ขณะที่ เทพธิดาเม่งเซี๊ยะลอยสูงขึ้นสว่างไสวเหนือบ่อศักดิ์สิทธิ์ และ ยังเล่าเรื่องราวต่างๆ อยู่นั้น
ภายในบ่อก็เกิดประกายพวยพุ่งสีแดงออกจากปากบ่อ พร้อมกับอีกร่างที่ลอยตัวขึ้น นั่นคือยักษ์ถูหลัน!
ใบหน้าคือมังกรและมีเขาโค้งงอนงามยาวเป็นวงจากด้านหน้าม้วนไปด้านหลังและยาวออกด้านข้าง กายหยาบสีแดง ในมือถือกู่เจิง ลักษณะคล้ายแพะทะเล
“เอ๊ะ! หรือว่า ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ยักษ์ถูหลันคือ เทพจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก เทพแพะทะเล” เฟยฟากล่าว
“ใช่ ข้าคือถูหลัน อดีตเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก กลุ่มจักราแพะทะเล ส่วน เม่งเซี๊ยะคือเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าทางตะวันตกกลุ่มจักราหญิงพรหมจรรย์ เราทั้งสองจะโคจรมาบรรจบกันปีละครั้งและนั่นก็เป็นจุดกำเนิดความรักของเราสองคน”
แต่ทางองค์จักพรรดิ และ องค์จักรพรรดินี รู้ข่าวเลยสั่งให้แยกกันเด็ดขาด แต่พวกเราสองคนไม่ยอม เลยโดนเนรเทศให้มาอยู่ในดินแดนขาวดำแห่งนี้ ภพฝันแห่งความเงียบงัน ภพที่ไม่มีตัวตนของดวงจิตที่ชัดเจน เป็นเพียงภพชั่วคราวของการผ่านของวิญญาณ ร่างที่พวกเจ้าเห็นนั้นคือ ยังมีดวงจิต แต่ดวงจิตล่องลอยในภพฝันนามธรรม”
“ข้ามีเรื่องอยากถามท่านทั้งสอง ทำไม พวกท่านสองคน คนหนึ่งถึงหันหลังคุย! อีกคนปิดตาไม่ลืมตา!” เจ้าวั่งซูเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ดวงตาคู่งามของเม่งเซี๊ยะมีน้ำเอ่อล้นออกมาจากตา แม้ว่าตาคู่งามยังไม่ลืม แต่ก็ยังดูสวยงามดั่งรูปปั้น “มันคือหนึ่งในโทษทัณฑ์ที่พวกข้าได้รับ ข้าไม่อาจมองเห็นคนที่ข้ารัก คนที่ข้ารักไม่อาจหันมองมาทางข้าได้ เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันแต่จะไม่มีวันเห็นกันตลอดกาล และเราสองคนต้องอยู่กับพันธะนี้ไปชั่วกับป์ชั่วกัลป์” เม่งเซี๊ยะเล่าพร้อมหยดน้ำหยดเผาะจากดวงตางาม
“ทำไมกัน แค่มีความรัก เหตุใดจึงต้องตัดสินโทษอะไรมากขนาดนั้น ข้าหามองเห็นว่ามันเป็นความผิดไม่ ความรักคือสิ่งที่ดี ควรเป็นสิ่งเราจะต้องได้รับการเฉลิมฉลองมากกว่า” เจ้าวั่งซู่กอดอกพูดใส่อารมณ์ด้วยความโมโห และ เห็นใจชะตาอันอาภัพของถูหลันและเม่งเซี๊ยะ
“แต่สิ่งที่พวกท่านทำก็ไม่ถูก พวกท่านมีจุดประสงค์อะไรถึงกักขังจิตวิญาณ และ กายหยาบของพวกเค้าเหล่านี้ไว้ ถึงแม้ว่าท่านจะบอกว่าเป็นพวกเค้าเองที่ยอมจำนนต่อความต้องการการตัวเอง และ ติดอยู่ในฝัน แต่ข้าได้ยิน พิณและกู่เจิงอาวุธประจำกายพวกท่านล้วนแต่ทำหน้าที่เป็นกุญแจที่ชักจูงนำทางเข้าออกให้แก่ดวงจิต” ฮวาเฟยฟากล่าว
