/ วาย / ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ <The Amid Autumn> / บทที่3 สำนักคุ้มภัยเก้าจักยุตกรา °•.< หุบเขาเก้ากระจก >.•°

공유

บทที่3 สำนักคุ้มภัยเก้าจักยุตกรา °•.< หุบเขาเก้ากระจก >.•°

작가: LuL LaLiiL
last update 최신 업데이트: 2025-09-11 20:00:05

สำนักคุ้มภัยเก้าจักยุตกรา คือสำนักคุ้มภัยที่ตั้งขึ้นเพื่อผดุงความสมดุลระหว่างภพ เป็นปราการหลักปราการเดียวแห่งภพมนุษย์ ที่หลงเหลืออยู่จากการระเบิดที่จัตุรัสเฟิงสุ่ย ที่เหลือเป็นเพียงสำนักเซียนหรือผู้ฝึกตนเล็กๆ

ผู้ก่อตั้งคือกงซุนต้าเฉียน ภพต้นกำเนิดคือมนุษย์ แต่ถือศีลบำเพ็ญเพียรและทำความดีเวียนวนถึงห้าร้อยชาติ ทำให้เค้าบรรลุได้จักราภพภูมิสวรรค์ อายุยืนยาวกว่ามนุษย์ทั่วไป

สำนักนี้รับเกณฑ์ร์เหล่า เทพเซียน มนุษย์ (ต้องมีผสม) อมนุษย์ เข้าฝึกฝนเพื่อปกปักรักษาสมดุลระหว่างภพ ไม่มี มนุษย์ เทพ เซียน ปีศาจ ภูตผีวิญญาณ ใดสามารถละเมิดข้อตกลงในสัญญานี้ได้ จะมีหนทางเดียวคือการเวียนว่ายของดวงจิตเพื่อกลับคืน

แต่สำหรับพวกแอบข้ามภพและเป็นข้อห้ามก็มีมากมาย ดวงจิตที่ต้องการข้ามภพภูมิ คือบำเพ็ญเพียรจนแก่กล้าเปลี่ยนความดำมืดความหม่นเทาของดวงจิตให้ส่องแสงสว่าง หรือในทางตรงข้ามจากสว่างไปสู่ความดำมืด ดวงจิตที่ถูกฝึกขัดเกลาจนพร้อมสำหรับการเกิดใหม่นี้จะส่งสัญญาณและรับรู้สัญญาณถึงดวงจิตในต่างภพที่กำลังอ่อนแรงลงและหมดบุญในภพนั้นๆ เมื่อรับรู้สิ่งที่กำลังหมดอายุและการแตกทำลายดวงจิตในเวลาอันใกล้ ดวงจิตที่ที่สว่างหรือดำมืดนี้จะทิ้งกายเดิมในภพภูมิเดิมและจะไปกำเนิดในภพใหม่พร้อมกลืนกินดวงจิตที่กำลังแตกดับและเข้าแทนร่างและถือกำเนิดใหม่ในภพภูมินั้นสืบไป

และอีกวิธีการละเมิดโดยการข้ามภพไปภพภูมิอื่นเพื่อการแฝงร่าง ขโมยร่าง ขโมยและกลืนกินหรือครอบงำดวงจิตหรือวิญญาณ ล้วนเป็นโทษทัณฑ์ที่หนักหนา

ผู้ฝึกตน มือปราบมาร เหล่าปรมาจารย์ และกงซุนต้าเฉียน จากสำนักคุ้มภัยแห่งนี้ที่ตั้งอยู่บนหุบเขาเก้ากระจก มีหน้าที่เป็นปราการด่านแรกและด่านเดียวในการปกป้องมนุษย์จากศัตรูต่างภพ ภพมนุษย์เป็นภพที่ไร้ซึ่งพลังจักรา ดังนั้นผู้คนถึงให้การนับถือสำนักแห่งนี้มาก 

“แกร๊ง! แกร๊ง! เสียงระฆังสำนักคุ้มภัยถูกตีขี้น

“มีคำสั่งจากเจ้าสำนัก ให้นักเรียนทุกท่านทั้งที่เข้ารายงานตัวใหม่ในวันนี้ และ ศิษย์ในทุกชั้นปีเข้าร่วมการประชุมที่หอประชุม”

