิ์เป็นสหายนับว่าเป็นบุญอย่างยิ่ง” เจ้าวั่งซูพูดขี้เล่นปนเอาใจ
“ฮ่าๆๆๆ!” ทั้งสองมองไปท้องฟ้าที่กว้างไกลด้านหน้าและหัวเราะร่าออกมาพร้อมกัน คล้ายว่าจะไม่มีไรแยกเค้าทั้งสองจากกันได้แม้กระทั่ง ความตาย
ภาพและเรื่องราวตะกี้มันคืออะไร “นี่เราสองคนเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม” เจ้าวั่งซูเหมือนฟื้นจากภวังค์ และ มองที่ฮวาเฟยฟา แม้ภาพจำจะเลือนราง ยังไม่ชัด ความทรงจำที่วิ่งเข้ามายังไม่อาจปะติดปะต่อ บรรยากาศรอบตัวดั่งใบไม้ร่วง และ ดวงหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าที่สะกดใจตัวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เค้าก็มั่นใจว่าคนนี้คือคนสำคัญในชีวิตเค้า“ใช่ไม๊! เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊ โปรดบอกข้าที” เจ้าวั่งซู เอ่ยถามซ้ำฮวาเฟยฟาหลับตาก้มหน้ายิ้มมุมปาก “ใช่สิเจ้าก็ต้องเห็นและรู้สึกเหมือนที่ข้ารู้สึกสินะ”“เรื่องราวในความทรงจำเมื่อกี้มันคืออะไร มันช่างคุ้นเคยเหมือนกับข้าเคยผ่านมันมาเอง ไม่ใช่สิเหมือนเป็นเรื่องคนอื่นที่ข้าไปเป็นและรู้สึกแทนเค้า เค้าคนนั้นคือใคร? ทำไม? และทำไมถึงมีท่านในนั้น?” เจ้าวั่งซูเอ่ยถามวกวนสงสัย“เจ้าคิดว่าพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม“ใช่! ข้ามั่นใจว่ามีท่านในความทรงจำที่ผ่านเข้ามา แต่ข้าไม่รู้ว่าท่านคือใครและข้าคือใคร” เจ้าวั่งซูตอบยืนยัน“ข้าก็คิ
แสงตะเกียงเริ่มถูกจุดขึ้นทั่วหมู่บ้านชุนเทียน ลามต่อมาตามเส้นทางสู่หุบเขา แต่ละวิญญาณเริ่มแยกออกจากร่าง และ ทุกคนกลับคืนรูปเดิม ใบหน้ายิ้มแย้มและเปี่ยมสุข บรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยชีวิต บรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยความปิติ เสียงหัวเราะ ความยินดี และเปี่ยมสุข เสียงสรวลเฮาฮาของผู้คนทั้งจากภพมนุษย์ ภูติ อมนุษย์ เดรัจฉาน วิญญาณ และอื่นๆ ที่ถูกคำสาปให้ติดอยู่ที่หมู่บ้านต้องสาปแห่งนี้ เริ่มดังก้องเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความยินดีนี้แสงสว่างและเสียงโห่ร้องสะกิดให้ เจ้าวั่งซูหยุดเป่าซวินดำสิบสองซุ่น และหันมาทาง ฮวาเฟยฟา “เฟยเฟย ที่หมู่บ้านเริ่มสว่างหมดแล้ว ข้าได้ยินเสียงงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ข้าอยากไปเห็นผู้คนที่นั่น พวกเราไปกันเถอะ” เจ้าวั่งซูเอ่ยชวนเร่งรีบฮวาเฟยฟาหยุดนิ้วเรียวสวยและเงยหน้ามองเจ้าวั่งซู ยิ้มอ่อนโยน “สิ่งที่เจ้าอยากไปชมที่สุดคงเป็นสุราดอกซ่างฮัวหลัวสินะ”“ฮ่าๆๆๆ! เจ้าช่างรู้ใจข้า แม้สุราที่ดีที่สุดของข้าต้องเป็นสุราจาก ดอกมฤตยูดำ ที่เรือนสกุลเจ้าของข้าปลูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าสุราที่ทำจากดอกซ่างฮัวหลัวที่กำเนิดในหมู่บ้านของพวกเร