“ท่านคงไม่ทราบ! องค์ชายมังกร” ยักษ์ถูหลันดูพูดหัวเสีย เปลวเพลิงสีแดงสว่างโพลงขึ้นหุ้มร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ภพสวรรค์เนรเทศพวกเรา และกักพลังจักราวิญญาณของเราสองคนไว้แปดส่วน เหลือเพียงสองส่วนสำหรับใช้อาวุธเทพ แต่พลังชีวิตแทบไม่มี ภพสววรค์ตั้งใจให้พวกเราหมดหนทางและดูดกลืนไอวิญญาณจากอีกฝ่ายจนสลายไป” ถูหลันพูดพร้อมกำกู่เจิงแน่น ในตาโกรธแค้น
“ใช่! ดังนั้นพวกเราสองคนจำเป็นต้องดูดไอวิญญาณจากพวกที่หลงเข้ามานี่เพื่อประคองตัว พวกข้าไม่ได้ทำลายกายหยาบ หรือ แม้แต่วิญญาณพวกเค้า ในภพฝันรูปธรรมรักษากายหยาบ ในภพฝันนามธรรมรักษาดวงจิต” เม่งเซี๊ยะอธิบาย
ฮวาเฟยฟากับเจ้าวั่งซูมองหน้ากัน และ หยุดนิ่งฟังต่อ
“แล้วอย่างท่านนี้หล่ะข้ารู้จัก เทพโจววังซือ (เทพแห่งปัญญา) ท่านไม่มีความจำเป็นต้องลบลี้จากสถานะบนสวรรค์ที่เป็นอยู่มันน่าจะเป็นที่สุขสบายมีแต่คนกราบไหว้นับถือ” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม
“ฮ่าๆๆๆๆ ท่านคิดอย่างนั้นหรอองค์ชายมังกร ที่ว่าบนสวรรค์เป็นที่ที่ดี เจ้าคงลืมไปละว่าพวกข้าสองคนก็คือ หนึ่งในคนที่เคยอยู่ภพสวรรค์มาก่อน และมันไม่ใช่ภพที่สวยสดงดงามขนาดนั้น!
“ท่านดูนั่น เทพลีกวางเซียน (เทพเจ้าแห่งโชคชะตา) ต้องเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตสิ่งมีชีวิตทุกภพ ท่านเห็นทั้งความทุกข์และความสุขแต่ไม่สามารถเลือกชีวิตที่สุขให้แก่ทุกชีวิตได้ บางชีวิตต้องโดนตัดสินให้ผิดหวังชั่วนิรันดร์ก็ต้องทำเพราะหน้าที่ เลยหลบหนีมาทิ้งทุกอย่างเข้าสู่ความฝันนามธรรมที่สามารถเลือกได้ดั่งใจ!”
“และทางนั้น เทพซางสี่เซียน (เทพเจ้าแห่งธัญพืช) ต้องจัดการสร้างไอชีวิตให้แก่เหล่าธัญพืชให้คืนชีวิตเพื่อชีวิตในทุกภพจะสามารถขับเคลื่อน แต่ด้วยความต้องการที่มากเกินจากการกำเนิด ทำให้การผลิตและแจกจ่ายความสมบูรณ์แก่ทุกชีวิตในแต่ละภพติดขัด มีเหล่าดวงจิตตายและดับสูญมากมายเพราะขาดไอแห่งธัญพืชในการเข้าชุบเลี้ยง ภาระที่ยิ่งใหญ่และทำให้ดวงจิตสูญสลายมากมาย ท่านก็รับไมได้และพยายามหนีเรื่องราวทั้งหมดและปวารณาตนเข้าสู่โลกแห่งฝันนามธรรมตลอดกาล” ถูหลันเล่ายาว
“พวกท่านมาสิ ข้าจะพาไปในความฝันของท่านโจววังซือ” เสียงบรรเลงพิณเริ่มถูกบรรเลง ครานี้เจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟา หาได้ตั้งจิตขัดขวางไม่ แต่รอเคลิ้มปล่อยตัวปล่อยใจไปกับทำนองนำพาวิญญาณนั้น