เสียงดังเจี้อยแจ้วรอบบริเวณสำนักคุ้มภัย ตัวสำนักฉาบด้วยสีทองอร่าม ตั้งตัวโดดเด่นลอยกินพื้นที่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล หุบเขาเก้ากระจกคือบริเวณเดียวใน หมู่บ้านชุนเทียนที่ใบไม้และดอกไม้ยังคงออกตามฤดูกาล อาจจะด้วยเพราะมนต์คุ้มภัยที่เหล่าบรรพาจารย์สวดติดตรึงไว้แต่สมัยเหตุระเบิดใหญในอดีต และเป็นหน้าที่สืบมาจนปัจจุบันที่ศิษย์และสมาชิคทุกคนของสำนักต้องสละเวลาเวียนเข้า “หอสวดแดนมนุษย์” เพื่อสวดบทต่อเวลาการคุ้มยันต์ให้หุบเขาเก้ากระจกแห่งนี้

สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างคือกระจกเก้าบาน ที่ถูกตั้งขึ้นเป็นปราการล้อมรอบหุบเขาจินลู่ซี (เก้ากระจก) คนละมุม แต่ละตำแหน่งเพื่อรวบรวมและสะท้อนพลังและรับพลังกันไปมา กระจกคือแหล่งรวบรวมและเพิ่มพูนพลังให้เหล่าผู้ฝึกตน รวมถึงเตือนภัยป้องกันศัตรู การตั้งตัวของสำนักคุ้มภัย สีของตัวสำนัก กระจกทั้งเก้า ล้วนแล้วแต่มีเงื่อนงำพันผูกทุกภพทุกภูมิไว้ร่วมกันอย่างแยกกันไม่ออก ถ้าสำนักคุ้มภัยแห่งนี้โดนทำลาย มนุษย์ อมนุษย์ เทพ มาร ปีศาจ เซียน สิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต ทุกอย่างที่เชื่อมต่อ จะนำมาซึ่งความวุ่นวายและคืนสู่ความสงบยากยิ่ง ยกเว้น กระจกบานที่สิบในตำนาน ที่กล่าวว่าจะสามารถหยุดยั้งความวุ่นวายทุกอย่างได้นั้นจะมีอยู่จริง!

“แกร๊ง!แกร๊ง!” เสียงระฆังดีดังครั้งที่สองเป็นสัญญาณเพื่อเรียกรวมตัวเข้าร่วมพิธี

“ข้าจูจินผิง ปรมาจารย์กระจกสวรรค์ หัวหน้าหอควบคุมฝั่งเหนือเป็นตัวแทนกล่าวต้อนรับเหล่าผู้ฝึกตนทั้งใหม่และเก่าเข้าสู่งานปฐมนิเทศการฝึกภาค1ประจำปี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะพากเพียรฝึกตนให้แกร่งเป็น ผู้ฝึกตน ผู้คุมกฎ มือปราบมาร หรือแม้แต่ปรมาจารย์ ที่ดีได้ในอนาคต”

สำหรับผู้ฝึกตนทุกคน จะเข้ารับการฝึกทดสอบและรับการคัดเลือกเข้าประจำฝ่ายที่สนใจ ในระยะเวลาการฝึกสามเดือน ถ้าไม่ผ่านก็ขอให้เพียรพยายามต่อไปเพื่อรอการคัดเลือกในครั้งต่อๆ ไป” เจียงซีฟ่านปรมาจารย์กระจกปรภพ ผู้นิ่งเงียบและน่าเกรงขามกล่าวต่อ

หลุนจินเหลียง ปรมาจารย์กระจกมนุษย์ กล่าวต่อ “ทุกคนมีสิทธิ์เลือกสาขาวิชาที่ตัวเองต้องการโดยสามารถเข้ารับการฝึกทดสอบ เวทย์ มนต์ พลังจักรา และความสามารถพื้นฐานอื่นๆ ก่อนว่าผ่านและเหมาะสมกับตนไหม”

