ทั้งสองเดินต่อเข้าไปจนถึงใจกลางถ้ำก็ได้พบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จืออู่ตี้ (บ่อน้ำแห่งจินตนาการ) แสงสว่างเจิดจ้าจากปากบ่อดั่งผงเกล็ดมุกเปล่งประกายระยิบระยับคล้ายมีมนต์เรียกหาล่อลวงให้ผู้พบเห็นเดินเข้าไป แสงวิบวับสะท้อนใบหน้าหวาดกลัวตกใจของเหล่าศีรษะที่ถูกตรึงอยู่ปากเพดานรอบๆ คล้ายว่าสิ่งเหล่านั้นกำลังแยกเขี้ยวร้องโหยหวนเตรียมตะครุบ
บริเวณรอบๆ เหล่าจิตภูตบินอยู่บนปากบ่อมากมาย เมื่อเจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟาเดินเข้าไปใกล้ ก็พึ่งเห็นแสงสว่าง ฉายเข้ากับหน้าจิตภูติ ตาโตดำ หูตั้งชันสูง ไม่มีจมูก เขี้ยวแหลมเต็มปาก
“นี่มันภูติผีรึเปล่าเนี๊ยะ!” เจ้าวั่งซูคิด แต่ก็เพราะหน้าตาเหยเกปนน่ารักน่าชังของเจ้าจิตภูตินี้ ทำให้สติของวั่งซูไขว้เขวถูกดึงกลับมาชั่วครู่
“นี่มันมนต์ยั่วยุกลีบบุปผา” เจ้าวั่งซูสะบัดพัดดำในมือร่ายเวทย์ “มนต์สะกดลวงตา จงหายไป!” และโบกสะบัด แสงสีพวยพุ่งตามแฉกกรีบพัด พัดพาเหล่าจิตภูติร้องกระเจิงแตกวง ไอหมอกไอควันวิบวับจากปากบ่อบางตาลงเหลือเพียงไอหมอกใสใส มองผ่านไอหมอกไปอีกด้านขอบบ่อ ฮวาเฟยฟากำลังหมดสติและล้มลงปากบ่อ เจ้าวั่งซูกระโจนเข้าโอบรับและดึงร่างทั้งสองออกห่างปากบ่อ ตอนนี้ฮวาเฟยฟาหมดสติอยู่ในอ้อมแขนเจ้าวั่งซู เจ้าวั่งซูเอามือตีแก้มเบาๆ
“เฟยเฟย เจ้าเป็นไรไม๊! ตื่นสิ!”
ยังไม่มีสัญญาณการมีสติ เมื่อตีไปได้สักพัก มือของเจ้าวั่งซูกลับเปลี่ยนเป็นลูบและสัมผัสอย่างเบาๆ อ่อนโยนคลึงไปมา “ทำไมผิวเจ้าถึงละเอียดขาวดังหิมะแต่เย็นยะเยือก ขนตายาวเป็นแพ จมูกโด่ง ปากคมอิ่มเอิม ช่างงดงามเหมือนมังกรน้ำยามนิทรา”
“เฮ้ย! นี่ข้าคิดอะไร เจ้าวั่งเอ้ย นี่มัน”
ฮวาเฟยฟาได้สติเริ่มลืมตาขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกับข้า เจ้าวั่งซู ข้าจำได้ว่าพวกเราพบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่น และและ...”