“เชิญๆ” พูดเสร็จก็ผายมือโต๊ะอาหารยาวพร้อมอาหารก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่“เชิญๆ นั่งก่อน” หลี่เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยผายมือ“นี่ท่านอาศัยอยู่ในเรือนที่ตกทอดแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม“จริงๆ แล้ว ข้าคือรุ่นแรก ยังไม่มีการสืบทอดกระจกแห่งภพฝัน ข้าคือคนดูแลแต่เพียงผู้เดียว เคยมีคนมาฝึกเผื่อจะรับช่วงต่อแต่ดูเหมือนพวกเค้ายังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงภพฝัน ข้าคิดว่าคงเป็นข้านี่แหละที่ต้องดูแลไปอีกร้อยปีพันปี” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่า“แล้วทำไมท่านไม่แก่ชรา เอ่อ ข้าขออภัย” เจ้าวั่งซูเผลอหลุดปาก“ฮ่าๆๆ! ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ จริงแล้วมันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากข้ามาอยู่ ข้าได้ฝึกวิชา บำเพ็ญตน เพื่อเชื่อมต่อและเข้าสู่ภพฝันหวังเพื่อจะเข้าใจทุกสิ่งในภพนั้นและยึดโยงภพนั้นเข้าเสมือนเป็นส่วนเดียวกัน และวันหนึ่งข้าก็เหมือนเจออาจารย์สองคน ท่านเป็นเทพเซียนจากบนสวรรค์เมตตาชี้นำทางข้า พวกท่านสอนทุกอย่างเกี่ยวกับภพฝันแห่งความเงียบงันให้ข้า การใช้พลังภพฝันนามธรรมและรูปธรรม การสื่อสาร การผนวกรวม การรักษาสมดุลแห่งภพ
“เชิญๆ” พูดเสร็จก็ผายมือโต๊ะอาหารยาวพร้อมอาหารก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่“เชิญๆ นั่งก่อน” หลี่เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยผายมือ“นี่ท่านอาศัยอยู่ในเรือนที่ตกทอดแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม“จริงๆแล้ว ข้าคือรุ่นแรก ยังไม่มีการสืบทอดกระจกแห่งภพฝัน ข้าคือคนดูแลแต่เพียงผู้เดียว เคยมีคนมาฝึกเผื่อจะรับช่วงต่อแต่ดูเหมือนพวกเค้ายังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงภพฝัน ข้าคิดว่าคงเป็นข้านี่แหล่ะที่ต้องดูแลไปอีกร้อยปีพันปี” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่า“แล้วทำไมท่านไม่แก่ชรา เอ่อ ข้าขอภัย” เจ้าวั่งซูเผลอหลุดปาก“ฮ่าๆๆ! ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ จริงแล้วมันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากข้ามาอยู่ ข้าได้ฝึกวิชา บำเพ็ญตน เพื่อเชื่อมต่อและเข้าสู่ภพฝันหวังเพื่อจะเข้าใจทุกสิ่งในภพนั้นและยึดโยงภพนั้นเข้าเสมือนเป็นส่วนเดียวกัน และวันนึงข้าก็เหมือนเจออาจารย์สองคน ท่านเป็นเทพเซียนจากบนสวรรค์เมตตาชี้นำทางข้า พวกท่านสอนทุกอย่างเกี่ยวกับภพฝันแห่งความเงียบงันให้ข้า การใช้พลังภพฝันนามธรรมและรูปธรรม การสื่อสาร การผนวกรวม การรักษาสมดุลแห่งภพ แล