บรรยากาศรอบด้านเปลี่ยนจากภายในถ้ำเป็นภาพสีน้ำฉูดฉาดสาดกระจาย และ เรื่องราวเรียงร้อยประติดปะต่อนำร่างของคนทั้งสี่เข้าไปยืนในเหตุการณ์ที่ร้อยเรียงเสร็จ รอบๆ บริเวณเปลี่ยนเป็นทุ่งดอกไม้ ใบหญ้า สิงสาราสัตว์ บรรยากาศคือฤดูร้อนอันอบอุ่น
“นั่น ท่านโจวซือ ที่นั่งบนโต๊ะนั่น” ฮวาเฟยฟาชี้เอ่ย
“เค้ากำลังทำอะไร” เจ้าวั่งซูเอ่ยถามชะเง้อมอง
“ต้นไม้ และ สัตว์เหล่านี้ถูกปัญญาของท่านโจวซือระบายขึ้นมาทั้งหมด ทุกวันท่านจะออกมาทำการเพาะปลูกด้วยมือ ทำคลอด ให้อาหาร และขยันสร้างธรรมชาติทุ่งหญ้านี้ให้ขยายออกไป และ จะนั่งจิบชา ขับกลอน หลงใหลอยู่ในธรรมชาติเหล่านี้ เสมือนว่าได้ใช้ปัญญาของตนในการสร้างบางสิ่งที่มีคุณค่าที่แท้จริงให้กับภพฝันนามธรรมแห่งนี้ นั่นคือความสุขสงบที่แท้จริง” เม่งเซี๊ยะเล่า
“อย่างนี้นี่เอง ภพฝันแห่งความเงียบ ก็เหมาะดังชื่อ “ภพแห่งขาวดำหาทราบคำตอบที่แน่ชัดไม่” ภพรูปธรรมคือดำ และนามธรรมคือขาว ตั้งทั้งขาวและดำก็ล้วนเป็นสถานที่ปลอดภัยและหลีกลี้หนีจากความทุกข์ทั้งปวงให้กับทุกดวงจิตจากทุกภพ ภาระของพวกท่านช่างน่าเลื่อมใส” เจ้าวั่งซูกล่าว
“แล้วทำไมพวกท่านถึงตั้งใจย้ายภพฝันแห่งความเงียบงันไปทุกที่ ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ว่าภพฝันทำหน้าที่ดึงดูดและหว่านจับเสหมือนเป็นใยแมงมุมรอให้ดวงวิญญาณเข้าไปติด และยิ่งภพมนุษย์ที่ดวงจิตอ่อนแรงไร้พลังจักราต้านทานต่อความต้องการ” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม
“กายและจิตของเราสองคนในฐานะเจ้าภพ ที่ผูกไว้กับหน้าที่และพันธสัญญาในการปลอบประโลมดวงจิตก่อนส่งต่อสู่การเวียนว่าย ได้สร้าง และ หลอมรวม ภพฝันแห่งความเงียบงันขึ้นมา การย้ายที่ของภพนั้นหาได้เกิดจากความตั้งใจ แต่หากเป็นการย้ายตามกระแสจิตที่เรียกร้องอย่างรุนแรง นั่นหมายถึงภพเลือกดวงจิต เมื่อดวงจิตจากภพใดส่งกระแสมาถึงภพฝันแห่งความเงียบงันและพวกข้าเจ้าภพ และ ตัวภพ ก็จะปรากฎขึ้นที่นั่น และ อีกอย่างคือจิตคะนึง,คำนึงหาแห่งเรา” เม่งเซี๊ยะสะอึก ใบหน้างาม ตากวางหลับน้ำตารื้น
“หลี่เลี่ยงเฟิ่ง ลูกชายคนเดียวของพวกเรา กำเนิดอยู่ในภพภูมินี้” ถูหลันกล่าวหน้าเศร้า
“ฮ!ะ หรือท่านหมายถึง หลี่เลี่ยงเฟิง ปรมาจารย์กระจกความฝัน แห่งสำนักเก้าจักยุตกรา” เจ้าวั่งซูเอ่ยตกใจ
“ใช่ เลี่ยงเฟิ่ง คือบุตรชายที่เราแอบส่งลงบนภพมนุษย์ก่อนจะถูกโทษทัณฑ์สวรรค์ ภพต้นกำเนิดเค้าคือ ภพสวรรค์และภพฝันแห่งความเงียบงัน ดวงจิตพวกเราเฝ้าคะนึงหาถึงลูกชายที่พลัดพรากที่มาอยู่ที่นี่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมส่วนใหญ่เราถึงอยู่ที่นี่ เผื่อวันหนึ่งลูกชายเราจะเดินผ่านมา” ถูหลันเอ่ย