“การฝึกทุกอย่างล้วนมาจากความรักและความพยายามข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะผ่านพ้นและประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี” ฟ่านตงตง ปรมาจารย์กระจกอมนุษย์กล่าวเสริม

ฉีเทียนหลงปรมาจารย์กระจกภูติ ปรากฎกายออกมาจากด้านหลังพร้อมเริ่มกล่าว “ตั้งแต่อดีตกาลมาทั่วหล้า มากภพภูมิ ต่างฝ่ายต่างอยู่มิข้องเกี่ยว แต่ก็หาเคยไม่ ที่จะสร้างเรื่องเดือดร้อนให้แก่กัน แต่ตั้งแต่เหตุการณ์ระเบิดในอดีตที่ จัตุรัสเฟิงสุ่ย ประตูระหว่างภพถูกทำลาย เกิดรอยแยกระหว่างภพ ความสมดุลผันแปร แต่เพราะ ท่านกงซุนต้าเฉียน และ เหล่าบรรพาจารย์ รวมพลังประสานสะกดความชั่วร้าย และ สร้างสำนักคุ้มภัยแห่งนี้ขึ้นเพื่อธำรงค์ความสมดุล ปกป้องภพภูมิมนุษย์ ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคำสอนแห่งบรรพาจารย์จะถูกเคารพและปฏิบัติอย่างแน่นหนักสืบไป

“ก็ใช่หน่ะสิ! ใครจะชั่วช้าได้เท่าเจ้าวั่งซู คนทรยศต่อเผ่าพันธุ์มันตั้งใจระเบิดเพื่อให้ไปีศาจวิญญาณจากปรภพข้ามมาได้” คนซุบซิบ เริ่มโหมดังขึ้น

“คงไม่มีใครกล้าคิดชั่วทำเลวอย่างมันอีก คนอย่างไม่เหมาะสมกับสำนักคุ้มภัยเก้าจักยุตกราที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้”

“เงียบๆ!” เสียงดังกังวานแทรกขึ้น นั่นคือเสียงของ ฟงอี๋หวินปรมาจารย์กระจกภพปีศาจ “สิ่งเลวร้ายแบบในอดีตจะไม่สามารถเกิดขึ้นซ้ำได้อีกถ้าพวกเรารวมแรงรวมใจสามัคคีฝึกฝนตัวจนแก่กล้าทั้งบู๋บุ๋นจิตใจตั้งใฝ่คุณธรรมละทิ้งความชั่วความหลงลำพองตัวทั้งปวง” 

หลินซีซี ปรมาจารย์หญิงกระจกเดรัจฉานร่างเล็กเสียงอ่อนโยนกล่าวต่อ “สิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งมาจากต่างภพล้วนสามารถมีชีวิตของตนได้ในอาณาเขตตัวเอง ปัญหาต่างๆ จะไม่เกิดถ้าไม่มีการก้าวข้ามล้ำเส้น และการควบคุมสอดส่าย ยุติธรรม มีเมตตา ปกปัก รักษาภพมนุษย์ ให้มีสืบไปคือหน้าที่อันทรงเกียรติของพวกเรา ผู้ฝึกตน และ มือปราบมาร สำนักเก้าจักยุตกรา”

“ผู้ฝึกตนที่ละทิ้งหน้าที่อุดมการณ์ตนไม่มีสำนึกผิดชอบชั่วดี ละทิ้งและทรยศต่อหน้าที่ จิตสำนึก และเผ่าพันธุ์ จะถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์ “เสียงรวมพลังอันเข้มแข็งหนักแน่นของ ปรมาจารย์กระจกพืชพันธุ์ หลานหลี่เซ่อ และ ปรมาจารย์กระจกความฝัน หลี่เลี่ยงเฟิ่ง

เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วห้อง เรียก “สกุลเจ้า! มันต้องไม่ตายดีแหลกสลายชั่วนิรันดร์!”

“ต่อให้จิตวิญญาณของมันก็ไม่มีภพให้อยู่ไอพวกทรยศต่อเผ่าพันธุ์ “

“ใช่! ใช่!”