ขณะที่ เทพธิดาเม่งเซี๊ยะลอยสูงขึ้นสว่างไสวเหนือบ่อศักดิ์สิทธิ์ และ ยังเล่าเรื่องราวต่างๆ อยู่นั้นภายในบ่อก็เกิดประกายพวยพุ่งสีแดงออกจากปากบ่อ พร้อมกับอีกร่างที่ลอยตัวขึ้น นั่นคือยักษ์ถูหลัน!ใบหน้าคือมังกรและมีเขาโค้งงอนงามยาวเป็นวงจากด้านหน้าม้วนไปด้านหลังและยาวออกด้านข้าง กายหยาบสีแดง ในมือถือกู่เจิง ลักษณะคล้ายแพะทะเล“เอ๊ะ! หรือว่า ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ยักษ์ถูหลันคือ เทพจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก เทพแพะทะเล” เฟยฟากล่าว“ใช่ ข้าคือถูหลัน อดีตเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก กลุ่มจักราแพะทะเล ส่วน เม่งเซี๊ยะคือเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าทางตะวันตกกลุ่มจักราหญิงพรหมจรรย์ เราทั้งสองจะโคจรมาบรรจบกันปีละครั้งและนั่นก็เป็นจุดกำเนิดความรักของเราสองคน”แต่ทางองค์จักพรรดิ และ องค์จักรพรรดินี รู้ข่าวเลยสั่งให้แยกกันเด็ดขาด แต่พวกเราสองคนไม่ยอม เลยโดนเนรเทศให้มาอยู่ในดินแดนขาวดำแห่งนี้ ภพฝันแห่งความเงียบงัน ภพที่ไม่มีตัวตนของดวงจิตที่ชัดเจน เป็นเพียงภพชั่วคราวของการผ่านของวิญญาณ ร่างที่พวกเจ้าเห็นนั้นคือ ยังมีดวงจิต แต่ดวงจิตล่องลอยในภพฝันนามธรรม”“ข้ามีเรื่องอยากถามท่านทั้งสอง ทำไม พวกท่านสอง
ทั้งสองเดินต่อเข้าไปจนถึงใจกลางถ้ำก็ได้พบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จืออู่ตี้ (บ่อน้ำแห่งจินตนาการ) แสงสว่างเจิดจ้าจากปากบ่อดั่งผงเกล็ดมุกเปล่งประกายระยิบระยับคล้ายมีมนต์เรียกหาล่อลวงให้ผู้พบเห็นเดินเข้าไป แสงวิบวับสะท้อนใบหน้าหวาดกลัวตกใจของเหล่าศีรษะที่ถูกตรึงอยู่ปากเพดานรอบๆ คล้ายว่าสิ่งเหล่านั้นกำลังแยกเขี้ยวร้องโหยหวนเตรียมตะครุบบริเวณรอบๆ เหล่าจิตภูตบินอยู่บนปากบ่อมากมาย เมื่อเจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟาเดินเข้าไปใกล้ ก็พึ่งเห็นแสงสว่าง ฉายเข้ากับหน้าจิตภูติ ตาโตดำ หูตั้งชันสูง ไม่มีจมูก เขี้ยวแหลมเต็มปาก“นี่มันภูติผีรึเปล่าเนี๊ยะ!” เจ้าวั่งซูคิด แต่ก็เพราะหน้าตาเหยเกปนน่ารักน่าชังของเจ้าจิตภูตินี้ ทำให้สติของวั่งซูไขว้เขวถูกดึงกลับมาชั่วครู่“นี่มันมนต์ยั่วยุกลีบบุปผา” เจ้าวั่งซูสะบัดพัดดำในมือร่ายเวทย์ “มนต์สะกดลวงตา จงหายไป!” และโบกสะบัด แสงสีพวยพุ่งตามแฉกกรีบพัด พัดพาเหล่าจิตภูติร้องกระเจิงแตกวง ไอหมอกไอควันวิบวับจากปากบ่อบางตาลงเหลือเพียงไอหมอกใสใส มองผ่านไอหมอกไปอีกด้านขอบบ่อ ฮวาเฟยฟากำลังหมดสติและล้มลงปากบ่อ เจ้าวั่งซูกระโจนเข้าโอบรับและดึงร่างทั้งสองออกห่างปากบ่อ ตอนนี้ฮวาเฟยฟาหมดสติอ