“แล้วทำไมท่านไม่ไปพบเค้าหรือเรียกเค้ามา” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม
“เลี่ยงเฟิ่งไม่รู้ว่าพวกเราคือพ่อแม่ เรากลัวว่าถ้ามีคนรู้เค้าจะตกอยู่ในอันตราย แต่ปกติพวกเรา ก็เข้าฝันเค้าสร้างโลกอุปโลกน์ว่าเราเป็นพ่อเป็นแม่แต่ไมได้ใช้ร่างจริงในฝันคือร่างจำแลง เค้าคงได้รับรู้แค่ความรู้สึกว่าเค้ามีพ่อแม่ที่รักเค้า ไม่ได้ทอดทิ้งเค้า และรับรู้ว่าเค้าเกิดมาจากความรักที่แท้จริง” เม่งเซี๊ยะกล่าวน้ำตานอง
“ข้าเคยรู้มาว่า จริงๆ แล้วกระจกความฝันนั้นนอกจากสร้างภาพจำลองภพฝัน และ สอนวิชาสร้างภาพฝันเพื่อล่อลวงศัตรูแล้ว จริงๆ มันยังสามารถเชื่อมกับภพฝันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะว่าชิ้นส่วนที่เอามาสร้างกระจกแต่ละภพเพื่อเป็นแบบเรียนฝึกตนในการระวังภัย และ เรียนรู้สภาพแวดล้อม รวมถึงสภาพความเป็นอยู่ของดวงจิตในแต่ละภพนั้นจำเป็นต้องจำลองมาจากสถานที่จริง และ ทางเดียวคือ ต้องมีการขอชิ้นส่วนสำคัญของแต่ละภพนั้นๆ มาประกอบขึ้น พร้อม “บทสวดจิงไถ่พันธ์ผูกนิรันดร์ ” เพื่อประกอบร่างกระจกเงาที่สามารถสะท้อนและเปิดเผยความเป็นจริงทุกสิ่งของภพนั้นๆ ได้ และ ที่สำคัญคือการเชื่อมกับภพนั้นเสมือนเป็นประตูเข้าออกในกรณีเร่งด่วน และเป็นหน้าที่ของเหล่าปรมาจารย์รุ่นสู่รุ่นที่เป็นผู้ดูแลการเชื่อมโยงและรักษาความลับนั้นไว้กับตัว รวมถึงการถ่ายทอดให้ผู้สืบทอดรุ่นต่อไป เพราะถ้าในกรณีจำเป็นต้องเปิด ก็ จำเป็นต้องมีเคียวสู่ภพของสกุลเจ้าตั้งรับเพื่อปิด ไม่งั้นประตูภพที่ไม่ได้ถูกปิดก็เหมือนหลุมดำที่สร้างความผันผวนในการมีอยู่ของทุกภพและจะเกิดปัญหาใหญ่หลวงแน่นอน” ฮวาเฟยฟาเล่า
“แต่ว่าพวกท่านก็สามารถพบกันได้แม้ไม่ต้องเชื่อมและเปิดประตูภพ เพราะกระจกสามารถเดินผ่านทะลุเข้าและออกได้อิสระ แค่เราบอกท่านเลี่ยงเฟิ่ง ให้เปลี่ยนแบบจำลองภพฝันแห่งความเงียบงันให้เป็นภพฝันแห่งความเงียบงันที่แท้จริง แค่นี้เค้าก็สามารถข้ามผ่านกระจกเข้าไปหาพวกท่านได้โดยที่ไม่ต้องเปิดดประตูภพใดๆ ทั้งนั้น จริงไม๊!? เห็นไม๊ข้าไม่ได้มีดีแค่หน้าตา ฮ่าๆๆ” เจ้าวั่งซูเอ่ยหัวเราะดังลั่น ฮวาเฟยฟาเหลือบมองยิ้มอ่อนโยนส่ายหน้า
“จริงหรอ! มันสามารถทำแบบนั้นได้จริงหรอ” เม่งเซี๊ยะเอ่ยถามซ้ำ ไม่แน่ใจ
“ใช่ เพียงแต่พวกท่านต้องแสดงตัวให้เค้ารับรู้ก่อน ว่าพวกท่านคือพ่อแม่ และ ดูว่าท่านเลี่ยงเฟิงจะว่ายังไง ส่วนเรื่องการใช้ภพฝันจริงเข้าแทนที่ภาพมายาภพฝันที่สร้างขึ้นไม่ใช่ปัญหา มันยังสามารถ เรียนสอน และ ได้เรียนจากภพฝันที่แท้จริงหาใช่เรียนจากแค่ภาพมายา และ ท่านพ่อแม่ลูกก็จะได้อยู่ร่วมกันไปตลอด ข้าว่ามันช่างวิเศษ ไม่มีเรื่องใดน่ายินดีเท่านี้” เจ้าวั่งซูเอ่ยพร้อมดีดนิ้วสาแก่ใจ