เสียงฮือฮาดังค่อยๆ เบาลง เมื่อการมาถึงของ เจ้าวั่งซู

ผู้คนต่างพากันกระซิบ “ใช่คนนี้รึเปล่า เจ้าวั่งซูรุ่นใหม่จากตระกูลเจ้า”

“ใบหน้าที่หล่อเหลาไร้ที่ตินี่คงมาจากการจำแลงกายของปีศาจเพื่อล่อลวงคนที่สืบทอดจากเลือดหมาป่าดำทางฝั่งพ่อมัน”

“สกุลชั่วช้า อย่าคิดว่าจะอยู่ได้ มาชูคอได้ทั้งๆ ที่ทำชั่วช้าก็เพราะแค่มีอำนาจถือเคียวเปิดประตูสู่ภพได้ ถุย!”

“นี่ข้าไม่คิดเลยว่าข้าจะได้รับการต้อนรับยิ่งใหญ่กว่าเหล่าบรรพาจารย์ด้านบนนั่นอีก” เจ้าวั่งซูพูดกับตัวเองในใจ พร้อมหยิบพัดสีดำลายหมาป่าทองพู่ยาวประดับดิ้นทองสะบัดกีบแฉกเปิดออกป้องหน้าและก้าวเท้าถอยหลัง เสมือนว่าเดินเข้าผิดห้องหลีกลี้ออกไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังคงมาดหนุ่มรูปงามไม่มีหลุด

“ข้าไม่นึกเลยว่า สิ่งที่ตระกูลข้า” ก่อนหยุดสะอึก สีหน้าเศร้าหมองลง

“จริงๆ แล้วสิ่งที่ท่านปู่ทวดข้าทำไว้ก็นานมากแล้วนะ ส่วนเจ้าวั่งซูรุ่นต่อๆ มา ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเค้าทำอะไรไว้บ้าง แต่ก็คงทำไปเพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่กลับถูกกลับขาวเป็นดำต้องโดนประณามชั่วนิรันดร์ เห้อ นี่เป็นบาปกรรมที่ต้องตกทอดมาถึงข้าอยู่แล้วเหมือนเป็นชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกลี้” เจ้าวั่งซูเดินมายืนใต้ต้นไม้ใหญ่กับสายลมที่ปลิวกระทบหน้าด้วยสีหน้าเศร้าใจ

“ข้าจักเปลี่ยนความเชื่อและปัญหามากมายที่เกิดมาแล้วมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร เฟยเฟยบอกข้าที ตอนนี้ข้าเขว้งขว้างเหลือเกิน”

“ฮะ!” ใครกัน ชื่อ ที่ข้าเรียกตะกี้ ทำไมข้าถึงเอ่ยนามที่ข้าไม่รุ้จักนี้ขึ้นมาได้นะ” เจ้าวั่งซู เอ่ยกับตัวนึกฉงนแปลกใจ

“แต่ช่างเถอะเรื่องมันนานมากแล้ว มันเป็นเรื่องของท่านปู่ทวด และเจ้าวั่งซูคนอื่นๆ ข้าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ปล่อยมันไปเถอะ” วั่งซูพูดกับตัวพร้อมยิ้มเล็กๆ สายลมที่อ่อนโยนพัดลูบไล้ใบหน้างามหมดจด อบอุ่น เย็นสบาย คล้ายอ้อมกอดโอบรัดตัวเค้า

“สรุปวันนี้ข้าไม่ต้องเข้าพิธีหล่ะสิ หลิ่งกวาง” วั่งซูพูดกับจิ้งจอกดำเก้าหางภูตประจำกาย

“แง๊ว!” จิ้งจอกดำส่งเสียงรับ พร้อมพยักหน้า

“อืมก็ดี!” เพื่อเลี่ยงผู้คน เจ้าวั่งซูตัดสินใจเดินชมรอบๆ บริเวณสำนักคุ้มภัยแห่งนี้แทน

“ใช่วันนี้เราควรเดินสำรวจสถานที่นี้ ว่าจะยิ่งใหญ่ลึกลับตามคำเล่าลือเล่าอ้างไหม และพรุ่งนี้ค่อยมาพบเหล่าบรรพาจารย์อีกทีเพื่อรับหน้าที่อย่างเป็นทาง”