“ใช่ บ่อน้ำนั่น แสงจากบ่อนั่น และจากพวกจิตภูต รวมถึงกะโหลกด้านบน ล้วนเป็นกับดัก ร่ายมนต์ยั่วยุกลีบบุปผา ล่อลวงสิ่งต่างๆ มาติดกับเข้ามาได้ แต่ ไม่มีชีวิตรอดจากนี่ไปได้” เจ้าวั่งซูกล่าว
“แต่อะไรทำให้พวกนี้ต้องมาตายสภาพแช่แข็งเช่นนี้หล่ะ” ฮวาเฟยฟาครุ่นคิด
“เอ๊ะ! ผลึกวิบวับจากบ่อนั่นเหมือนข้าเคยเห็น มันคือทราย หยิงเซ่อหยางเหมา (ขนแกะเงิน) และ จิงเซ่อหยางเหมา (ขนแกะทองคำ) ของ ยักษ์ถูหลันเม่งเซี๊ยะ-มารฝัน จากภพฝัน” ทั้งสองหันมามองหน้ากัน
“แล้วมันคือใคร!” เจ้าวั่งซูกล่าว
“ฮ่าๆๆๆ! ข้าก็คิดว่าเจ้าจะรู้” เฟยฟาหัวเราะร่าออกมา
“แหะแหะ! ไม่! ข้าอาจจะพึ่งมากำเนิดได้ไม่นาน หรือ ไม่ค่อยได้ตั้งเล่าเรียนตอนเด็กๆ” เจ้าวั่งซูลูบหัวตัวเอง
“ยักษ์ถูหลันเม่งเซี๊ยะหรือมารฝันคือเจ้าผู้ปกครองภพฝันแห่งความเงียบงัน เป็นภพเดียวที่มิอาจแบ่งแยกขาวดำชัดเจน จริงๆ แล้วอีกชื่อหนึ่งตามที่ตำราในหอมนต์ตราสววรค์เขียนไว้คือ มันควรจะถูกเรียกว่า “ภพฝันนามธรรม และ ภพฝันรูปธรรม” ข้าเคยได้ยินว่าเจ้าภพฝัน มารฝันนั้น มีสองคนในร่างเดียว คือ
“ฝันดี (เม่งเซี๊ยะ-นางฟ้าถือพิณและทรายหยิงเซ่อหยางเหมา (ขนแกะเงิน) และ ฝันร้าย (ถูหลัน-ยักษ์สีแดงหน้าตาน่ากลัวเขี้ยวล้นปากถือกู่เจิงและทรายจิงเซ่อหยางเหมา (ขนแกะทองคำ) ”
“ร่างหนึ่งทำหน้าที่กระจายฝันดีสู่ทุกภพด้วยพิณสะกดใจ และ พาดวงจิตที่เร่ร่อนออกจากร่างมาสู่ภพฝัน ก่อฝัน สร้างฝัน ด้วยทรายขนแกะเงิน เรียกได้ว่าทำให้ผู้คนพบความฝันที่สวยงามและสำเร็จทำให้ดวงจิตสว่างสไวขึ้น”
“ส่วนอีกร่างฝันร้ายในทางตรงข้ามคือกระจายฝันร้าย ความดำมืด สู่ฝันผู้คนด้วยกู่เจิงบังคับจิตและทรายขนแกะทองคำ นำพาดวงจิตที่ตกอยู่ในความฝันล่องไปในทางมืดและดำเปลี่ยว ฝันร้ายแบบที่สุดในโลก”
“มารฝันจะได้ไอสว่างจากจิตวิญญาณเป็นค่าตอบแทน และ คนผู้นั้นจะสูญเสียความกระปรี้กระเปร่าไปในร่างจริงเนื่องด้วยเศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่นำไปแรกมา ว่ากันว่ามีสิ่งมีชีวิตจากต่างภพมากมายที่หลงอยู่กับฝันตน จนโดนดูดซับไอชีวิตหมดสิ้นแสงสว่างแห่งดวงจิตจนแห้งเฉากึ่งเป็นกึ่งตาย สรุปเลยยังไม่มีใครรู้ว่าตกลง เจ้าภพฝัน และ ภพฝันนั้นดีหรือไม่ดี และเกิดมาเพื่อสิ่งใด” ฮวาเฟยฟาเอ่ย
“เอ่ออ! กึ่งเป็น! กึ่งตาย! เหี่ยวเฉา! แบบพวกที่อยู่ด้านบนผนังถ้ำนั่นรึเปล่า” เจ้าวั่งซูกล่าว
“จริงด้วย สภาพกายเหล่านี้ ดูซีดเหี่ยวแห้งคล้ายโดนดูดไอแห่งดวงจิตไปจนหมด” เฟยฟากล่าว
“จริงๆ ด้วย ข้าพึ่งนึกออก ความสามารถของมารฝันอีกอย่างหนึ่งคือสามารถย้ายภพฝันเข้าซ้อนทับภพอื่น โดยที่ไม่ได้ออกจากภพตัวเอง แต่เป็นการยกภพทั้งหมดมาวางซ้อนลงบนภพอื่น หรือว่านั่นคือการสร้างภพนามธรรม เข้าทับซ้อน ภพรูปธรรม” ฮวาเฟยฟาเอ่ยครุ่นคิด
“ใช่! ถ้าแบบนี้แสดงว่า ถ้ำนี้! บ่อนี้! คือภพฝันแห่งความเงียบงัน และ ได้ถูกย้ายไปหลายๆ ภพในลักษณะซ้อนทับลงเหมือนกับดักรอเหยื่อจากภพนั้นๆ เดินเข้ามา และ เอาชีวิตมาทิ้งที่นี้” เจ้าวั่งซูกล่าว
“ถ้างั้นพวกเราก็ไม่น่าจะ.......”