ฮวาเฟยฟาเสริมว่า “ส่วนเรื่องการย้ายภพ เพื่อรับดวงวิญญาณที่มีวาสนาและพันธะเข้าสู่ภพฝัน พวกท่านก็ยังสามารถทำได้ปกติ เพราะในระหว่างที่ภพฝันแห่งความเงียบงันย้ายออก ภาพมายาก็ย้ายเข้าสลับไปมา ทุกสิ่งดูลงตัวและไม่ผิดกฎเกณฑร์ใดๆ ทั้งสิ้น”
ถูหลันและเม่งเซี๊ยะน้ำตาคลอเข่าทรุดลง คำนับ เจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟา “บุญคุณครั้งนี้พวกข้าไม่รู้จะตอบแทนพวกท่านยังไง”
“ช้าก่อนท่านทั้งสอง พวกเราไม่ได้ทำอะไรมากแค่ชี้ทาง และพวกท่านก็ทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มาตลอด ท่านทั้งสองไม่สมควรมีชะตาที่น่าเศร้าใจเช่นนี้ นับเป็นวาสนาที่พวกเราได้พบ ข้าทั้งสองคนดีใจที่ได้มีส่วนช่วยชี้ทางสว่างในเรื่องนี้” เจ้าวั่งซูเอ่ย
เจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟาเดินเข้ากอปรแขนถูหลันและเม่เซี๊ยะที่คุกเข่าลงคำนับต่อหน้าขึ้นอย่างอ่อนโยน
“พวกข้าสองคนขออภัยที่ล่วงเกินท่านสองคนก่อนหน้านี้” เม่งเซี๊ยะและถูหลันกล่าวพร้อมโค้งคำนับ เจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟารับการคารวะอีกรอบ
“เอาหล่ะ พวกข้าจะกลับไปที่สำนักเพื่อไปแจ้งให้ท่านเลี่ยงเฟิงทราบและพาเค้ามาที่นี่” เจ้าวั่งซูกล่าว
“แต่! แต่! พวกข้า” ถูหลันเอ่ยลังเล
“พวกท่านอย่าได้กังวลไป ข้าว่าเค้าต้องดีใจยิ่งนักที่รู้ว่าพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ และ คอยเฝ้าดู อยู่เป็นเพื่อนกับเค้ามาตลอดทั้งชีวิต พวกท่านไม่ได้ทอดทิ้งเค้า แต่พวกท่ารักเค้าทุกขณะจิต” ฮวาเฟยฟาเสริม
“ขอบคุณองค์ชาย พวกข้าจะรอข่าวดีจากพวกท่านอยู่ตรงนี้” กล่าวเสร็จ ถูหลันก็บรรเลงกู่เจิงบังคับจิตเรียกให้ประติมากรรมบนฝาผนังเหล่านั้นขยับและคลายตัวขึ้นด้านบนขยายทางที่เข้ามาให้กว้าง ถูหลันหยิบทรายขนแกะทองคำร่ายมนตร์ และ โปรยไปแหวกทางเหล่าจิตภูติฟื้นคืนสติรวมตัวระยิบระยับเปล่งแสงนำทาง ฮวาเฟยฟาและเจ้าวั่งซูให้กลับออกเส้นทางเดิมที่เดินเข้ามา
เจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟาเหาะตามแสงจิตภูติมาจนถึงปากทางเข้า และ หันมาพยักหน้าลากลุ่มจิตภูติ ก่อนที่เหล่ากิ่งไม้ใบหญ้าเถาวัลย์จะปิดปากถ้ำลง เหลือเพียงความมืดมิดและวังเวงในป่า เจ้าวั่งซูและและเฟยฟาเหาะต่อด้วยความเร็วทะลุออกจากป่ามาสู่หลังสำนัก และมุ่งตรงสู่เรือนที่พักหลี่เหลี่ยงเฟิ่ง
“ก็อกๆๆ!”
