ป่านนี้นางน่าจะไปถึงเสิ่นหนานแล้ว เว่ยเจิ้งหยางให้คนตามไปอารักขาฟู่เหยาเหยาอยู่จำนวนหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นไมตรีจิตครั้งสุดท้ายของการเป็นสามีภรรยา ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตามที
เมื่อให้คนไปส่งแล้ว เว่ยเจิ้งหยางไม่ได้ใส่ใจในตัวนางอีก กระทั่งท้องฟ้าสว่างปลอดโปร่งไร้วี่แววของเมฆฝน คนที่เขาส่งไปจึงกลับมารายงาน
สีหน้าของตัวแทนองครักษ์ไม่ค่อยดีนัก ร่างสูงวางเอกสารในมือรับเพื่อฟังคำรายงาน
“กระหม่อมสี่คนขออภัยโทษจากท่านอ๋องด้วย” ทั้งสี่คนคุกเข่าและพูดเกือบจะพร้อมกัน
การกระทำเช่นนี้ยิ่งทำให้เว่ยเจิ้งหยางรู้สึกใคร่รู้เรื่องราว
“เกิดอะไรขึ้น” เขาถามเสียงเรียบ
“ในคืนแรกที่พวกกระหม่อม ติดตามอดีตหวางเฟย เพื่อพาตัวนางไปส่งที่เสิ่นหนาน”
“แล้วยังไงต่อ”
“เป็นเพราะฝนตกหนักอยู่หลายวัน จึงจำเป็นต้องให้อดีตหวางเฟยแวะพักค้างคืน ณ โรงเตี๊ยมที่อยู่ระหว่างทางไปเสิ่นหนาน แต่ดูเหมือนว่า จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ&r
เว่ยจงหมิงกลับจวนในทันที คราแรกตั้งใจว่าจะกลับไปนำของขวัญที่ทิ้งเอาไว้ในค่ายทหารมามอบให้กับนาง แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะเขาไม่อยากเสียเวลาเดินทางไปมาไว้วันหลังก็ได้ ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วหากช้ากว่านี้เกรงว่านางจะน้อยใจเอาได้ชายหนุ่มแสร้งประคองร่างกายของตนเองโซซัดโซเซเข้าไปในจวน เลี่ยงกงกงเห็นก็แทบเป็นลมล้มพับ แต่พอเห็นสีหน้ายียวนกวนประสาทของผู้เป็นนายจึงทำให้เขาเข้าใจเรื่องราว“ฝ่าบาท กระหม่อมตกอกตกใจหมด” ขันทีชราหน้าซีด“เลี่ยงกงกงเป็นอย่างไร ข้าแสดงได้แนบเนียนดีหรือไม่” เว่ยจงหมิงถาม“ก็ดูหน้ากระหม่อมสิพ่ะย่ะค่ะ ซีดกว่าพระองค์อีก หากเป็นเช่นนี้ไท่จื่อเฟยจะตกใจเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ” เลี่ยงกงกงกล่าวเตือนเว่ยจงหมิงยิ้มไม่กล่าวสิ่งใดฟู่ลี่อิ๋งได้ยินว่าพระสวามีกลับมาแล้วนางจึงรีบออกมารับ“ท่านพี่” คนตัวเล็กรีบวิ่งเข้ามาประคองเว่ยจงหมิงเมื่อเห็นภรรยา ก็เสแสร้งทำตัวอ่อนแอยิ่งกว่าเดิม“เว่
ที่ผ่านมาวันเกิดของนางมีก็เหมือนไม่มี ฟู่ลี่อิ๋งไม่ได้ใส่ใจกับวันคล้ายวันเกิดของตนมานานมากแล้ว จัดงานไปก็เท่านั้น มีแต่พวกใส่หน้ากากเข้าหากัน ตอนที่อยู่เสิ่นหนานหากไม่ใช่เพราะนางเป็นบุตรสาวของฟู่โหว คนพวกนั้นก็คงไม่เสนอหน้ามาร่วมงานสุดท้ายเมื่อเริ่มงานเลี้ยงคนพวกนั้นก็เข้าไปหาพูดคุยกับฟู่เหยาเหยา หรือบุตรอนุภรรยาคนอื่น ๆ โดยไม่ได้ให้ความสนใจแก่นาง