สิ้นเสียง เหล่าซากศพรอบๆ รอบๆ ถ้ำ เริ่มสั่น และ ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ลมแรง พวกจิตภูติสแยะยิ้มแยกเขี้ยวคล้ายมันบ้าขึ้น
“หรือว่า....พวกนี้ก็เป็นเหยื่อของภพฝันแห่งความเงียบ เข้ามา และ ถูกทำให้ไร้สติ! แสดงว่าทุกสิ่งที่เข้ามาในนี้ล้วนเสียสติเพราะฤทธิ์ของ......” ยังไม่สิ้นเสียงความคิดขอฮวาเฟยฟา
“ฮ่ะ! เสียงพิณ เสียงกู่เจิง และ ละอองทรายที่ลอยวิบวับอยู่ในถ้ำนี้ทั้งหมด คือกับดัก! ไปเร็ว! รีบออกไปจากที่นี่! วั่งซู”
ฮวาเฟยฟาตะโกนเรียก และ พุ่งเข้าโอบกอดรัดตัวเจ้าวั่งซู เหาะตรงย้อนกลับทางที่เข้ามา ประติมากรรมสิ่งมีชีวิตที่ร้องโหยหวนตามผนังและเพดานถ้ำ เอื้อมมือมาปัดขัดขวาง ยื่นหน้า ยื่นปากลิ้นฟันเข้ามาจะกัดกลืนกิน ทุกสิ่งทุกอย่างในนี้ขยับตะครุบทั้งสองคนอย่างวุ่นวายไปหมด เหล่าจิตภูติรวมตัวบินตรึงแขนขาฮวาเฟยฟาและเจ้าวั่งซูไม่ให้ขยับไปต่อ เหล่ามือเป็นร้อยเป็นพันมือแย่งกันยื่นจับยึดร่างทั้งสองไม่ให้ขยับไป ดูหมือนจะสายเกินไป ทั้งสองยังไม่ถึงปากถ้ำ ทางกลับออกไปสู่ปากถ้ำเริ่มปิดลง
“ช้า!ช้าก่อน! นั่น! มีบางสิ่งกำลังขึ้นมาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์” เจ้าวั่งซูยังอยู่ในการโอบรัดในอ้อมแขนของฮวาเฟยฟา ชี้ไปที่ปากบ่อน้ำ
“ฮ่ะ! นั่นมัน! มารฝัน นี่เราติดอยู่ในกับดักฝัน หนีออกไปไม่ได้”
แสงเจิดจ้าพวยพุ่งขึ้นจากปากบ่อ เทพธิดาเม่งเซี๊ยะ ค่อยๆ ลอยปรากฏกายโผล่ขึ้นจากบ่อ กายหยาบที่ขาวละเอียด และ ดวงหน้าคมมนช่างงดงามเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ แต่ ที่แปลกตาคือบนศีรษะมีเขาแพะอันใหญ่ขดเป็นเกลียวบนหัว สองมืออุ้มประคองพิณ ดวงตากวางเรียวงามคู่นั้นหลับไม่เปิดขึ้น
“นั่นต้องเป็นเม่งเซี๊ยะ ข้าเข้าใจละว่าทรายขนแกะเงินคือมาจากขนของตัวนางเอง” ฮวาเฟยฟาเอ่ย
“เจ้าคือเทพธิดาเม่งเซี๊ยะ เจ้าภพฝันแห่งความเงียบงันใช่หรือไม่ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวภพมนุษย์”
“ใช่คือข้าเอง พวกเจ้าเก่งไม่น้อยที่รู้จักข้า และ ภพฝันแห่งความเงียบงัน” เม่งเซี๊ยะพูดทั้งที่ยังลอยอยู่ในอิริยาบทชดช้อยงดงามคล้ายถือพิณกำลังฟ้อนรำ และ ดวงตาคู่งามก็มิได้เปิดขึ้น
ฮวาเฟยฟา ผายมือในอากาศ ไป่ชิงหลงปรากฏกายขึ้นด้านหลังขดตัวสูงอยู่เหนือฮวาเฟยฟา และ อ้าปากเปล่งแสงจากลำคอพวยพุ่งกระบี่สีขาวหยก รูปร่างเหมือนแฉกเขี้ยวมังกรขาวลอยเปล่งแสงออกจากปากไป่ชิงหลง กระบี่เล่มนี้เป็นหนึ่งในอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี
กว่าหมื่นปีที่มีการถือกำเนิดของโลกนี้ และ หนึ่งสัตว์ที่เก่าแก่มากที่สุดที่ถือเกิดมาพร้อมกับโลกใบนี้ ณ ภพเดรัจฉาน คือ เผ่ามังกร และ ในทุกๆ ครั้งของการถือกำเนิดและดับสลายในทุกคมเขี้ยว พลัง จากซากสังขารมังกรจะกอรปรวมเข้ากับดวงจิตลอยออกมาเข้ารวมร่างกับกระบี่เล่มนี้ นั่นหมายถึง กระบี่เล่มนี้คือที่รวมกันของดวงวิญญาณทุกดวงของบรรพบุรุษเผ่าพันธุ์มังกร
“กระบี่สุสานมังกร!”
เทพธิดาเม่งเซี๊ยะ เริ่มร่ายรำไปมาพร้อมดีดพิณประจำกาย “ทำนองนำพาวิญญาณ”
หนึ่งในทำนองเก่าแก่จาก “ตำนานปีศาจขโมยฝัน ปีศาจตั้งแต่สมัยบรรพกาลลักษณะเหมือนคนแคระเครายาวแบกถุงเข้าขโมยความฝันของผู้คนยามค่ำคืน” ทำนองนี้ที่ถูกเก็บไว้ใน หอจิ่งซือเย่เถวีย (หอมนตราสวรรค์) ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้และเป็นหนึ่งในทำนองที่ถูกทำให้ลืมไปตลอดกาล
ดวงตากวางยาวยังคงหลับ เม่งเซี๊ยะเริ่มดีดนิ้วเรียวไล้ไปบนพิณ เสียงแว่วหลอนซึ้งถูกดีดออกมาประสานเข้ากับสายลม จังหวะช้าระรื่นถี่ถี่กระเพื่อมเข้าโสดประสาท เม่งเซี๊ยะยกตวัดนิ้วสวยดีดนิ้วเร่งจังหวะอีกครั้ง
เหล่าร่างที่ถูกตรึงบนผนังถ้ำ เริ่มส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนเหมือนโดนปลุก และ ร้องอย่างเจ็บปวดแต่ก็ไม่มีทางหลุดจากพันธนาการที่รัดรึงไว้
“โอ๊ย! เสียงนี่มันคือเสียงอะไร ไพเราะ! ยั่วยวน! ดึงดูด! และทรมานในใจ!” วั่งซูเอามือกุมหัวแน่น
“ปิดหู! วั่งซู!” ฮวาเฟยฟาบอก อย่าไปฟัง อันนี้คือทำนองปีศาจ มันจะล่อลวงดวงจิตเข้าสู่ความฝัน และ จะติดอยู่ในนั้นนิรันดร์”
“วี๊ดด! วี้! โฮ๊ก! กรี๊ด! ว๊าก!” เสียงร้องโหยหวนทรมานดังกระหึ่มทั่วถ้ำรอบด้าน
เฟยฟาตวัดกระบี่ขึ้นเป็นแนวตั้งฉาก ตั้งจิตรวมพลัง สองนิ้วกรีดกระบี่ ร่ายมนต์
“มนต์กลืนกินความมืดแห่งเผ่ามังกร” กระบี่สุสานมังกรเปล่งแสง พวยพุ่งตรงสู่ เม่งเซี๊ยะ กระแทกกำแพงทรายแกะเงินที่ห่อหุ้มร่างกายเม่งเซี๊ยะแตกกระจายจนเกือบหมด ปลายเส้นสายของพลังพุ่งตรงตัดสายพิณหนึ่งเส้นขาดผึ่ง
เม่งเซี๊ยะเหวอ “นี่เจ้าคือบุตรชายคนเดียวของเผ่าพันธุ์มังกรในรอบพันปีหรอ มีเพียงเกล็ดมังกรที่สามารถตัดสายพิณและทำนองแห่งข้าได้ องค์ชายมังกรแห่งภพสวรรค์” เม่งเซี๊ยะหน้าเสียตกใจ