เจ้าวั่งซูคิดและเดินต่อไปทางน้ำตกผ่านเข้าไปในถ้ำรู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าบ่อน้ำ และนั่นหน้ากระจกภพพืชพันธุ์ เนื่องด้วยกายทิพย์แห่งตระกูลเจ้าที่สามารถผ่านเข้าออกได้ทุกกระจกภพ เจ้าวั่งซูเดินผ่านเข้ากระจกภพพืชพันธุ์แรงดูดกระจกดูดร่างผ่านข้ามไปอีกภพ สีเขียวของพันธุ์ไม้และสีแสดแปลกตามากมายของเหล่าดอกไม้สะพรั่งหมู่มวลดอกไม้พืชพันธุ์โอบล้อมป่าม่านน้ำตกมีละอองควันน้ำฝอยๆ ลอยละล่องเต็มบริเวณช่างงดงาม

ในขณะที่เจ้าวั่งซูกำลังเพลิดเพลินกับความงามของพฤกษานานาพันธุ์นั้น พลันเหลือบไปเห็นคนผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีขาวหัวจรดเท้าสว่างจ้ากำลังนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำตก มือถือพู่กันใหญ่และกระดาษกำลังเขียนหรือวาดสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่สิ่งเห็นดูสวยงาม แปลกตา แข็งแรงคล้ายศาตรามากกว่าแค่กระดาษพู่กัน ข้างกายมีมังกรสีขาวใหญ่ตาสีฟ้าเข้มสะท้อนน้ำเป็นประกายดั่งคริสตัลงดงามดั่งไพลินนอนขดข้างกาย

“คนผู้นี้คือใครกัน ทำไมช่างคุ้นเคย เราเคยรู้จักคนผู้นี้หรอ?” เจ้าวั่งซูพูดกับตัวเอง ขณะที่ขาก็พยายามก้าวไปข้างหน้าเพื่อมองให้ชัด แต่ดันเหยียบถูกกิ่งไม้ “กร็อบ!”

ผู้ใดหน่ะ “เสียงนุ่มอ่อนโยนแต่หนักแน่นกล่าวถามขึ้น”

เจ้าวั่งซูทำหน้าเหยเกพร้อมเอ่ย “เอ่อคือข้า ข้า คือ….”

ทันใดนั้น เหล่าพืชพันธุ์รอบกายพากันสลัดใบ ร่วงหล่น เปลี่ยนเป็นสีเทาหม่นคล้ายเถ้า ปลิดปลิวลงกระทบพื้น

เกิดอะไรขึ้น ประตูแห่งภพเปิดออกหรอ ทั้งสองต่างพากัน ชะงักมองไปรอบ

“เแต่ทำไมข้ารู้สึกคุ้นเคย ยามมองเจ้าในอิริยาบถนี้จัง” เจ้าวั่งซูคิดในใจพูดเสียงดังถามออกไป “ท่านเป็นใครกัน เราเคยพบกันมาก่อนไม๊ ท่านจะอยู่ก้บข้าไปชั่วนิรันดร์ไม๊” เจ้าวั่งซูตาพร่า มองฮวาเฟยฟาที่นั่งลงใต้ต้นไม้ริมน้ำนั่นไกลๆ และ พูดจาแปลกๆ

“ท่านเป็นใครเราเคยพบกันมาก่อนไหม?” เจ้าวั่งซูมองหน้าฮวาเฟยฟาและเอ่ยถามอ่อนโยน ก่อนที่ทุกอย่างจะพล่าเบลอและตัดไป

ที่นี่ คือสถานที่ที่เราเคยพบพานครั้งวันวาร และเราสองพบกันเพื่อจับมือก้าวสู่นิรันดร์ เฟยฟาที่รักแห่งข้า”

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ <The Amid Autumn>   บทที่11 กระจกภพพืชพันธุ์ °•.< พืชพันธุ์ รกชัฏ และความลับ 1 >.•°