“ผู้ใดหน่ะ มายามค่ำคืน” หลี่เหลี่ยงเฟิ่งเอ่ยถามผู้มาเยือนยามวิกาล
“ข้าฮวาเฟยฟา เจ้าวั่งซู ขออภัยที่มารบกวนยามวิกาล อยากจะรบกวนเวลาผู้อาวุโสเพื่อแจ้งเรื่องสำคัญ” เจ้าวั่งซูเอ่ย
ประตูบานใหญ่ผลักออก เปิดให้เห็นด้านในบ้านพักของหลี่เหลี่ยงเฟิง รอบๆ บรรยากาสเต็มไปด้วยไอหมอกและฟองสบู่ เหล่าจิตภูติเหมือนที่เราพบในถ้ำนั่นเต็มไปหมด ด้านบนเพดานเปิดโล่งเป็นรูปม่านเมฆ และ สีรุ้งเปล่งประกายระยิบระยับ ที่นี่คือสถานที่ในฝันที่แท้จริง
เจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟามองบริเวณรอบไม่วางตา ชิงหลงที่ขดตัวเล็กเกาะบนบ่าฮวาเฟยฟาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หลิ่งกวางกระโจนออกจากแขนเสื้อวั่งซูวิ่งเข้าหายไปในม่านหมอก พร้อมกับการปรากฏกายขึ้นของหลี่เหลี่ยงเฟิง ขี่ปุยเมฆพร้อมเหล่าจิตภูติเกาะอยู่ตามตัวและบ่า ใบหน้าคมมีดเมตตาเปล่งสว่างลอยมาหยุดตรงหน้า เค้ายังดูไม่แก่เลยกลับดูหนุ่มมากเหมือนรุ่นราวคราวเดียวกัน
“ท่านฮวาเฟยฟา บุตรชายแห่งมังกรที่ยิ่งใหญ่ และท่านเจ้าผู้เลื่องชื่อ ฮ่าๆๆๆ! ข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบพวกท่าน” หลี่เหลี่ยงเฟิงเอ่ยพร้อมหัวเราะร่าเสียงดัง
“เจ้าวั่งซูรู้สึกทะแม่งๆ กับคำทักทาย ทำไมคนหนึ่งดูตำแหน่งยิ่งใหญ่พร้อมคำสรรเสริญ ส่วนตำแหน่งข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะนำมาเลย เห้อ! เป็นอย่างนี้อยู่ร่ำไปสิหน่า” เจ้าวั่งซูคิดในใจ
ฮวาเฟยฟาหันมอง อมยิ้มแบบรู้ทัน
ภาพและเรื่องราวตะกี้มันคืออะไร “นี่เราสองคนเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม” เจ้าวั่งซูเหมือนฟื้นจากภวังค์ และ มองที่ฮวาเฟยฟา แม้ภาพจำจะเลือนราง ยังไม่ชัด ความทรงจำที่วิ่งเข้ามายังไม่อาจปะติดปะต่อ บรรยากาศรอบตัวดั่งใบไม้ร่วง และ ดวงหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าที่สะกดใจตัวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เค้าก็มั่นใจว่าคนนี้คือคนสำคัญในชีวิตเค้า“ใช่ไม๊! เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊ โปรดบอกข้าที” เจ้าวั่งซู เอ่ยถามซ้ำฮวาเฟยฟาหลับตาก้มหน้ายิ้มมุมปาก “ใช่สิเจ้าก็ต้องเห็นและรู้สึกเหมือนที่ข้ารู้สึกสินะ”“เรื่องราวในความทรงจำเมื่อกี้มันคืออะไร มันช่างคุ้นเคยเหมือนกับข้าเคยผ่านมันมาเอง ไม่ใช่สิเหมือนเป็นเรื่องคนอื่นที่ข้าไปเป็นและรู้สึกแทนเค้า เค้าคนนั้นคือใคร? ทำไม? และทำไมถึงมีท่านในนั้น?” เจ้าวั่งซูเอ่ยถามวกวนสงสัย“เจ้าคิดว่าพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม“ใช่! ข้ามั่นใจว่ามีท่านในความทรงจำที่ผ่านเข้ามา แต่ข้าไม่รู้ว่าท่านคือใครและข้าคือใคร” เจ้าวั่งซูตอบยืนยัน“ข้าก็คิ