“ท่านคือเทพ ภพต้นกำเนิดคือภพสวรรค์ แต่ท่านฝ่าฝืนกฏ สร้างกรรมมากมาย ท่านฆ่าและกักขังทุกดวงจิตที่หลุดเข้ามาในภพฝันแห่งความเงียบงัน ท่านขโมยดวงจิต และ ร่างพวกเค้า มันคือการฝ่าข้อห้ามร้ายแรง” ฮวาเฟยฟาเอ่ย
“พวกเราต้องส่งท่านคืนสู่ภพต้นกำเนิด และจะปิดผนึกท่านไว้ตลอดกาล” เจ้าวั่งซูพูดพร้อมเรียกเคียวสู่ภพปรากฎ
“งั้นเจ้าก้คือผู้สืบสายเลือดตระกูลเจ้า เจ้าวั่งซู เจ้าแห่งภพมนุษย์ โชคชะตาอะไรกันทำให้เราได้มาพบกัน” เสียงของเทพธิดาเม่งเซี๊ยะอ่อน และ สลดลง
“ขโมยและกักขังดวงจิตหรอ! ใช่! มันฟังดูเหมือนเป็นอย่างนั้น แต่พวกเจ้ารู้ไหมจริงๆ แล้วทุกคนที่เดินเข้ามายังภพฝันนี้ล้วนแล้วแต่ได้รับการขับกล่อมด้วยพิณสู่ฝันและทรายแกะเงิน มันคือทำนอง และ ศาตราแห่งเทพ ที่ทำหน้าที่นำทางเหล่าดวงจิตที่สิ้นหวังและหลงทางสู่ความฝัน สู่จินตภาพที่พวกเค้าไฝ่ฝัน มันก็ทำหน้าเหมือนเคียวสู่ภพของเจ้าไง เจ้าเด็กตระกูลเจ้า”
เจ้าวั่งซู สะดุ้ง และ สะอึกหนึ่งที
“และตัวข้านั้นไม่ได้มีหน้าที่บังคับใจพวกเค้า การที่ติดอยู่ที่นั่นในภพฝันนามธรรม เป็นสื่งที่พวกเค้าเอง ต้องการ และ เต็มใจที่จะอยู่ในนั้นไปตลอด พวกเจ้าคิดว่าการที่พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่เป็นเรื่องบังเอิญรึ?! เด็กน้อย ไม่! เจ้าคิดผิด! ดวงจิตทั้งหลายไม่ว่าจะมีร่างกำเนิดจากภพภูมิใด ก็ล้วนแล้วแต่ไฝ่หาหนทางสู่ความสงบ มีความต้องการที่จะอยากอยู่ในสักที่ใดที่หนึ่ง ที่ช่วยให้พวกเค้าได้รู้สึกหลุดพ้นจากโลกแห่งความเป็นจริงที่โหดร้าย ความทุกข์ทรมานที่ต้องได้รับ และ ข้าเม่งเซี๊ยะถูกโทษทัณฑ์จากสวรรค์ให้ลงมาดูแลภพฝันห่งความเงียบงันแห่งนี้ และ พันธะเพียงหนึ่งเดียวของข้า ก็คือเปิดทางสู่โลกแห่งฝันนามธรรมให้พวกเค้า พวกเหล่าคนที่มีดวงจิตที่สะอาดสว่างและมีบารมีมากพอ ที่จะเดินไปสู่ฝันที่พวกเค้าต้องการ”
ภาพและเรื่องราวตะกี้มันคืออะไร “นี่เราสองคนเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม” เจ้าวั่งซูเหมือนฟื้นจากภวังค์ และ มองที่ฮวาเฟยฟา แม้ภาพจำจะเลือนราง ยังไม่ชัด ความทรงจำที่วิ่งเข้ามายังไม่อาจปะติดปะต่อ บรรยากาศรอบตัวดั่งใบไม้ร่วง และ ดวงหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าที่สะกดใจตัวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เค้าก็มั่นใจว่าคนนี้คือคนสำคัญในชีวิตเค้า“ใช่ไม๊! เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊ โปรดบอกข้าที” เจ้าวั่งซู