    ภาพและเรื่องราวตะกี้มันคืออะไร “นี่เราสองคนเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม” เจ้าวั่งซูเหมือนฟื้นจากภวังค์ และ มองที่ฮวาเฟยฟา แม้ภาพจำจะเลือนราง ยังไม่ชัด ความทรงจำที่วิ่งเข้ามายังไม่อาจปะติดปะต่อ บรรยากาศรอบตัวดั่งใบไม้ร่วง และ ดวงหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าที่สะกดใจตัวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เค้าก็มั่นใจว่าคนนี้คือคนสำคัญในชีวิตเค้า“ใช่ไม๊! เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊ โปรดบอกข้าที” เจ้าวั่งซู เอ่ยถามซ้ำฮวาเฟยฟาหลับตาก้มหน้ายิ้มมุมปาก “ใช่สิเจ้าก็ต้องเห็นและรู้สึกเหมือนที่ข้ารู้สึกสินะ”“เรื่องราวในความทรงจำเมื่อกี้มันคืออะไร มันช่างคุ้นเคยเหมือนกับข้าเคยผ่านมันมาเอง ไม่ใช่สิเหมือนเป็นเรื่องคนอื่นที่ข้าไปเป็นและรู้สึกแทนเค้า เค้าคนนั้นคือใคร? ทำไม? และทำไมถึงมีท่านในนั้น?” เจ้าวั่งซูเอ่ยถามวกวนสงสัย“เจ้าคิดว่าพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม“ใช่! ข้ามั่นใจว่ามีท่านในความทรงจำที่ผ่านเข้ามา แต่ข้าไม่รู้ว่าท่านคือใครและข้าคือใคร” เจ้าวั่งซูตอบยืนยัน“ข้าก็คิ

  • ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ <The Amid Autumn>   บทที่10 สุราดอกซ่างฮัวหลัว °•.< ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ 7>.•°

    แสงตะเกียงเริ่มถูกจุดขึ้นทั่วหมู่บ้านชุนเทียน ลามต่อมาตามเส้นทางสู่หุบเขา แต่ละวิญญาณเริ่มแยกออกจากร่าง และ ทุกคนกลับคืนรูปเดิม ใบหน้ายิ้มแย้มและเปี่ยมสุข บรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยชีวิต บรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยความปิติ เสียงหัวเราะ ความยินดี และเปี่ยมสุข เสียงสรวลเฮาฮาของผู้คนทั้งจากภพมนุษย์ ภูติ อมนุษย์ เดรัจฉาน วิญญาณ และอื่นๆ ที่ถูกคำสาปให้ติดอยู่ที่หมู่บ้านต้องสาปแห่งนี้ เริ่มดังก้องเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความยินดีนี้แสงสว่างและเสียงโห่ร้องสะกิดให้ เจ้าวั่งซูหยุดเป่าซวินดำสิบสองซุ่น และหันมาทาง ฮวาเฟยฟา “เฟยเฟย ที่หมู่บ้านเริ่มสว่างหมดแล้ว ข้าได้ยินเสียงงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ข้าอยากไปเห็นผู้คนที่นั่น พวกเราไปกันเถอะ” เจ้าวั่งซูเอ่ยชวนเร่งรีบฮวาเฟยฟาหยุดนิ้วเรียวสวยและเงยหน้ามองเจ้าวั่งซู ยิ้มอ่อนโยน “สิ่งที่เจ้าอยากไปชมที่สุดคงเป็นสุราดอกซ่างฮัวหลัวสินะ”“ฮ่าๆๆๆ! เจ้าช่างรู้ใจข้า แม้สุราที่ดีที่สุดของข้าต้องเป็นสุราจาก ดอกมฤตยูดำ ที่เรือนสกุลเจ้าของข้าปลูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าสุราที่ทำจากดอกซ่างฮัวหลัวที่กำเนิดในหมู่บ้านของพวกเร

  • ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ <The Amid Autumn>   บทที่9 โคลงเจี๋ยหยี่ โคลงคืนชีวิต °•.< ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ 6 >.•°