เมื่อเติบโตขึ้นและเริ่มรู้ความ ในทุกวันเกิดนางจะหาข้ออ้างโวยวายแสร้งทำตัวมีปัญหาอยู่ตลอดเวลา บางปีก็แกล้งนอนป่วยอยู่ในห้องไม่ออกไปร่วมงานวันเกิดปีที่ 18 ก่อนหน้าตั้งใจเอาไว้ว่าจะออกบวช แต่หลังจากมีเว่ยจงหมิงอยู่เคียงข้างนางเลิกคิดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก อย่างน้อย ๆ ปีนี้ก็มีเขาอยู่ด้วยกัน นางคาดหวังเอาไว้เช่นนั้นเว่ยจงหมิงจำได้ว่าตอนที่แคว้นจากแดนใต้มาเชื่อมสัมพันธไมตรีได้นำปิ่นประดับไข่มุกราตรีล้ำค่ามามอบเอาไว้ให้ ชายหนุ่มจึงถือโอกาสขอของสิ่งนั้นมาเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้กับไท่จื่อเฟย เขาเคยเห็นปิ่นและเครื่องประดับชุด
มีเพียงสิ่งเดียวที่เยี่ยเทียนรู้สึกติดค้างในใจมาโดยตลอด นั่นก็คือพระขนิษฐาร่วมพระมารดาจู่ ๆ ก็ไปหลงรักบุรุษแคว้นเว่ย จนกระทั่งถูกไท่ซ่างหวงปลดออกจากฐานันดรศักดิ์ ได้ยินว่าในภายหลังนางปลิดชีวิตของตนเองเพราะเสียใจจากสิ่งที่ฟู่ซิ่งผู้เป็นสามีของนางกระทำเอาไว้ตอนนั้นเขาเป็นเพียงไท่จื่อแห่งแคว้นเยี่ยมิได้มีอำนาจในราชสำนักมากมาย พยายามทูลขอร้องไท่ซ่างหวง ให้ขอตัวหลานชายและหลานสาวกลับมาอยู่ด้วยกันที่บ้านเกิดของพระมารดา แต่กระนั้นไท่ซ่างหวงก็ใจแข็งนักไม่ยินยอมให้อภัย ในเมื่อนางทิ้งฐานันดรศักดิ์ไปแล้วโอรสธิดาที่เกิดจากนางก็ยิ่งไม่นับเป็นเชื้อพระวงศ์อีกต่อไปโชคยังดีที่ตอนนั้นไท่ซ่างหวงอนุญาตให้เขามาร่วมอำลานางเป็นครั้งสุดท้าย ในตอนนั้นหากฟู่ซิ่งไม่รับปากว่าจะดูแลบุตรธิดาของพระขนิษฐาเขาเป็นอย่างดี ก็คงสังหารมันด้วยตนเอง พระราชนัดดาทั้งสององค์ในเวลานั้นก็ยังเล็กนัก ยังต้องมีต้นไม่ใหญ่เป็นที่พึ่งพิงเขาจึงยั้งมือไว้ชีวิตสายลับที่ตนส่งเข้าไปแทรกแซงในแคว้นนอกจากเรื่องทางการศึกแล้ว ยังมีข่าวคราวและความเป็นอยู่ของเด็กสองคนที
ป่านนี้นางน่าจะไปถึงเสิ่นหนานแล้ว เว่ยเจิ้งหยางให้คนตามไปอารักขาฟู่เหยาเหยาอยู่จำนวนหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นไมตรีจิตครั้งสุดท้ายของการเป็นสามีภรรยา ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตามทีเมื่อให้คนไปส่งแล้ว เว่ยเจิ้งหยางไม่ได้ใส่ใจในตัวนางอีก กระทั่งท้องฟ้าสว่างปลอดโปร่งไร้วี่แววของเมฆฝน คนที่เขาส่งไปจึงกลับมารายงานสีหน้าของตัวแทนองครักษ์ไม่ค่อยดีนัก ร่างสูงวางเอกสารในมือรับเพื่อฟังคำรายงาน“กระหม่อมสี่คนขออภัยโทษจากท่านอ๋องด้วย” ทั้งสี่คนคุกเข่าและพูดเกือบจะพร้อมกันการกระทำเช่นนี้ยิ่งทำให้เว่ยเจิ้งหยางรู้สึกใคร่รู้เรื่องราว“เกิดอะไรขึ้น” เขาถามเสียงเรียบ“ในคืนแรกที่พวกกระหม่อม ติดตามอดีตหวางเฟย เพื่อพาตัวนางไปส่งที่เสิ่นหนาน”“แล้วยังไงต่อ”“เป็นเพราะฝนตกหนักอยู่หลายวัน จึงจำเป็นต้องให้อดีตหวางเฟยแวะพักค้างคืน ณ โรงเตี๊ยมที่อยู่ระหว่างทางไปเสิ่นหนาน แต่ดูเหมือนว่า จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ&r