เอ่ยถามซ้ำฮวาเฟยฟาหลับตาก้มหน้ายิ้มมุมปาก “ใช่สิเจ้าก็ต้องเห็นและรู้สึกเหมือนที่ข้ารู้สึกสินะ”“เรื่องราวในความทรงจำเมื่อกี้มันคืออะไร มันช่างคุ้นเคยเหมือนกับข้าเคยผ่านมันมาเอง ไม่ใช่สิเหมือนเป็นเรื่องคนอื่นที่ข้าไปเป็นและรู้สึกแทนเค้า เค้าคนนั้นคือใคร? ทำไม? และทำไมถึงมีท่านในนั้น?” เจ้าวั่งซูเอ่ยถามวกวนสงสัย“เจ้าคิดว่าพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไม๊” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม“ใช่! ข้ามั่นใจว่ามีท่านในความทรงจำที่ผ่านเข้ามา แต่ข้าไม่รู้ว่าท่านคือใครและข้าคือใคร” เจ้าวั่งซูตอบยืนยัน“ข้าก็คิ
แสงตะเกียงเริ่มถูกจุดขึ้นทั่วหมู่บ้านชุนเทียน ลามต่อมาตามเส้นทางสู่หุบเขา แต่ละวิญญาณเริ่มแยกออกจากร่าง และ ทุกคนกลับคืนรูปเดิม ใบหน้ายิ้มแย้มและเปี่ยมสุข บรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยชีวิต บรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยความปิติ เสียงหัวเราะ ความยินดี และเปี่ยมสุข เสียงสรวลเฮาฮาของผู้คนทั้งจากภพมนุษย์ ภูติ อมนุษย์ เดรัจฉาน วิญญาณ และอื่นๆ ที่ถูกคำสาปให้ติดอยู่ที่หมู่บ้านต้องสาปแห่งนี้ เริ่มดังก้องเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความยินดีนี้แสงสว่างและเสียงโห่ร้องสะกิดให้ เจ้าวั่งซูหยุดเป่าซวินดำสิบสองซุ่น และหันมาทาง ฮวาเฟยฟา “เฟยเฟย ที่หมู่บ้านเริ่มสว่างหมดแล้ว ข้าได้ยินเสียงงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ข้าอยากไปเห็นผู้คนที่นั่น พวกเราไปกันเถอะ” เจ้าวั่งซูเอ่ยชวนเร่งรีบฮวาเฟยฟาหยุดนิ้วเรียวสวยและเงยหน้ามองเจ้าวั่งซู ยิ้มอ่อนโยน “สิ่งที่เจ้าอยากไปชมที่สุดคงเป็นสุราดอกซ่างฮัวหลัวสินะ”“ฮ่าๆๆๆ! เจ้าช่างรู้ใจข้า แม้สุราที่ดีที่สุดของข้าต้องเป็นสุราจาก ดอกมฤตยูดำ ที่เรือนสกุลเจ้าของข้าปลูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าสุราที่ทำจากดอกซ่างฮัวหลัวที่กำเนิดในหมู่บ้านของพวกเร
“เชิญๆ” พูดเสร็จก็ผายมือโต๊ะอาหารยาวพร้อมอาหารก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่“เชิญๆ นั่งก่อน” หลี่เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยผายมือ“นี่ท่านอาศัยอยู่ในเรือนที่ตกทอดแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม“จริงๆ แล้ว ข้าคือรุ่นแรก ยังไม่มีการสืบทอดกระจกแห่งภพฝัน ข้าคือคนดูแลแต่เพียงผู้เดียว เคยมีคนมาฝึกเผื่อจะรับช่วงต่อแต่ดูเหมือนพวกเค้ายังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงภพฝัน ข้าคิดว่าคงเป็นข้านี่แหละที่ต้องดูแลไปอีกร้อยปีพันปี” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่า“แล้วทำไมท่านไม่แก่ชรา เอ่อ ข้าขออภัย” เจ้าวั่งซูเผลอหลุดปาก“ฮ่าๆๆ! ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ จริงแล้วมันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากข้ามาอยู่ ข้าได้ฝึกวิชา บำเพ็ญตน เพื่อเชื่อมต่อและเข้าสู่ภพฝันหวังเพื่อจะเข้าใจทุกสิ่งในภพนั้นและยึดโยงภพนั้นเข้าเสมือนเป็นส่วนเดียวกัน และวันหนึ่งข้าก็เหมือนเจออาจารย์สองคน ท่านเป็นเทพเซียนจากบนสวรรค์เมตตาชี้นำทางข้า พวกท่านสอนทุกอย่างเกี่ยวกับภพฝันแห่งความเงียบงันให้ข้า การใช้พลังภพฝันนามธรรมและรูปธรรม การสื่อสาร การผนวกรวม การรักษาสมดุลแห่งภพ
“เชิญๆ” พูดเสร็จก็ผายมือโต๊ะอาหารยาวพร้อมอาหารก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่“เชิญๆ นั่งก่อน” หลี่เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยผายมือ“นี่ท่านอาศัยอยู่ในเรือนที่ตกทอดแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม“จริงๆแล้ว ข้าคือรุ่นแรก ยังไม่มีการสืบทอดกระจกแห่งภพฝัน ข้าคือคนดูแลแต่เพียงผู้เดียว เคยมีคนมาฝึกเผื่อจะรับช่วงต่อแต่ดูเหมือนพวกเค้ายังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงภพฝัน ข้าคิดว่าคงเป็นข้านี่แหล่ะที่ต้องดูแลไปอีกร้อยปีพันปี” หลี่เหลี่ยงเฟิงเล่า“แล้วทำไมท่านไม่แก่ชรา เอ่อ ข้าขอภัย” เจ้าวั่งซูเผลอหลุดปาก“ฮ่าๆๆ! ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ จริงแล้วมันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากข้ามาอยู่ ข้าได้ฝึกวิชา บำเพ็ญตน เพื่อเชื่อมต่อและเข้าสู่ภพฝันหวังเพื่อจะเข้าใจทุกสิ่งในภพนั้นและยึดโยงภพนั้นเข้าเสมือนเป็นส่วนเดียวกัน และวันนึงข้าก็เหมือนเจออาจารย์สองคน ท่านเป็นเทพเซียนจากบนสวรรค์เมตตาชี้นำทางข้า พวกท่านสอนทุกอย่างเกี่ยวกับภพฝันแห่งความเงียบงันให้ข้า การใช้พลังภพฝันนามธรรมและรูปธรรม การสื่อสาร การผนวกรวม การรักษาสมดุลแห่งภพ แล