    “เชิญๆ” พูดเสร็จก็ผายมือโต๊ะอาหารยาวพร้อมอาหารก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่“เชิญๆ นั่งก่อน” หลี่เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยผายมือ“นี่ท่านอาศัยอยู่ในเรือนที่ตกทอดแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม“จริงๆ แล้ว ข้าคือรุ่นแรก ยังไม่มีการสืบทอดกระจกแห่งภพฝัน ข้าคือคนดูแลแต่เพียงผู้เดียว เคยมีคนมาฝึกเผื่อจะรับช่วงต่อแต่ดูเหมือนพวกเค้ายังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงภพฝัน ข้าคิดว่าคงเป็นข้านี่แหละที่ต้องดูแลไปอีกร้อยปีพันปี” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่า“แล้วทำไมท่านไม่แก่ชรา เอ่อ ข้าขออภัย” เจ้าวั่งซูเผลอหลุดปาก“ฮ่าๆๆ! ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ จริงแล้วมันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากข้ามาอยู่ ข้าได้ฝึกวิชา บำเพ็ญตน เพื่อเชื่อมต่อและเข้าสู่ภพฝันหวังเพื่อจะเข้าใจทุกสิ่งในภพนั้นและยึดโยงภพนั้นเข้าเสมือนเป็นส่วนเดียวกัน และวันหนึ่งข้าก็เหมือนเจออาจารย์สองคน ท่านเป็นเทพเซียนจากบนสวรรค์เมตตาชี้นำทางข้า พวกท่านสอนทุกอย่างเกี่ยวกับภพฝันแห่งความเงียบงันให้ข้า การใช้พลังภพฝันนามธรรมและรูปธรรม การสื่อสาร การผนวกรวม การรักษาสมดุลแห่งภพ

  • ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ <The Amid Autumn>   บทที่8 ภพฝันแห่งความเงียบงัน °•.< ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ 5 >.•°

    “เชิญๆ” พูดเสร็จก็ผายมือโต๊ะอาหารยาวพร้อมอาหารก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่“เชิญๆ นั่งก่อน” หลี่เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยผายมือ“นี่ท่านอาศัยอยู่ในเรือนที่ตกทอดแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม“จริงๆแล้ว ข้าคือรุ่นแรก ยังไม่มีการสืบทอดกระจกแห่งภพฝัน ข้าคือคนดูแลแต่เพียงผู้เดียว เคยมีคนมาฝึกเผื่อจะรับช่วงต่อแต่ดูเหมือนพวกเค้ายังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงภพฝัน ข้าคิดว่าคงเป็นข้านี่แหล่ะที่ต้องดูแลไปอีกร้อยปีพันปี” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่า“แล้วทำไมท่านไม่แก่ชรา เอ่อ ข้าขอภัย” เจ้าวั่งซูเผลอหลุดปาก“ฮ่าๆๆ! ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ จริงแล้วมันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากข้ามาอยู่ ข้าได้ฝึกวิชา บำเพ็ญตน เพื่อเชื่อมต่อและเข้าสู่ภพฝันหวังเพื่อจะเข้าใจทุกสิ่งในภพนั้นและยึดโยงภพนั้นเข้าเสมือนเป็นส่วนเดียวกัน และวันนึงข้าก็เหมือนเจออาจารย์สองคน ท่านเป็นเทพเซียนจากบนสวรรค์เมตตาชี้นำทางข้า พวกท่านสอนทุกอย่างเกี่ยวกับภพฝันแห่งความเงียบงันให้ข้า การใช้พลังภพฝันนามธรรมและรูปธรรม การสื่อสาร การผนวกรวม การรักษาสมดุลแห่งภพ แล

  • ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ <The Amid Autumn>   บทที่7 ยักษ์ถูหลันเทพธิดาเม่งเซี๊ยะ °•.< ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ 4 >.•°