แสงตะเกียงเริ่มถูกจุดขึ้นทั่วหมู่บ้านชุนเทียน ลามต่อมาตามเส้นทางสู่หุบเขา แต่ละวิญญาณเริ่มแยกออกจากร่าง และ ทุกคนกลับคืนรูปเดิม ใบหน้ายิ้มแย้มและเปี่ยมสุข บรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยชีวิต บรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยความปิติ เสียงหัวเราะ ความยินดี และเปี่ยมสุข เสียงสรวลเฮาฮาของผู้คนทั้งจากภพมนุษย์ ภูติ อมนุษย์ เดรัจฉาน วิญญาณ และอื่นๆ ที่ถูกคำสาปให้ติดอยู่ที่หมู่บ้านต้องสาปแห่งนี้ เริ่มดังก้องเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความยินดีนี้แสงสว่างและเสียงโห่ร้องสะกิดให้ เจ้าวั่งซูหยุดเป่าซวินดำสิบสองซุ่น และหันมาทาง ฮวาเฟยฟา “เฟยเฟย ที่หมู่บ้านเริ่มสว่างหมดแล้ว ข้าได้ยินเสียงงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ข้าอยากไปเห็นผู้คนที่นั่น พวกเราไปกันเถอะ” เจ้าวั่งซูเอ่ยชวนเร่งรีบฮวาเฟยฟาหยุดนิ้วเรียวสวยและเงยหน้ามองเจ้าวั่งซู ยิ้มอ่อนโยน “สิ่งที่เจ้าอยากไปชมที่สุดคงเป็นสุราดอกซ่างฮัวหลัวสินะ”“ฮ่าๆๆๆ! เจ้าช่างรู้ใจข้า แม้สุราที่ดีที่สุดของข้าต้องเป็นสุราจาก ดอกมฤตยูดำ ที่เรือนสกุลเจ้าของข้าปลูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าสุราที่ทำจากดอกซ่างฮัวหลัวที่กำเนิดในหมู่บ้านของพวกเร
“เชิญๆ” พูดเสร็จก็ผายมือโต๊ะอาหารยาวพร้อมอาหารก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่“เชิญๆ นั่งก่อน” หลี่เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยผายมือ“นี่ท่านอาศัยอยู่ในเรือนที่ตกทอดแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม“จริงๆ แล้ว ข้าคือรุ่นแรก ยังไม่มีการสืบทอดกระจกแห่งภพฝัน ข้าคือคนดูแลแต่เพียงผู้เดียว เคยมีคนมาฝึกเผื่อจะรับช่วงต่อแต่ดูเหมือนพวกเค้ายังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงภพฝัน ข้าคิดว่าคงเป็นข้านี่แหละที่ต้องดูแลไปอีกร้อยปีพันปี” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่า“แล้วทำไมท่านไม่แก่ชรา เอ่อ ข้าขออภัย” เจ้าวั่งซูเผลอหลุดปาก“ฮ่าๆๆ! ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ จริงแล้วมันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากข้ามาอยู่ ข้าได้ฝึกวิชา บำเพ็ญตน เพื่อเชื่อมต่อและเข้าสู่ภพฝันหวังเพื่อจะเข้าใจทุกสิ่งในภพนั้นและยึดโยงภพนั้นเข้าเสมือนเป็นส่วนเดียวกัน และวันหนึ่งข้าก็เหมือนเจออาจารย์สองคน ท่านเป็นเทพเซียนจากบนสวรรค์เมตตาชี้นำทางข้า พวกท่านสอนทุกอย่างเกี่ยวกับภพฝันแห่งความเงียบงันให้ข้า การใช้พลังภพฝันนามธรรมและรูปธรรม การสื่อสาร การผนวกรวม การรักษาสมดุลแห่งภพ
“เชิญๆ” พูดเสร็จก็ผายมือโต๊ะอาหารยาวพร้อมอาหารก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่“เชิญๆ นั่งก่อน” หลี่เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยผายมือ“นี่ท่านอาศัยอยู่ในเรือนที่ตกทอดแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม“จริงๆแล้ว ข้าคือรุ่นแรก ยังไม่มีการสืบทอดกระจกแห่งภพฝัน ข้าคือคนดูแลแต่เพียงผู้เดียว เคยมีคนมาฝึกเผื่อจะรับช่วงต่อแต่ดูเหมือนพวกเค้ายังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงภพฝัน ข้าคิดว่าคงเป็นข้านี่แหล่ะที่ต้องดูแลไปอีกร้อยปีพันปี” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่า“แล้วทำไมท่านไม่แก่ชรา เอ่อ ข้าขอภัย” เจ้าวั่งซูเผลอหลุดปาก“ฮ่าๆๆ! ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ จริงแล้วมันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากข้ามาอยู่ ข้าได้ฝึกวิชา บำเพ็ญตน เพื่อเชื่อมต่อและเข้าสู่ภพฝันหวังเพื่อจะเข้าใจทุกสิ่งในภพนั้นและยึดโยงภพนั้นเข้าเสมือนเป็นส่วนเดียวกัน และวันนึงข้าก็เหมือนเจออาจารย์สองคน ท่านเป็นเทพเซียนจากบนสวรรค์เมตตาชี้นำทางข้า พวกท่านสอนทุกอย่างเกี่ยวกับภพฝันแห่งความเงียบงันให้ข้า การใช้พลังภพฝันนามธรรมและรูปธรรม การสื่อสาร การผนวกรวม การรักษาสมดุลแห่งภพ แล
ขณะที่ เทพธิดาเม่งเซี๊ยะลอยสูงขึ้นสว่างไสวเหนือบ่อศักดิ์สิทธิ์ และ ยังเล่าเรื่องราวต่างๆ อยู่นั้นภายในบ่อก็เกิดประกายพวยพุ่งสีแดงออกจากปากบ่อ พร้อมกับอีกร่างที่ลอยตัวขึ้น นั่นคือยักษ์ถูหลัน!ใบหน้าคือมังกรและมีเขาโค้งงอนงามยาวเป็นวงจากด้านหน้าม้วนไปด้านหลังและยาวออกด้านข้าง กายหยาบสีแดง ในมือถือกู่เจิง ลักษณะคล้ายแพะทะเล“เอ๊ะ! หรือว่า ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ยักษ์ถูหลันคือ เทพจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก เทพแพะทะเล” เฟยฟากล่าว“ใช่ ข้าคือถูหลัน อดีตเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก กลุ่มจักราแพะทะเล ส่วน เม่งเซี๊ยะคือเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าทางตะวันตกกลุ่มจักราหญิงพรหมจรรย์ เราทั้งสองจะโคจรมาบรรจบกันปีละครั้งและนั่นก็เป็นจุดกำเนิดความรักของเราสองคน”แต่ทางองค์จักพรรดิ และ องค์จักรพรรดินี รู้ข่าวเลยสั่งให้แยกกันเด็ดขาด แต่พวกเราสองคนไม่ยอม เลยโดนเนรเทศให้มาอยู่ในดินแดนขาวดำแห่งนี้ ภพฝันแห่งความเงียบงัน ภพที่ไม่มีตัวตนของดวงจิตที่ชัดเจน เป็นเพียงภพชั่วคราวของการผ่านของวิญญาณ ร่างที่พวกเจ้าเห็นนั้นคือ ยังมีดวงจิต แต่ดวงจิตล่องลอยในภพฝันนามธรรม”“ข้ามีเรื่องอยากถามท่านทั้งสอง ทำไม พวกท่านสอง
ทั้งสองเดินต่อเข้าไปจนถึงใจกลางถ้ำก็ได้พบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จืออู่ตี้ (บ่อน้ำแห่งจินตนาการ) แสงสว่างเจิดจ้าจากปากบ่อดั่งผงเกล็ดมุกเปล่งประกายระยิบระยับคล้ายมีมนต์เรียกหาล่อลวงให้ผู้พบเห็นเดินเข้าไป แสงวิบวับสะท้อนใบหน้าหวาดกลัวตกใจของเหล่าศีรษะที่ถูกตรึงอยู่ปากเพดานรอบๆ คล้ายว่าสิ่งเหล่านั้นกำลังแยกเขี้ยวร้องโหยหวนเตรียมตะครุบบริเวณรอบๆ เหล่าจิตภูตบินอยู่บนปากบ่อมากมาย เมื่อเจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟาเดินเข้าไปใกล้ ก็พึ่งเห็นแสงสว่าง ฉายเข้ากับหน้าจิตภูติ ตาโตดำ หูตั้งชันสูง ไม่มีจมูก เขี้ยวแหลมเต็มปาก“นี่มันภูติผีรึเปล่าเนี๊ยะ!” เจ้าวั่งซูคิด แต่ก็เพราะหน้าตาเหยเกปนน่ารักน่าชังของเจ้าจิตภูตินี้ ทำให้สติของวั่งซูไขว้เขวถูกดึงกลับมาชั่วครู่“นี่มันมนต์ยั่วยุกลีบบุปผา” เจ้าวั่งซูสะบัดพัดดำในมือร่ายเวทย์ “มนต์สะกดลวงตา จงหายไป!” และโบกสะบัด แสงสีพวยพุ่งตามแฉกกรีบพัด พัดพาเหล่าจิตภูติร้องกระเจิงแตกวง ไอหมอกไอควันวิบวับจากปากบ่อบางตาลงเหลือเพียงไอหมอกใสใส มองผ่านไอหมอกไปอีกด้านขอบบ่อ ฮวาเฟยฟากำลังหมดสติและล้มลงปากบ่อ เจ้าวั่งซูกระโจนเข้าโอบรับและดึงร่างทั้งสองออกห่างปากบ่อ ตอนนี้ฮวาเฟยฟาหมดสติอ