ขณะที่ เทพธิดาเม่งเซี๊ยะลอยสูงขึ้นสว่างไสวเหนือบ่อศักดิ์สิทธิ์ และ ยังเล่าเรื่องราวต่างๆ อยู่นั้นภายในบ่อก็เกิดประกายพวยพุ่งสีแดงออกจากปากบ่อ พร้อมกับอีกร่างที่ลอยตัวขึ้น นั่นคือยักษ์ถูหลัน!ใบหน้าคือมังกรและมีเขาโค้งงอนงามยาวเป็นวงจากด้านหน้าม้วนไปด้านหลังและยาวออกด้านข้าง กายหยาบสีแดง ในมือถือกู่เจิง ลักษณะคล้ายแพะทะเล“เอ๊ะ! หรือว่า ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ยักษ์ถูหลันคือ เทพจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก เทพแพะทะเล” เฟยฟากล่าว“ใช่ ข้าคือถูหลัน อดีตเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าตะวันออก กลุ่มจักราแพะทะเล ส่วน เม่งเซี๊ยะคือเทพผู้ครองจักรราศีแห่งฟ้าทางตะวันตกกลุ่มจักราหญิงพรหมจรรย์ เราทั้งสองจะโคจรมาบรรจบกันปีละครั้งและนั่นก็เป็นจุดกำเนิดความรักของเราสองคน”แต่ทางองค์จักพรรดิ และ องค์จักรพรรดินี รู้ข่าวเลยสั่งให้แยกกันเด็ดขาด แต่พวกเราสองคนไม่ยอม เลยโดนเนรเทศให้มาอยู่ในดินแดนขาวดำแห่งนี้ ภพฝันแห่งความเงียบงัน ภพที่ไม่มีตัวตนของดวงจิตที่ชัดเจน เป็นเพียงภพชั่วคราวของการผ่านของวิญญาณ ร่างที่พวกเจ้าเห็นนั้นคือ ยังมีดวงจิต แต่ดวงจิตล่องลอยในภพฝันนามธรรม”“ข้ามีเรื่องอยากถามท่านทั้งสอง ทำไม พวกท่านสอง
ทั้งสองเดินต่อเข้าไปจนถึงใจกลางถ้ำก็ได้พบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จืออู่ตี้ (บ่อน้ำแห่งจินตนาการ) แสงสว่างเจิดจ้าจากปากบ่อดั่งผงเกล็ดมุกเปล่งประกายระยิบระยับคล้ายมีมนต์เรียกหาล่อลวงให้ผู้พบเห็นเดินเข้าไป แสงวิบวับสะท้อนใบหน้าหวาดกลัวตกใจของเหล่าศีรษะที่ถูกตรึงอยู่ปากเพดานรอบๆ คล้ายว่าสิ่งเหล่านั้นกำลังแยกเขี้ยวร้องโหยหวนเตรียมตะครุบบริเวณรอบๆ เหล่าจิตภูตบินอยู่บนปากบ่อมากมาย เมื่อเจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟาเดินเข้าไปใกล้ ก็พึ่งเห็นแสงสว่าง ฉายเข้ากับหน้าจิตภูติ ตาโตดำ หูตั้งชันสูง ไม่มีจมูก เขี้ยวแหลมเต็มปาก“นี่มันภูติผีรึเปล่าเนี๊ยะ!” เจ้าวั่งซูคิด แต่ก็เพราะหน้าตาเหยเกปนน่ารักน่าชังของเจ้าจิตภูตินี้ ทำให้สติของวั่งซูไขว้เขวถูกดึงกลับมาชั่วครู่“นี่มันมนต์ยั่วยุกลีบบุปผา” เจ้าวั่งซูสะบัดพัดดำในมือร่ายเวทย์ “มนต์สะกดลวงตา จงหายไป!” และโบกสะบัด แสงสีพวยพุ่งตามแฉกกรีบพัด พัดพาเหล่าจิตภูติร้องกระเจิงแตกวง ไอหมอกไอควันวิบวับจากปากบ่อบางตาลงเหลือเพียงไอหมอกใสใส มองผ่านไอหมอกไปอีกด้านขอบบ่อ ฮวาเฟยฟากำลังหมดสติและล้มลงปากบ่อ เจ้าวั่งซูกระโจนเข้าโอบรับและดึงร่างทั้งสองออกห่างปากบ่อ ตอนนี้ฮวาเฟยฟาหมดสติอ