    ขณะที่ เทพธิดาเม่งเซี๊ยะลอยสูงขึ้นสว่างไสวเหนือบ่อศักดิ์สิทธิ์ และ ยังเล่าเรื่องราวต่างๆ อยู่นั้นภายในบ่อก็เกิดประกายพวยพุ่งสีแดงออกจากปากบ่อ พร้อมกับอีกร่างที่ลอยตัวขึ้น นั่นคือยักษ์ถูหลัน!ใบหน้าคือมังกรและมีเขาโค้งงอนงามยาวเป็นวงจากด้านหน้าม้วนไปด้านหลังและยาวออกด้านข้าง กายหยาบสีแดง ในมือถือกู่เจิง ลักษณะคล้ายแพะทะเล“เอ๊ะ! หรือว่า ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ยักษ์ถูหลันคือ เทพจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก เทพแพะทะเล” เฟยฟากล่าว“ใช่ ข้าคือถูหลัน อดีตเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก กลุ่มจักราแพะทะเล ส่วน เม่งเซี๊ยะคือเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าทางตะวันตกกลุ่มจักราหญิงพรหมจรรย์ เราทั้งสองจะโคจรมาบรรจบกันปีละครั้งและนั่นก็เป็นจุดกำเนิดความรักของเราสองคน”แต่ทางองค์จักพรรดิ และ องค์จักรพรรดินี รู้ข่าวเลยสั่งให้แยกกันเด็ดขาด แต่พวกเราสองคนไม่ยอม เลยโดนเนรเทศให้มาอยู่ในดินแดนขาวดำแห่งนี้ ภพฝันแห่งความเงียบงัน ภพที่ไม่มีตัวตนของดวงจิตที่ชัดเจน เป็นเพียงภพชั่วคราวของการผ่านของวิญญาณ ร่างที่พวกเจ้าเห็นนั้นคือ ยังมีดวงจิต แต่ดวงจิตล่องลอยในภพฝันนามธรรม”“ข้ามีเรื่องอยากถามท่านทั้งสอง ทำไม พวกท่านสอง

  • ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ <The Amid Autumn>   บทที่6 กระบี่สุสานมังกร °•.< ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ 3 >.•°

    ทั้งสองเดินต่อเข้าไปจนถึงใจกลางถ้ำก็ได้พบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จืออู่ตี้ (บ่อน้ำแห่งจินตนาการ) แสงสว่างเจิดจ้าจากปากบ่อดั่งผงเกล็ดมุกเปล่งประกายระยิบระยับคล้ายมีมนต์เรียกหาล่อลวงให้ผู้พบเห็นเดินเข้าไป แสงวิบวับสะท้อนใบหน้าหวาดกลัวตกใจของเหล่าศีรษะที่ถูกตรึงอยู่ปากเพดานรอบๆ คล้ายว่าสิ่งเหล่านั้นกำลังแยกเขี้ยวร้องโหยหวนเตรียมตะครุบบริเวณรอบๆ เหล่าจิตภูตบินอยู่บนปากบ่อมากมาย เมื่อเจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟาเดินเข้าไปใกล้ ก็พึ่งเห็นแสงสว่าง ฉายเข้ากับหน้าจิตภูติ ตาโตดำ หูตั้งชันสูง ไม่มีจมูก เขี้ยวแหลมเต็มปาก“นี่มันภูติผีรึเปล่าเนี๊ยะ!” เจ้าวั่งซูคิด แต่ก็เพราะหน้าตาเหยเกปนน่ารักน่าชังของเจ้าจิตภูตินี้ ทำให้สติของวั่งซูไขว้เขวถูกดึงกลับมาชั่วครู่“นี่มันมนต์ยั่วยุกลีบบุปผา” เจ้าวั่งซูสะบัดพัดดำในมือร่ายเวทย์ “มนต์สะกดลวงตา จงหายไป!” และโบกสะบัด แสงสีพวยพุ่งตามแฉกกรีบพัด พัดพาเหล่าจิตภูติร้องกระเจิงแตกวง ไอหมอกไอควันวิบวับจากปากบ่อบางตาลงเหลือเพียงไอหมอกใสใส มองผ่านไอหมอกไปอีกด้านขอบบ่อ ฮวาเฟยฟากำลังหมดสติและล้มลงปากบ่อ เจ้าวั่งซูกระโจนเข้าโอบรับและดึงร่างทั้งสองออกห่างปากบ่อ ตอนนี้ฮวาเฟยฟาหมดสติอ

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status