ฝนตกหนักอยู่หลายวันกระทั่งท้องฟ้าแทบไม่ต่างอะไรจากยามกลางคืน ส่วนเช้าวันนี้ก็เพิ่งได้เห็นแสงของพระอาทิตย์สาดส่องลงสู่พื้นแผ่นดิน ฟู่ลี่อิ๋งเห็นว่าอากาศดีจึงลุกออกมาเดินเล่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี โดยทิ้งบุรุษตัวโตนอนหลับอุตุอยู่บนเตียงเสี่ยวหลงเมื่อเห็นเจ้านายตื่นนอน ก็เข้ามารับใช้นางตามปกติที่เคยทำ วันนี้ขันทีน้อยคล้ายกับมีเรื่องจะพูดแต่ก็พูดไม่ได้ ช่วงหลังนางเห็นว่าเขาชอบไปคลุกคลีอยู่ที่เรือนของท่านเหลียง ถ้านางไม่ตามเจ้าเด็กน้อยก็ไม่โผล่หน้ามาให้นางเห็น ตอนหลังจึงได้รู้ว่า เสี่ยวหลงชื่นชอบการตัดเย็บภูษาอาภรณ์เป็นอย่างมาก มักจะไปถามเคล็ดลับต่าง ๆ จากท่านเหลียงอยู่เป็นประจำ“มีเรื่องอะไรทำให้เจ้าทุกข์ใจงั้นหรือ” นางถามไถ่ขันทีน้อย“......” เสี่ยวหลงไม่ตอบได้แต่ก้มหน้างุด“ถ้าเจ้าไม่พูดข้าจะรู้หรือ” ฟู่ลี่อิ๋งนางไม่ใช่พระโพธิสัตว์หรือเทพเซียนที่จะรู้ความในใจของผู้อื่นได้“พูดแล้ว เสี่ยวหลงพูดแล้ว” เสี่ยวหลงยึกยัก สุดท้ายก็ยอมปริปาก &ldqu
ฟู่เหยาเหยาเก็บข้าวของออกจากจวนอ๋องไปแล้ว เว่ยเจิ้งหยางเองก็ไม่ได้ใส่ใจว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าหลายวันมานี้จะมีพายุฝนฟ้าคะนองครั้งใหญ่ เพราะหัวใจของเขาไม่ได้อยู่ที่นางมาตั้งแต่แรกที่มีให้ก็แค่เพียงความห่วงใยแบบที่ปุถุชนทั่วไปพึงกระทำ หย่ากันแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ก็เรื่องของนาง และถ้าเกิดว่าบุตรในท้องของนางเป็นบุตรของเขาจริง ๆ นางก็คงแจ้งความประสงค์ที่จะอยู่ที่นี่และให้เขารับผิดชอบมาตั้งแต่ต้นบ่าวรับใช้และนางกำนัลมีแค่เพียงเสียวเชี่ยนและสามี ที่เป็นผู้ติดตาม ได้ความว่านางไม่อยากเป็นจุดสนใจของผู้คน จึงได้เดินทางออกจากเมืองหลวงไปอย่างเรียบง่าย แต่กระนั้นเขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่านางจะวางแผนอะไรไว้อีกหรือเปล่า จึงได้ส่งองครักษ์จำนวนหนึ่งตามอารักขาทางเลือกเดียวของนางในเวลานี้คือการกลับไปที่เสิ่นหนาน แต่เป็นเพราะพายุฝนที่ไม่ยอมหยุดเสียที ทำให้การเดินทางของนางค่อนข้างลำบาก เดิมทีใช้ระยะเวลาไม่เกิน 5 วัน เพราะทั้งสองเมืองอยู่ไม่ห่างจากกันเท่าไหร่ แต่ตอนนี้แม้กระทั่งวันเดี